อัลถามว่าการทำตามที่คุณหนูคนนั้น(เรม)บอกมันยากนักรึไง สุบารุเลยมองค้อนด้วยสายตาอำมหิตแล้วถามว่าอัลดักฟังเขากับเรมเหรอ?
อัลรีบแก้ตัวทันทีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจฟัง แค่จะไปเรียกสุบารุแล้วบังเอิญได้ยินที่คุยกันเท่านั้น พอเห็นสุบารุอาการไม่ดีหลังคุยกับเรม อัลก็เลือกแอบเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง
อัลช่วยพูดคลายกังวลให้ว่าเรมคงไม่รู้หรอกว่าพี่น้องจะเดินออกมาโขกกำแพงทำร้ายตัวเองแบบนี้ พอสบายใจแล้วสุบารุก็เลือกถามประเด็นสำคัญต่อ
สุบารุ: อัล ที่พูดเมื่อตะกี้… นายหมายความว่าไง?
อัล: เมื่อตะกี้?
สุบารุ: …ที่บอกว่า ความรู้สึกอยากตายชั้นเข้าใจดีอะไรนั่นน่ะ
สุบารุคาดหวังว่าที่อัลพูดแบบนั้นออกมาเป็นการบอกใบ้ว่าเขารู้อะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับ “อำนาจ” ของสุบารุ เช่นเดียวกับที่รอสวาลเคยล่วงรู้ได้
แต่แล้ว—
อัล: อ้อ ไอ้นั่นสินะ ชั้นเองก็เคยมีประสบการณ์แบบพี่น้องมาก่อน ---การทำตัวหน้าอายต่อหน้าสาวสวยเนี่ย
สุบารุ: ห๊ะ?
อัล: ห๊ะ อะไรเล่า ลูกผู้ชายพอทำตัวน่าอายก็รู้สึกอยากตายกันทั้งนั้นแหละ ขนาดชั้นอายุปูนนี้แล้วยังทำตัวขายหน้าอยู่บ่อยๆเลย ทุกครั้งที่ทำนี่โดนท่านหญิงมองอย่างกับเป็นแมลงแน่ะ
ภายใต้หมวกเหล็กสีดำนั้น สุบารุอ่านไม่ออกเลยว่าสหายจากต่างโลกคนนี้พูดจริงจังหรือกำลังเบี่ยงประเด็น
. หลังจากที่ไตร่ตรองดูแล้ว สุบารุก็เปลี่ยนใจมาคิดว่าสถานการณ์ของอัลคงต่างจากเขา
สุบารุ: ใช่ว่าคนที่ถูกอัญเชิญมาต่างโลกจะได้รับพลังเหมือนกันนี่นะ
ถ้าหากว่าอัลมีพลังแบบเดียวกับสุบารุจริง เขาคงไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นชายแขนเดียวถาวรแบบนี้แน่
พอคิดถึงประเด็นนี้ สุบารุก็รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ถ้าหากตัวเองสูญเสียแขนขาหรือคนสำคัญไปก็คงจะใช้พลังย้อนคืนไปแก้ไขแน่ๆ
แต่ตอนที่ริคาร์โด้เสียแขนกับคราวนี้ที่มิเซลด้าเสียขา สุบารุกลับใจแข็งไม่พอจะใช้ “ตายแล้วกลับมา” เพื่อช่วยพวกเขา
สุบารุ: ชั้นนี่มันย้อนแย้งจริงๆ …เพราะงั้นเรมถึงได้… โอ๊ย!?
อัล: “ลูป” นี้ไปไม่ค่อยสวยล่ะนะ พี่น้อง
พอเห็นสุบารุมัวแต่โทษตัวเอง อัลก็ดีดหน้าผากเรียกสติไปที แถมยังกล่าวคำว่า “ลูป” ขึ้นมาหน้าตาเฉย
. อัลถามว่าสุบารุจำตอนที่เมืองพริสเทลล่าได้ไหม?
ตอนที่สุบารุเลือกเป็นคนพูดโทรโข่งสื่อสารกับชาวเมือง เขาก็ได้แบกรับหน้าที่เป็น “วีรชน” ไว้แล้ว
สุบารุในตอนนั้นแบกรับความหวังและความคาดหวังของผู้คนเอาไว้จนไม่สามารถที่จะพ่ายแพ้ได้ เขากลายเป็น “ภาพมายา” ของ “วีรชน” ที่ชาวเมืองต้องการ
อัล: ตอนนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถูกคนๆเดียวปฏิเสธแล้วยังไง? สิ่งที่พี่น้องทำมามันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกนะ ปณิธานในตอนนั้นไม่ได้ไร้ความหมายหรอก
สุบารุ: …
อัล: อย่าพึ่งท้อแท้ พี่น้อง อย่ายอมแค่นี้สิ พี่น้อง ---อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังสิ พี่่น้อง
ตั้งแต่ที่เรมเรียกเขาว่า “วีรชน” สุบารุก็ยึดคำนั้นเป็นกำลังใจที่ทำให้เขาสู้อย่างไม่ท้อถอยมาโดยตลอด
[เรม: คุณน่ะไม่ใช่วีรชนค่ะ]
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมืองประตูกั้นน้ำ หอคอยเพลอาเดส เขาฝ่าฝันสถานการณ์ยากลำบากที่แล้วมาได้ก็เพราะคำๆนั้น
[เรม: คุณน่ะไม่ใช่วีรชนค่ะ]
อัล: ถ้างั้นก็เอาคืนมาให้ได้สิ
สุบารุ: เอ๋?
