บริเวณกำแพงเมืองที่ทั้งสองมุ่งหน้าไปนั้นไม่มีทหารยามเฝ้าอยู่เลย ซึ่งแลดูหละหลวมแปลกๆ เนื่องจากผีดิบบางส่วนก็ยังคงเพ่นพ่านอยู่
ทั้งคู่พบอัลนั่งรออยู่ที่นั่นพร้อมกับขวดเหล้าราคาแพงและแก้วน้ำสองใบ ซึ่งเขาเตรียมไว้เพื่อดื่มฉลองชัยร่วมกันกับพริสซิลล่า แขกคนที่สามอย่างสุบารุจึงอยู่เหนือความคาดหมาย
สาเหตุที่อัลไม่ได้อยู่กับพริสซิลล่าก่อนหน้านี้ เป็นเพราะว่าเธอได้สั่งให้เขาไปไหว้วานให้เบลสเต็ตซ์ถอนกำลังทหารยามจากบริเวณนี้ รวมถึงไปขอเหล้าอย่างดีมาจากเซรีน่า
ปกติทั้งสุบารุและอัลเป็นคนไม่ดื่มเหล้าเหมือนกันทั้งคู่ พริสซิลล่าจึงเป็นคนถอดจุกไม้ก๊อกออกแล้วเทเหล้าใส่สองแก้ว
พริสซิลล่า: มีอยู่เพียงแค่สองแก้ว พวกเจ้าแบ่งกันกินจากหนึ่งแก้วไปแล้วกัน
อัล: อา ถ้าเลือกได้ชั้นก็อยากคิสทางอ้อมกับท่านหญิงอยู่หรอก ขออภัยด้วยครับจะหุบปากไว้ครับ
พริสซิลล่ายกแก้วจิบก่อนใคร ส่วนสุบารุที่ได้รับแก้วเหล้ามาถือในมือยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย
อัล: โอ๊ะ คนอายุไม่ถึงกินเหล้า
สุบารุ: ในโลกนี้มันถูกกฎหมาย… แค่กอ้อกอั่ก!
เมื่อสุราสัมผัสลิ้น สุบารุก็รู้สึกแสบทั้งหูและลำคอจนสำลักอย่างรุนแรง อัลขำลั่น “วะฮ่าฮ่า” พลางพยิบแก้วจากมือสุบารุมาจิบต่อ
อัล: โอ้ก อั่ก อุแหวะ!
สุบารุ: สำลักหนักกว่าตูอีกนี่หว่า! ตั้งสติเอาไว้ เจ้าคนอายุเกินกินเหล้า!
พริสซิลล่า: หนวกหูชะมัด แค่รสชาติของสุราอย่างดีก็ยังไม่รู้จัก “แม่มด” ที่โดนปราบไปคงคร่ำครวญน่าดู
. กว่าที่สุบารุกับอัลจะช่วยกันจิบเหล้าให้หมดแก้วได้ พริสซิลล่าก็ซัดไปครึ่งขวดด้วยตัวคนเดียวแล้ว ท่าทางว่าเธอจะเป็นคนคอแข็งดังที่อัลจินตนาการเอาไว้
พริสซิลล่า: รุ่งอรุณใกล้มาถึงแล้ว รู้สึกบันเทิงขึ้นมานิดหน่อย ――อัล มากับข้าพเจ้าสิ
อัล: เฮือก… เอ๊ะ? ที่ว่ามาด้วยกันหมายถึงอะไร… เหวอ!
พริสซิลล่าคว้ามือของอัลแล้วลากเขาให้ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเต้นรำด้วยกัน แถมเธอยังสั่งให้สุบารุร้องเพลงประกอบอีกต่างหาก
อัล: ท่านหญิง แขนชั้นมันขาดไปข้างนึงนะ?
