webnovel arc7 chapter66

บทที่ 7 ตอนที่ 66 "เฮียอิน ยัตส์"

ผ่านไป 2 วัน กลุ่มของสุบารุมีชีวิตความเป็นอยู่ในเกาะกินุนไฮฟ์ดีพอสมควร

ที่นี่มีกฎเกณฑ์เรื่องเวลาอาบน้ำกับกินข้าวอยู่บ้าง แต่นอกนั้นก็ถือว่าค่อนข้างมีอิสระ ไม่ได้ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทาสหรือนักโทษ

หลังกุสตาฟได้เป็นอุปราช เขาก็สร้างห้องสมุดเพิ่ม มันเลยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนยอดฮิตของทาสดาบ

กระทั่งยังสุบารุรู้สึกเสียดายที่สมองเด็กของเขาลืมวิธีอ่านอักษรของโลกนี้ไปแล้ว ต้องใช้ความพยายามนึกอย่างมากกว่าจะอ่านได้หน้าหนึ่ง

สุบารุ: ถ้าท่านพี่รู้เข้านี่ มีหวังโดนโมโหแน่ๆ…

เนื่องจากพวกเขาทำผลงานได้ดีตอน “สปาร์ก้า” สุบารุจึงได้รับการยอมรับชื่นชมจากเหล่าทาสดาบ ต่างจากเซซิลุสที่เป็นเด็กเหมือนกันแต่เก่งผิดมนุษย์มนาจนโดนแหยง

เหล่าทาสดาบที่นี่เทียบเซซิลุสเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ถ้าหากไปยุ่งด้วยไม่เข้าเรื่อง อาจจะทำให้ซวยกันหมด

. ส่วนทันซ่านั้นก็ร้อนใจและพยายามตามหาทางออกหรือวิธียกสะพานชักตลอดสองวันที่ผ่านมา

เธอไม่รู้สถานการณ์ที่นครมารหลังมหาภัยพิบัติระเบิดหายไป รู้เพียงแค่ว่ายอร์น่าปลอดภัยดี เพราะทันซ่ายังได้รับบัฟตาไฟจากวิชาคงคงอยู่

(ที่ทันซ่าเหยียบกิลตีราลหัวขาดในทีเดียวได้ก็เพราะบัฟคงคงนี่แหละ)

เพราะงั้น พอทันซ่าเห็นสุบารุทำตัวชิวเกินไป เธอถึงได้ทักเขาให้อย่าลืมเป้าหมายที่จะหลบหนีจากที่นี่เพื่อกลับไปเคออสเฟลม

แต่ที่จริงสุบารุก็ไม่เชิงอู้งาน สองวันที่ผ่านมาเขาคุยกับพวกไวซ์และทาสดาบที่อยู่มานานเพื่อหาข้อมูล

ถึงอย่างไร สุบารุเองก็มีพรรคพวกคนสำคัญที่อยากกลับไปหาไม่ต่างจากทันซ่า

. ตอนนั้นเองเซซิลุสก็โผล่มาขัดจังหวะด้วยข่าวด่วน

เซซิลุส: บัสซู! สะพานชักถูกยกขึ้นแล้ว! มีหน้าใหม่มาเพิ่มแล้วล่ะครับ!

สุบารุ: ไวกว่าที่คิดนะเนี่ย ปกติเพส(อัตราความเร็ว/ความคืบหน้า)มันเร็วแบบนี้เลยเหรอ?

