
บทที่ 9 ตอนที่ 2 "ตัวร้ายไม่สะทกสะท้าน"
. หลังศึกใหญ่จบลง การ์ฟีลตัดสินใจมาช่วยรักษาคนเจ็บของฝั่งจักรวรรดิต่อโดยไม่พัก เนื่องจากตัวเขามี [พรคุ้มครองแห่งวิญญาณปฐพี] ช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าอยู่แล้ว
หนึ่งในคนเจ็บคือโอลบาร์ตผู้สูญเสียแขนสองข้างไปอย่างถาวร ซึ่งกระทั่งเวทรักษาของการ์ฟีลก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ กระนั้นตาเฒ่าก็ยังคงคล่องแคล่วขนาดที่ยกเท้ามาเกาคอแทนมือได้
คนเจ็บตัวปัญหาอีกคนคือ “กรูวี่ กัมเล็ต” ซึ่งยังคงแหกปากเสียงดังได้แม้ว่าเจ้าตัวจะนอนแผ่ราบอยู่บนเตียงเพราะเป็นบุคคลที่เฉียดตายมากที่สุดจากศึกครั้งนี้
การ์ฟีลเปรียบเปรยอาการปางตายของกรูวี่ด้วยสำนวน “ของเซ่นไหว้แห่ง [วีวีโรโร]” ร่างกายของเขาเจ็บหนักจนไม่ควรร่ายเวทรักษาไปกระตุ้นเกินควรในตอนนี้ น่าแปลกใจที่เจ้าตัวยังแหกปากได้
ในศึกก่อนหน้า กรูวี่คือกุญแจสำคัญที่ช่วยย้าย [คำสาปแห่งหนาม] ออกจากร่างของยูการ์ด วอลลาเคีย ส่งผลให้ไม่มีพรรคพวกคนใดถูกหนามเล่นงานอีก
มิหนำซ้ำกรูวี่ยังย้ายคำสาปแห่งหนามมาใส่ในร่างตัวเอง แล้วใช้ [ดาบอสูร] ฟันผ่าร่างตัวเองเพื่อกำจัดคำสาปทิ้ง ก่อนที่จะส่งต่อดาบให้เซซิลุส
. ผลงานเสี่ยงชีวิตของทั้งการ์ฟีล กรูวี่ และโอลบาร์ตล้วนแต่ส่งผลต่อชัยชนะของฝั่งจักรวรรดิ โอลบาร์ตกล่าวยินดีที่พวกคนหนุ่มในห้องนี้รอดมาได้ ไม่ชิงตายไปก่อน
พูดถึงคนที่รอดตายมาได้แล้ว ก็มีอยู่อีกคนหนึ่งที่รอดมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาคือโลหะรูปร่างมนุษย์ที่ยืนพิงกำแพงอยู่ที่มุมห้องรักษาเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน
โมโกร: ฉัน สัมผัสได้ถึงการจ้องมอง คาดการณ์ว่าเป็นการมอบงาน สั่งการ หรือชี้แนะ อย่างใดอย่างหนึ่ง
อัญมณีสีเขียวบนหัว [มนุษย์โลหะ] โมโกร ฮากาเนะ เปล่งแสงขึ้นเมื่อการ์ฟีลจ้องมองไปทางเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มเดินเข้ามาหาพวกกรูวี่ที่เตียงคนเจ็บ
ถึงแม้ว่าพระราชวังแก้วผลึกกับปืนใหญ่ผลึกมนตราจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่โมโกรที่เป็น [มีทิเออร์] แกนกลางของพระราชวังกลับยังรอดชีวิตมาได้
การ์ฟีล: อา โทษที แค่เผลอชายตามองไปทางนั้นน่ะ ไม่ได้จะขออะไรหรอก
โมโกร: รับทราบ อีกสองคนล่ะ?