พริสซิลล่า: แล้วมันทำไมหรือ ยังมีขาสองข้างกับหัวใจที่ภักดีต่อข้าพเจ้าอยู่นี่ ――จะเริ่มล่ะนะ
สุบารุเลือกเพลงจากในบรรดาเพลงท้องถิ่นของโลกนี้ที่เขาชื่นชอบ ทีแรกเขากะจะร้อง “เพลงรักอสูรดาบ” แต่มันแอบยาวไปหน่อย แถมสุบารุมีหวังน้ำตาแตกจนไม่เป็นอันร้องแหงๆ
สุดท้ายสุบารุจึงเลือกขับร้องเพลง “นภาเคลื่อนผ่านแสงอรุณ” ซึ่งมีไว้ร้องเฉลิมฉลองรุ่งอรุณของวันใหม่ มันคือเพลงโปรดของสุบารุในโลกฝั่งนี้เลยก็ว่าได้
พริสซิลล่า: เอ้า เต้นสิเต้นสิ อัล! อย่าทำให้ข้าพเจ้าเบื่อ!
อัล: โว้ย แม่งเอ๊ย! ชักจะหนักข้อเกินไปแล้ว! พี่น้อง! เร่งบีตขึ้นไปอีก!
พริสซิลล่ากับอัลเต้นรำไปตามเสียงขับร้องของสุบารุทั้งที่ไม่ได้มีเครื่องดนตรีเล่นประกอบ การเต้นรำของพริสซิลล่านั้นช่างงดงามจนชวนให้นึกถึงตอนที่วินเซนต์แต่งหญิงเต้นรำให้ซีคูร์ดู
ในขณะที่การแดนซ์ไม่เป็นท่าของอัลเองก็ดูสนุกสนาน ภาพของสองนายบ่าวที่เพลิดเพลินกับการเริงระบำทำเอาสุบารุที่ดูอยู่อดยิ้มไม่ได้
. เพลง “นภาเคลื่อนผ่านแสงอรุณ” ที่เขาเลือกนั้นเข้ากันกับช่วงเวลาที่ค่ำคืนกำลังสิ้นสุดลงและรุ่งสางของวันใหม่กำลังจะมาถึงพอดี
สุบารุไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตัดจบตอนไหน เขาจึงร้องเพลงซ้ำวนไปเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไป นักเต้นทั้งสองเองก็ยิ่งเข้าขากันขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุดแสงตะวันยามเช้าก็สาดส่องมาถึงกำแพงเมืองและอาบไปบนร่างของพริสซิลล่าและอัลที่ยังคงเต้นรำไม่หยุดหย่อน
อัล: ――ท่านหญิง?
เสียงเอ่ยทักของอัลทำให้สุบารุหยุดร้องเพลงตามโดยอัตโนมัติ เขารู้สึกว่าตัวเองเห็นอะไรแปลกๆ จึงพยายามขยี้ตาดูรัวๆ เผื่อว่าจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น
พริสซิลล่า: ――ไม่ได้ดีเลิศเท่านักร้องหญิงลิเลียน่า มาสเคอเรดคนนั้น แต่ก็ร้องได้ไม่เลวเลย
ร่างกายของพริสซิลล่าที่กำลังซบหน้าอกของอัลอยู่นั้นกำลังเลือนหายไปพร้อมกับแสงแห่งรุ่งอรุณ
. ตอนที่พริสซิลล่าถูกสฟิงซ์จับตัวขังไว้ภายในมิติแยก หนทางเดียวที่เธอจะสามารถออกมาได้คือการเผาทำลายทุกสิ่งภายในมิตินั้นทิ้งให้หมด
ทุกอย่างที่ว่ารวมถึง “ตัวเธอเอง” ด้วย พริสซิลล่าได้ทำการสังเวยชีวิตของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับการหลบหนีออกมาช่วยเหลือพวกพ้อง
สถานะปัจจุบันของพริสซิลล่า บาริเอลจึงไม่ต่างอะไรกับยูการ์ด วอลลาเคีย เธอเป็น “ผีดิบ” ที่เหลือเวลาอยู่อย่างจำกัดตั้งแต่แรกแล้ว
อัล: เรื่อง… เรื่องบ้าบอคอแตกพรรค์นั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง!!