เซซิลุส: เปล่านะ “สปาร์ก้า” รอบของพวกบัสซูน่ะเป็นกรณีพิเศษครับ นอกเหนือจากสามคนในกลุ่มของบัสซูแล้ว พวกที่เหลือหลบหนีล้มเหลวจนได้ไปนอนก้นทะเลสาบ… แล้วพวกบัสซูก็ถูกรีบยัดเข้ากลุ่มเป็นตัวสำรองไง

สรุปคือกลุ่มของพวกไวส์มีอีกสองคนที่พยายามหนี แต่ล้มเหลวจนกลายเป็นอาหารให้สัตว์อสูรวารี สปาร์ก้าของพวกเขาเลยถูกเลื่อนไปจนกระทั่งได้สุบารุกับทันซ่ามาแทนที่

. สุบารุอยากคุยกับคนที่มาจากด้านนอก แต่กลุ่มหน้าใหม่คงถูกจับเข้าประลอง “สปาร์ก้า” อย่างรวดเร็วจนไม่มีโอกาสได้คุย

แต่ถึงอย่างไร การได้ไปดูสะพานชักที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกกับตาตัวเองก็เป็นข้อมูลที่คุ้มค่าอยู่ดี ทั้งสามจึงเดินทางจากหอพักส่วนกลางไปยังชั้นบน

อุปสรรคที่ขัดขวางการหลบหนีออกจากเกาะกินุนไฮฟ์มีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือสะพานชักที่เชื่อมกับโลกภายนอก อย่างที่สองคือกฎคำสาปที่กุสตาฟร่ายใส่ทาสดาบทุกคน

สุบารุ: นอกเหนือจากวิธีเล่นไม่ซื่อ มันพอจะมีวิธียับยั้งกฎคำสาปกับเลิกเป็นทาสดาบอยู่ใช่มั้ย?

เซซิลุส: อื้อ มีสิ มันมีงานมหรสพจัดปีละครั้งที่องค์จักรพรรดิจะถูกเชิญมาเข้าร่วมและเป็นผู้มอบรางวัลอยู่ครับ เพราะงั้นทาสดาบถึงต้องดูสง่างามและมีราศีเข้าไว้

สุบารุ: …ไม่รู้ทำไมฟังแล้วชั้นนึกถึงอิมเมจของกราดิเอเตอร์ขึ้นมาเลยแฮะ…

สุบารุนึกถึงหนังกราดิเอเตอร์ที่ตัวเอกรวมพลก่อกบฏ แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการเล่นใหญ่แบบนั้น พยายามนึกถึงพวกหนังแนวแหกคุกน่าจะเข้ากับสถานการณ์กว่า

. ทั้งสามเดินมาถึงระเบียงที่สร้างไว้บนเชิงภูเขา ทำให้มองเห็นครึ่งหนึ่งของทะเลสาบ ซึ่งมีทาสดาบคนหนึ่งที่มาถึงก่อนโบกมือให้พวกสุบารุ

เฮียอิน: ชวาร์ซไม่ใช่เรอะนั่น? มาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย?

สุบารุ: โอ๊ะ เฮียอินก็มาเหรอ? ชมวิวรึไง?

เฮียอิน: ชมวิวก็บ้าแล้ว! …ได้ยินว่าเหยื่อสังเวยรายต่อไปมาถึง ก็เลยมาดู

ไม่นานนักก็มีเสียงกลไกทำงานดังลั่น ตามมาด้วยสะพานชักที่ยกตัวลอยขึ้นมาจากใต้ทะเลสาบ เป็นภาพที่แปลกตาผิดกับสะพานชักในโลกเดิมที่สุบารุเคยเห็น

ตัวสะพานชักมีอยู่หลายส่วนที่ผุดขึ้นมาประกอบกันเป็นสะพานใหญ่อันเดียว แล้วก็ทำการระบายน้ำออก

เท่าที่เซซิลุสรู้ สะพานชักตัวนี้ถูกควบคุมจากหอคอยซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่เคยเข้าไป

. หลังสะพานชักยกตัวขึ้นสุด ม้าลมกรดสีดำก็ลากรถข้ามสะพานมา มันเป็นม้าศึกตัวใหญ่ที่ใส่เกราะท่าทางน่าเกรงขาม

แถมรอบขบวนรถก็ยังมีทหารม้ารายรอบ พร้อมด้วยอุปราชกุสตาฟ คงเพื่อป้องกันเหตุการณ์ทาสดาบหลบหนีจนรถม้าคว่ำแบบคราวก่อน

จากการประเมินด้วยสายตา สุบารุกะความยาวของสะพานชักได้ประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ ไม่ถึง 2 กิโลเมตร

เฮียอิน: เฮ้ย!?