. คำพูดในระยะประชิดของอัล ดึงสุบารุออกมาจากวังวนความคิดที่มืดมน
แต่เพราะอีกฝ่ายอยู่ใกล้เกินไป สุบารุเลยถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณจนหลังไปชนกำแพงเข้า
อัลไม่หยุดแค่นั้น เขารุกเข้าไปอีกด้วยการใช้มือประกบกำแพงเป็นท่า “คาเบะด้ง” เพื่อปิดทางหนี
อัล: จะเอามันกลับคืนมาให้ได้ ทั้งความคาดหวังของคุณหนูคนนั้นและความมั่นใจในตัวเองของพี่น้องด้วย
อัลกล่าวเช่นนั้นแล้วขยับเข้ามาใกล้จนหมวกเหล็กชนกับหน้าผากของสุบารุ
แผลใจอาจจะยังไม่หายดี แต่คำให้กำลังใจของอัลก็เป็นเหมือนการปฐมพยาบาลที่ช่วยให้สุบารุกลับมาได้สติอีกครั้ง
เหมือนกับคราวที่เขาผิดใจกับเอมิเลียที่เมืองหลวงจนเสียความเชื่อใจของเธอไป คราวนี้เขาก็ต้องลงมือเพื่อเอาความเชื่อใจของเรมกลับคืนมา
สุบารุตั้งมั่นที่จะกลับไปเป็นวีรชนในใจเรมให้ได้
. อัลหันมาถามต่อว่า “ว่าแต่คุณหนูที่ชื่อเรมนี่เป็นใครเหรอ?”
เนื่องจากว่าอัลรู้จักแต่สาวฮาล์ฟเอลฟ์กับโลลิวิญญาณที่ทำสัญญากับสุบารุ เลยแปลกใจที่เห็นสาวคนใหม่
สุบารุ: เรมน่ะเป็นคนของฝ่ายพวกชั้นเอง แต่เธอเป็นหนึ่งในเหยื่อของบิชอปบาป “ตะกละ” เพราะงั้นทุกคนก็เลยลืมเธอกันหมด ความทรงจำของตัวเองเธอก็ไม่มี
อัล: อย่างงี้นี่เอง เข้าใจล่ะๆ เข้าใจแจ่มแจ้งเลย
สุบารุ: แจ่มแจ้ง?
อัล: ก็แบบว่า… เป็นเด็กสาวที่ไม่เคยเจอมาก่อนแท้ๆ แต่กลับหน้าตาเหมือนเด็กสาวที่ชั้นรู้จัก ก็เลยรู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ
สุบารุ: ไม่ได้รู้จักกัน แต่นายรู้จัก? …หมายถึงแรมเหรอ?
อัล: อา ใช่ๆ
สุบารุ: ไม่ยักรู้ว่านายกับแรมรู้จักกันด้วย
อัล: ก็ไม่เชิงรู้จักกันหรอก ประมาณว่ามีความเกี่ยวข้องกันนิดหน่อย แต่เท่านี้ก็ชัดเจนล่ะ ---พี่น้องฝาแฝดสินะ? อยากจะให้ทั้งสองกลับไปเจอกันใช่ไหม?
สุบารุ: อา ใช่แล้วล่ะ
. พอเห็นสุบารุมีความแน่วแน่ขึ้นมาเพราะเป้าหมายใหม่ อัลก็บอกว่าเขาจะอาสาช่วยสุบารุเอง
สุบารุคิดจะถามอะไรบางอย่าง แต่อัลก็เดินนำออกไปแล้วบอกว่าไว้คุยต่อโอกาสหน้า เพราะว่าที่จริงพริสซิลล่าใช้เขามาเรียกสุบารุกลับไปที่ห้องประชุมตั้งแต่แรก
อัล: “ภาพมายาวีรชน” งั้นเหรอ?
ระหว่างที่สุบารุเดินตามหลัง อัลก็พึมพำอยู่คนเดียวภายใต้หมวกเหล็ก
อัล: มาเป็นวีรชนกันเถอะ พี่น้อง ---ไม่สิ นัตสึกิ สุบารุ
จบตอน