กรูวี่: ไม่มีอะไรหรอกเฟ้ย แม่งอย่ายืนเกะกะสิวะ ไปรออยู่แถวนั้นซะ โมโกร
โมโกร: โมโกร นั่นคือตัวฉัน รับทราบแล้ว รอคอยคำสั่ง ต่อไป
. โมโกรไปนั่งลงอยู่ข้างเตียงตามทิศทางที่กรูวี่ใช้คางชี้บอก ทำให้เขาดูคล้ายกับเครื่องประดับขนาดใหญ่
โอลบาร์ต: ว่านอนสอนง่ายเหมือนกับมกรปฐพีหรือหมาป่าอัสนีเลยน้อ แต่ว่า เป็นงั้นไปเฉยเลยน้อ กระทั่งพระราชวังแก้วผลึกยังหลงลืมได้
หลังบัลรอยพาแกนกลางบินไประเบิดบนฟ้า ส่วนที่เป็นโมโกรก็หล่นลงมาข้างๆ กรูวี่ที่นอนสลบอยู่พอดี จนโอลบาร์ตแซวว่าโมโกรคงอยากมาหาเพื่อนสนิท
ทว่า โมโกรในปัจจุบันได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดก่อนเหตุการณ์ [มหาภัยพิบัติ] ไปแล้ว สุบารุใช้คำพูดเปรียบเปรยว่าโมโกรนั้นอยู่ใน [สถานะล้างเครื่องใหม่]
การ์ฟีลรู้ดีว่าการสูญเสียความทรงจำมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เพราะเรมเองก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน การ์ฟจึงเลือกมองแง่ดีว่าอย่างน้อยโมโกรก็ยังคงมีความห่วงใยต่อกรูวี่เหมือนในอดีต
ตอนที่เรมได้เจอรัมเป็นครั้งแรก เธอก็สัมผัสได้ถึง [อะไรบางอย่าง] จากพี่สาวทั้งที่จำกันไม่ได้ ไม่แน่ว่าโมโกรอาจจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คล้ายกันจากกรูวี่เช่นกัน
การ์ฟีล: แต่ก็นะ จอมพลพูดไว้เหมือนกันว่าถูกยัยเรมนั่นหักนิ้วแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเนี่ยซี่…
การ์ฟีลมองว่าโมโกรอาจจะมาที่ห้องรักษาเพื่อเยียวยาหัวใจของตนเองที่ไม่มีใครจดจำได้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะไล่เขาออกไป
โมโกรตรวจจับได้ว่ากรูวี่กำลังซึ้งจนน้ำตาไหล เจ้าหมาในเปี๊ยกจึงตะคอกใส่ให้เขาหุบปากไป การ์ฟีลที่มองอยู่ขำออกมาแบบไม่เกรงใจว่าที่นี่เป็นห้องรักษา
. ตัดไปทางออตโต้และอนาสตาเซียซึ่งกำลังเสวนากันถึงประเด็นที่ว่าฝ่ายอนาสตาเซียจะเดินทางกลับลูกุนิก้าผ่านคารารากิ เนื่องจากพวกเธอมาที่จักรวรรดิในฐานะทูต
ฉากหน้าออตโต้ตอบรับแบบธรรมดาว่า “อย่างนี้นี่เอง” แต่ภายในใจเขาคำนึงถึงเรื่องผลงานในภาพรวมของฝ่ายอนาสตาเซียที่น่าจะออกนำฝ่ายเอมิเลียอยู่ก้าวหนึ่ง
จริงอยู่ว่าเอมิเลียสร้างผลงานโดดเด่นในการหยุดยั้ง [มหาภัยพิบัติ] แถมจักรพรรดิวินเซนต์ยังขอความช่วยเหลือจากลูกุนิก้าผ่านเอมิเลียโดยตรง
แต่ฝ่ายอนาสตาเซียเองก็มีส่วนร่วมในผลงานที่ผ่านมาของฝ่ายเอมิเลียเช่นกัน ทั้งที่เมืองพริสเทล่า หอสังเกตการณ์เพลอาเดส และจักรวรรดิวอลลาเคีย
มิหนำซ้ำฝ่ายอนาสตาเซียยังเข้าจักรวรรดิแบบถูกกฎหมายในฐานะคณะทูตจากคารารากิ พวกเธอคงจะทำข้อตกลงบางอย่างกับนครรัฐไว้ด้วย ซึ่งน่าจะนับเป็นผลงานเพิ่มเติมได้อีก