แล้วทันทีที่ทาสดาบหน้าใหม่ลงมาจากขบวนรถลาก เฮียอินก็ร้องตะโกนเสียงดัง

เฮียอิน: ไอ้พวกโง่นั่น… โดนจับได้เรอะ!? …แม่งทั้งที่ใช้ชั้นเป็นตัวล่อเพื่อหนีไปแท้ๆ

นั่นก็เพราะว่าพวกหน้าใหม่เป็นเผ่ามนุษย์กิ้งก่า มิหนำซ้ำยังเป็นสหายเก่าของเฮียอินที่เคยทรยศหักหลังเขาเพื่อหนีจากพ่อค้าทาสอีกด้วย

. เฮียอินสมน้ำหน้าพวกโจทก์เก่าที่กรรมตามทันแบบติดจรวด นั่นทำให้เซซิลุสเริ่มพล่ามยาวถึงสัจธรรมของตัวประกอบและตัวละครหลัก

เซซิลุสมองว่าโลกจริงก็เป็นเหมือนเรื่องราวในหนังสือ ตัวประกอบไม่สำคัญมักมีบทพูดโง่ๆ ส่วนตัวละครหลักมักมีบทพูดเท่ๆ

เซซิลุส: ผู้อ่อนแอพูดแต่เรื่องกากๆ ผู้แข็งแกร่งพูดแต่เรื่องแกร่งๆ ดารานำแสดงเด่นมีบทพูดเท่ๆ ส่วนนักแสดงตัวประกอบก็ได้แต่พึมพำจนไม่ได้ยิน! แปลกดีจังเลยที่มันเป็นแบบนั้นว่าไหมครับ!

เฮียอิน: …

เซซิลุส: ทำไมทุกคนถึงได้พยายามทำตัวเป็นตัวประกอบกันนะ? เราทุกคนต่างก็เป็นนักแสดงที่สามารถเลือกชีวิตของตัวเองได้แท้ๆ แต่แน่นอนว่ามีแค่ผมที่เป็นดารานำแสดงเด่น

เซซิลุสทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินจากไป พอเห็นเฮียอินเถียงไม่ออกและหันหน้าหนี สุบารุก็เข้ามาทักต่อว่าเขาอยากช่วยพวกเพื่อนเก่าไหม

เฮียอิน: หา! บอกไปแล้วนี่! พวกเวรนั่นใช้ชั้นเป็นเหยื่อล่อแต่ดันพลาดอีก! ไอ้พวกง่าวแบบนั้นน่ะ จะเป็นหรือตายยังไงก็ไม่สนโว๊ย!

สุบารุ: ――แต่ว่าตอนที่นายทำกระเป๋าตกหน้าผา พวกนั้นก็ช่วยแบ่งอาหารให้ไม่ใช่เหรอ?

เฮียอิน: ห๊ะ

สุบารุ: ช่วยเหลือจากโจรป่า ช่วยจุดไฟให้ตอนที่นายจุดไม่ติด …ความทรงจำสุดท้ายอาจจะเลวร้าย แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปหมดนี่ ถ้าคนเราจดจำกันแค่ใบหน้าสุดท้าย แบบนั้นมันก็เปล่าเปลี่ยวน่าดู

ถ้าหากคนเราตัดสินกันแค่จากการกระทำชั่ววูบในสถานการณ์คับขัน แบบนั้นมันก็ไม่ยุติธรรมในสายตาสุบารุที่เชื่อมั่นในด้านดีลึกๆ ของผู้คน

อย่างที่เขาเชื่อใจเฮียอิน ไวซ์และอิโดร่า

สุบารุ: ลองคุยกับพวกเขาดูก่อน แล้วนายอาจจะได้มุมมองใหม่ๆ

เหล่าพวกพ้องคนสำคัญของสุบารุเอง บางคนก็เริ่มต้นกันไม่ค่อยดี แต่ถ้าหากสุบารุไม่ให้โอกาสพวกเขา ก็คงไม่ได้สนิทกันอย่างทุกวันนี้