สีหน้าภายในหมวกเหล็กของอัลบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขายังคงใช้แขนที่มีอยู่ข้างเดียวกุมร่างของพริสซิลล่าที่ค่อยๆ เลือนหายไปตามแสงอรุณไว้แน่น
อัล: ไม่นะ…ไม่เอานะ…ท่านหญิง เรื่องพรรค์นี้… พะ…พี่น้อง!
สุบารุ: ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่สิ แบบนี้มันไม่ถูก รอก่อนนะ พริสซิลล่า ชั้นจะ…
หลัง “มหาภัยพิบัติ” สิ้นสุดลง สุบารุได้ทิ้งซองยาพิษหลังฟันกรามไปแล้ว หนทางเดียวที่เขาจะฆ่าตัวตายได้จึงเป็นการกระโดดโหม่งโลกจากกำแพงเมือง
พริสซิลล่า: หยุดเลย
สุบารุ: หยุดบ้าอะไร! มันมีเหตุผลให้หยุดด้วยรึไง! เรื่องพรรค์นี้เดี๋ยวชั้นจะ…
พริสซิลล่า: ――หยุดเลย นัตสึกิ สุบารุ
. สุบารุไม่ควรหยุดตามที่พริสซิลล่าสั่งแท้ๆ เขาคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะโยนชัยชนะทิ้งไปและเริ่มต้นใหม่เพื่อหาทางช่วยเหลือ ทว่า…
พริสซิลล่า: อำนาจของเจ้ากับอัลมีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้กระทั่งกฎเกณฑ์ของโชคชะตาอยู่ก็จริง แต่จำเอาไว้ให้ดี ต่อให้จะเป็นพลังและการอธิษฐานของพวกเจ้า ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงบางสิ่งได้ไม่ว่าจะปรารถนาเพียงใดอยู่ดี
สุบารุกดเล็บที่จิกขอบกำแพงเมืองอยู่แน่นจนเลือดไหลซึมออกมา จิตใจของเขาตีกันอยู่ว่าควรฟังสิ่งที่เธอหรือเลิกฟังแล้วกระโดดไปเลยดี
อัล: พี่น้อง! ขอร้องล่ะ… ขอร้องล่ะ! ไม่ต้องไปฟังหรอก! ไม่ต้องฟังอะไรก็ได้! ทำไปเลย! ช่วยท่านหญิง… ช่วยพริสซิลล่าทีเถอะ!!
พริสซิลล่า: อัลเดบารัน
อัล: ――อึก ไม่เอานะ ไม่เอานะ พริสซิลล่า! ชั้นน่ะไม่ยอมฟังหรอกเฟ้ย!