เทียบกันแล้ว ฝ่ายเอมิเลียได้ลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย โชคดีที่แต่ละคนสร้างผลงานกันไว้ได้ยอดเยี่ยมเลยเสมือนว่ามีของฝากกลับประเทศ
. อนาสตาเซียผู้หลักแหลมมองออกว่าออตโต้กำลังครุ่นคิดเรื่องต่างๆ มากมายอยู่ในหัว ออตโต้จึงยิ้มปฏิเสธแล้วเบี่ยงประเด็นไปหาเบลสเต็ตซ์ซึ่งนั่งอยู่ในห้องเช่นกัน
ในฐานะสมุหนายกแห่งจักรวรรดิ เบลสเต็ตซ์มีภาระงานอย่างหนักหนาสาหัสไม่ต่างอะไรจากวินเซนต์ในการเยียวยาประชาชนและบูรณะประเทศขึ้นมาใหม่
ที่จริงเบลสเต็ตซ์มองว่าตัวเขาที่สมคบคิดกับ [แมงมุมขาว] จิชา โกลด์ เพื่อโค่นบัลลังก์จักรพรรดิ สมควรถูกประหารด้วยซ้ำ แต่วินเซนต์กลับเลือกไว้ชีวิตเขา
แต่ถึงจักรพรรดิจะกำชับไว้แล้ว ก็อาจจะมีคนไม่พอใจหาโอกาสเชือดเบลสเต็ตซ์ทิ้งอยู่ดี ทว่า คำป่าวประกาศของ [อัสนีสีฟ้า] ก็ได้ช่วยรักษาชีวิตของชายแก่เอาไว้
เซซิลุสเชื่อว่าการที่วินเซนต์ไว้ชีวิตเบลสเต็ตซ์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จิชาวางไว้เช่นกัน เพราะเขาคงอยากให้วินเซนต์เหลือมันสมองไว้ช่วยบูรณะวอลลาเคีย
ดังนั้น ถ้าหากมีใครหมายเอาชีวิตเบลสเต็ตซ์ล่ะก็ เซซิลุสขู่ไว้ว่าเขาจะแสดงด้านเหี้ยมโหดเหมือนคมดาบที่ไม่ได้เผยออกมาเสียนานอีกครั้ง
. ปัจจุบันวินเซนต์ยอมรับมเหสีแล้ว ซึ่งทำให้เบลสเต็ตซ์อุ่นใจเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่ฤกษ์งามยามดีดังกล่าวถูกกดทับด้วยความสูญเสียครั้งใหญ่
วินเซนต์พึ่งจะสูญเสียบริวารคนสนิทและน้องสาวร่วมสายเลือดไปแบบติดต่อกัน โดยคนหลังเป็นบุคคลที่ทั้งอนาสตาเซียและออตโต้รู้จักโดยตรง
อนาสตาเซีย: เป็นเจ้าหญิงที่เอาแต่ใจเหลือเกินนะ
อนาสตาเซียที่ปกติเก่งกล้าไม่สะทกสะท้านต่อหน้าทุกสถานการณ์แสดงด้านอ่อนแอที่หาโอกาสเห็นได้ยากออกมาผ่านคำพูดเสียงค่อย
ที่จริงออตโต้รอคอยจังหวะที่อนาสตาเซียจะเผยจุดอ่อนออกมาเช่นนี้อยู่นานแสนนานแล้ว แต่ในเวลานี้ เขากลับเลือกที่จะปล่อยผ่านมันไปโดยไม่ใช้ประโยชน์
นั่นก็เพราะว่าเหตุครั้งนี้มิใช่สิ่งที่จะสามารถใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องได้ เพราะคงแทบไม่มีโอกาสที่อนาสตาเซียจะเปิดเผยจุดอ่อนแบบเดิมซ้ำอีก
มิหนำซ้ำ ความตายของ “พริสซิลล่า บาริเอล” ยังได้สร้างบาดแผลทางจิตใจให้แก่สมาชิกฝ่ายเอมิเลียไว้หนักหนากว่าฝ่ายอนาสตาเซียเสียอีก ออตโต้จึงมองว่าเขาไม่ควรใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้
ว่ากันตามตรง ออตโต้มองว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสมาชิกฝ่ายเอมิเลียกับฝ่ายอนาสตาเซียสนิทสนมกันเกินกว่าที่ควรในมุมมองของเขาด้วยซ้ำ
. เอคิดน่า(จิ้งจอก): ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อเล่นบทตัวร้ายขนาดนั้นก็ได้นะ
ออตโต้: ――ที่พูดนั่น หรือว่าจะหมายถึงผมงั้นเหรอครับ?