เฮียอิน: …เจ้าเด็กน่าขนลุก พูดซะเหมือนว่ารู้ไปหมดทุกเรื่องเลย

ในมุมมองของเฮียอิน สุบารุรู้เรื่องที่เขาไม่เคยเล่าให้ฟังได้อย่างประหลาดจนน่าขนลุก เขาจึงพึมพำสั้นๆ ก่อนที่จะตัดพ้อและเดินจากไป

เฮียอิน: ยังไงเจ้าพวกนั้นก็คงไม่รอดจาก “สปาร์ก้า” อยู่ดี เพราะงั้นคงไม่มีโอกาสคุยแล้ว

. สุบารุกับทันซ่าก็ลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อ ทั้งคู่มีเป้าหมายที่จะรีบออกไปจากเกาะนี้ ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาสงสารเฮียอินอยู่แล้ว

ตอนนั้นเองเซซิลุสที่เดินไต่ราวอยู่ก็กลับมาทักสุบารุ เพราะเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างอยากมาถกเถียง

เซซิลุสเชื่อมั่นว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมิอาจกำหนดได้ ไม่ว่าจะเลือกเดินเส้นทางอย่างดีแค่ไหน สุดท้ายก็จะมีสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม

เพราะงั้นมนุษย์แต่ละคนต้องฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกำลังของตัวเอง เซซิลุสถึงได้ไม่เคยคิดจะช่วยเหลือคนอื่น ต่างคนต่างแยกกันอยู่

เซซิลุส: อุปสรรคน่ะต้องฝ่าฟันด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าผ่านไปได้ด้วยการช่วยเหลือจากคนอื่น สุดท้ายพอเจออุปสรรคเดิมอีกรอบก็มาถึงทางตันอยู่ดี ยืมพลังของคนอื่นไปตลอดไม่ได้หรอกนะ ผู้คนน่ะสักวันก็ต้องตาย ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นอมตะ

สุบารุ: ที่เซสซี่ว่ามันก็ถูกอยู่หรอก แต่บางครั้งการเผชิญอุปสรรคก็เปลี่ยนผู้คน แล้วคนที่เปลี่ยนตัวเองนั้นก็จะเอาชนะอุปสรรคต่อไปได้ อีกอย่าง

เซซิลุส: อีกอย่าง?

สุบารุ: ถึงเซสซี่จะบอกว่าต่างคนต่างแยกกันอยู่ แต่ความรู้สึกที่แยกกันอยู่ไม่ได้เนี่ยมันก็สำคัญเหมือนกันนะ มันคือแรงผลักดันในการช่วยเหลือใครสักคน จะเรียกว่าเป็นความเอาแต่ใจของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็ได้ แต่มันเป็นงั้นจริงๆ

ทั้งสองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ยอดมนุษย์ผู้ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งมวลด้วยกำลังของตัวเอง กับมนุษย์ธรรมดาผู้มิอาจอยู่รอดอย่างเดียวดายได้

กระนั้นประโยคเถียงกลับของสุบารุก็ทำให้เซซิลุสหลุดขำและฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ

สุบารุทิ้งเซซิลุสกับทันซ่าไว้แค่นั้นแล้วรีบเดินกลับมายังห้องรักษาเพื่อมาหาคนคนหนึ่ง

สุบารุ: ปู่นูล!

“ปู่นูล” ชายแก่ร่างผอม ไว้เครายาวรุงรัง ซึ่งเป็นผู้รักษาประจำห้องพยาบาลสะดุ้งตกใจทันทีที่สุบารุตะโกนเรียก

สุบารุ: โทษทีๆ ――ว่าแต่ที่ขอไป ได้รึยัง?