พริสซิลล่าเอื้อมมือไปสัมผัสลำคอของอัลที่กู่ร้องด้วยความเศร้าโศก โดยที่มืออีกข้างหนึ่งโอบแผ่นหลังของเขาเอาไว้เพื่อปลอบประโลม
พริสซิลล่า: พวกเจ้าทั้งสองได้กอบกู้จักรวรรดิเอาไว้ แน่นอนว่าผู้อื่นก็ลำบากตรากตรำเช่นกัน ทว่า ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจเทียบเคียงสิ่งที่พวกเจ้าต้องยอมแลกได้เลย ข้าพเจ้าจึงขอยกย่องเรื่องนั้น
พริสซิลล่าชื่นชมความเพียรพยายามในอดีตของอัลกับสุบารุที่พวกเขาต้องเก็บเงียบเอาไว้คนเดียว ไม่สามารถบอกเล่าให้ใครฟังได้ จนไม่ได้รับสิ่งตอบแทน
พริสซิลล่า: ――ต้องขอเชยชม นัตสึกิ สุบารุ เจ้าน่ะ คืออัศวินอย่างแท้จริง
สุบารุ: อา…
สุบารุเข่าทรุดโดยทันที อารมณ์ในหัวมันท่วมท้นไปหมดจนสมองประมวลผลไม่ทัน
ทว่า ดวงจิตของเขากลับรู้ซึ้งได้ทันทีว่า “นัตสึกิ สุบารุ” มิอาจช่วย “พริสซิลล่า บาริเอล” ได้อีกแล้ว
. พริสซิลล่า: อัลเดบารัน เจ้าเองก็ด้วย…
อัล: บอกแล้วไงว่าให้หยุด! ชั้นน่ะไม่ยอมแพ้หรอกเฟ้ย! ไม่มีทางยอมแพ้หรอก! ไม่งั้น…ไม่งั้นจะเป็นยังไงเล่า!? -ขืนชั้น…ขืนชั้นยอมแพ้ล่ะก็…เธอก็จะ…ท่านหญิงก็จะ… ฮึก
อัลที่เลิกหวังพึ่งสุบารุยังคงพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาด้วยตัวเขาเอง แต่เสียงของเขาก็เริ่มอ่อนแรงลงทุกที เหลือเพียงแค่เสียงสะอื้นไห้เหมือนเด็กน้อย
พริสซิลล่าปลอบอัลอย่างอ่อนโยนราวกับว่าเธอเป็นมารดาที่กำลังปลอบลูกชายขี้แย
พริสซิลล่า: ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า… เยี่ยมๆ ได้ยินชัดเจนเลยล่ะ เสียงสะอื้นของเจ้าที่อ้อนวอนอยากให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าสาวน่ะ
อัล: อา อยากอยู่แล้วล่ะ ท่านหญิง ท่านหญิงของชั้น…
อัลทั้งพยักหน้าและกอดร่างของพริสซิลล่าให้แน่นยิ่งกว่าเดิมจากนั้นก็กล่าวสารภาพรักต่อหญิงสาวในอ้อมแขน ดวงตาสีชาดของอีกฝ่ายกระพริบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยตอบ
พริสซิลล่า: ――เห็นไหมล่ะ ข้าพเจ้าชนะอีกแล้ว
พริสซิลล่า บาริเอลประกาศชัยชนะพร้อมรอยยิ้ม ตัวเธอคือหญิงสาวผู้งดงามที่เป็นสัญลักษณ์ของความหยิ่งผยองและความมั่นใจอย่างแท้จริง
พริสซิลล่ากล่าวทิ้งท้ายว่าผู้ที่กล้าจะแบกรับ “ภาพมายาวีรชน” นั้นจะสามารถต่อต้านโชคชะตาที่กำหนดไว้แล้วได้ แต่พวกเขาจะต้องแบกรับบาดแผล หยาดน้ำตา และความเจ็บปวดสืบเนื่องต่อไป
ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยความเสียใจต่อการกระทำในอดีตหรือเส้นทางที่เลือกเดิน พวกเขาจะได้เห็นทั้งด้านแย่ของสิ่งที่รักและด้านดีของสิ่งที่เกลียด
พริสซิลล่า: ขอให้จดจำไว้ ว่าข้าพเจ้า พริสซิลล่า บาริเอล สตรีผู้สมบูรณ์แบบคนนี้ยกย่องในตัวพวกเจ้า
ทั้งอัลและสุบารุต่างไม่สามารถละสายตาไปจากพริสซิลล่าได้ ชายทั้งสองเฝ้ามองดูจนร่างของเธอสลายหายไปกับแสงตะวัน
พริสซิลล่า: โลกมันช่างงดงามเหลือเกิน ไม่แปลกเลย――ที่โลกน่ะถูกสรรค์สร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของข้าพเจ้า
“เจ้าหญิงสุริยา” พริสซิลล่า บาริเอล ผู้มีชีวิตดั่งเปลวเพลิง เธอคือผู้มีคุณสมบัติครองบัลลังก์คนแรกที่ต้องออกจากการคัดสรรกษัตริย์
. จบตอน