ตอนนั้นเองที่วิญญาณจิ้งจอกเอคิดน่าทักเขาขึ้นมา ออตโต้เลือกบ่ายเบี่ยงสิ่งที่เธอพูด เอคิดน่าจึงชมว่าออตโต้น่าจะเป็นคู่ปรับที่ดีของอนาสตาเซียได้เลย
เอคิดน่าคงจะตระหนักดีถึงบาดแผลในใจอนาสตาเซีย เธอน่าจะจงใจเอ่ยแทรกขึ้นมาเพื่อทดสอบดูว่าออตโต้ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากบาดแผลนั้นไหม
ออตโต้: ไม่ได้มองว่าตัวเองฝืนเล่นบทตัวร้ายอยู่เลยครับ …ถ้าเป็นเรื่องบทล่ะก็ มันก็แค่การแสดงเท่านั้นเองครับ
ในทางกลับกัน ความตายของพริสซิลล่ามิได้ทำให้ออตโต้สะทกสะท้านเลยสักนิด กระทั่งเจ้าตัวยังตระหนักได้เลยว่าตัวเขาช่างมีจิตใจเย็นชาเหลือเกิน
ออตโต้มองว่าพริสซิลล่าเป็นผู้ชิงบัลลังก์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและโดดเด่น แต่การสูญเสียผู้ชิงบัลลังก์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ออตโต้คาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจเกิดขึ้นได้
กระนั้นมันก็ยากที่จะคาดเดาว่า [สภานักปราชญ์] จะหาผู้ท้าชิงบัลลังก์คนใหม่มาแทนที่หรือดำเนินการคัดสรรกษัตริย์ต่อไปทั้งที่เหลือผู้ท้าชิงสี่คนกันแน่
ส่วนตัวออตโต้มองว่าอย่างหลังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า
. เนื่องจากทางวอลลาเคียไม่อยากให้คนนอกรู้เห็นช่วงการบูรณะประเทศ ฝ่ายอนาสตาเซียจึงจะออกเดินทางไปคารารากิในวันพรุ่งนี้ ส่วนฝ่ายเอมิเลียจะเดินทางกลับลูกุนิก้าภายในสองสามวัน
ฝ่ายเอมิเลียที่น่าจะเดินทางไปถึงก่อนจะเป็นผู้รายงานสถานการณ์ให้ [สภานักปราชญ์] ทราบ ซึ่งเอมิเลียต้องรับบทหนักเป็นผู้รายงานหลักโดยที่มีออตโต้ติดตามไปด้วย
สภาพจิตใจปัจจุบันของสุบารุค่อนข้างหนักหน่วงจนน่าจะส่งตัวไปเข้าร่วมการรายงานได้ยาก ยุลิอุสเองก็แวะไปเยี่ยมหาหลายครั้งและเห็นอาการมาเองกับตาแล้ว
เบลสเต็ตซ์กล่าวทิ้งท้ายว่าเขาได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิมาแล้วว่าให้ช่วยเหลือฝ่ายอนาสตาเซียและฝ่ายเอมิเลียอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้
อนาสตาเซียรู้สึกเกรงใจต่อสัญญาปากเปล่าที่เล่นแง่ได้ง่ายเช่นนั้น ทว่า ฝั่งออตโต้พร้อมที่จะเค้นประโยชย์จากมันอย่างเต็มที่
นั่นก็เพราะว่า ออตโต้ ซูเวน ได้ตัดสินใจเลือกแล้วว่าตัวเขาจะยอมรับบทเป็น [ตัวร้ายจำเป็น] ของฝ่ายเอมิเลีย
ต่อให้พริสซิลล่าไม่ตายจากศึกครั้งนี้ ออตโต้ก็คงจะเฟ้นหาหนทางมาตัดสิทธิ์ผู้ชิงบัลลังก์ของเธอโดยชี้เป้าไปที่ประเด็นสายเลือดราชวงศ์วอลลาเคียอยู่ดี
ออตโต้: ――ต่อให้คุณจะรอดตายมาได้ ก็ไม่ใช่ศัตรูของพวกผมอยู่ดี ถึงกับทำให้คุณนัตสึกิกับท่านเอมิเลียต้องรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้ ความตายของคุณน่ะ… ทำให้ผมเสียแผนเหลือเกินครับ
ในฐานะบุคคลต่างฝ่ายที่มิได้มีเหตุผลให้เศร้าเสียใจต่อการตายของเธอ นี่คือการไว้อาลัยในแบบฉบับของออตโต้ ซูเวน ต่อหญิงสาวผู้จากไป
. จบตอน