. ตัดไปยังมุมมองของเฮียอิน ยัตส์

เขามาดู “สปาร์ก้า” ตามคำเชิญชวนของไวซ์ เฮียอินไม่ถูกกับไวซ์ด้วยความที่เขาเป็นคนใจเสาะแต่ปากไว แถมปากนี่แหละที่พาซวยทำเขามาติดเป็นทาสดาบอยู่ที่นี่

เฮียอินดันไปมีเรื่องกับกลุ่มคนอันตรายที่โรงเตี๊ยม จนเพื่อนโดนหางเลขไปด้วย สุดท้ายเพื่อนๆ ของเขาเลยเลือกที่จะปกป้องตัวเองก่อน

เฮียอิน: รู้อยู่แล้วล่ะน่า เรื่องแบบนั้นน่ะ

เพื่อนๆ ยอมอยู่ช่วยเฮียอินจนถึงที่สุดก่อนที่จะหักหลัง แถมเฮียอินเป็นคนออกปากเองด้วยว่า “ถ้าไม่ไหวก็ทิ้งชั้นได้เลย”

มันช่างโง่เขลา เฮียอินรู้ตัวเรื่องนั้นดี

แต่เขาจำใจต้องปกป้องหัวใจตัวเองด้วยการโยนความผิด จะได้หาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองในการสาปแช่งเพื่อนๆ ที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตเขาไว้ได้

. เฮียอิน: แล้วไหงพวกแกถึงดันมาโดนจับไปด้วยกันเล่า!

มันควรจะจบที่เขาคนเดียวพอ ให้เขาเป็นเพื่อนนิสัยเสียที่ตายไปคนเดียวก็พอ แต่กลายเป็นว่าเฮียอินจะได้ดูเพื่อนๆ ตายโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เสียแทน

กุสตาฟ: ――ขอเริ่ม “สปาร์ก้า” ณ บัดนี้!!

ต่างจาก “สปาร์ก้า” รอบของพวกเขา คราวนี้มีที่นั่งชมของพวกแขกคนใหญ่คนโตจัดตั้งไว้ที่บริเวณมุมสนามด้วย

เมื่อรั้วกั้นสนามประลองฝั่งที่นั่งกุสตาฟเปิดออก “ทาสดาบเดรัจฉาน” ประจำสปาร์ก้ารอบนี้ก็เปิดตัวออกมา แต่เป็นสัตว์อสูรคนละชนิดกับที่พวกเฮียอินได้สู้ในรอบก่อน

มันเป็นหนูยักษ์ขนฟูที่มีแขนสองข้างเป็นปีกนก ถึงหน้าตาจะแตกต่างกัน แต่เฮียอินสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณว่าเจ้าตัวนี้ดุร้ายและอันตรายไม่ต่างจากกิลตีราลเลย

. คราวนี้รั้วกั้นสนามประลองฝั่งที่พวกเฮียอินนั่งอยู่เปิดออกบ้าง

ผู้เข้ารับการทดสอบเผ่ามนุษย์กิ้งก่า 5 คนเดินออกมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เฮียอินสาปแช่งตัวเองว่าทำไมคนขี้ขลาดอย่างเขากลับเป็นฝ่ายที่รอด

อิโดร่า: บ้าน่า…

เฮียอิน: หา?

อิโดร่า ไวซ์ เฮียอินและทาสดาบบนที่นั่งคนดูทั้งสนามพากันตกตะลึงไปกับภาพเบื้องหน้าพวกเขา เพราะว่ามันมีผู้เข้าร่วมประลองคนที่ 6 อยู่

เฮียอิน: ทะ…ทะ…ทะ ทำไมบ้าอะไรของแกน่ะ ชวาร์ซ!?

เด็กชายผมดำที่ไม่ควรไปอยู่ตรงนั้น เด็กชายผมดำที่พึ่งคุยกับเฮียอินไปเมื่อไม่นานนี้ก่อนแยกทางกัน

เด็กชายผมดำผู้อยู่กลางสนามประลองร่วมกับสหายเก่าของเขาคนนั้นชี้นิ้วทางเฮียอินแล้วเอ่ยว่า――

สุบารุ: ――กำลังเสริมสุดแกร่งไงล่ะ

จบตอน