รัมบังเอิญเดินผ่านมาเห็นตอนที่ “ฟล็อป โอคอนเนล” กับ “ทาริตต้า” กำลังสนทนากันอยู่ เธอจึงหยุดเฝ้าดูทั้งสองจากบนระเบียงทางเดิน
ฟล็อปปลื้มปิติเรื่องที่มีเดียมได้ขึ้นเป็นมเหสี ซึ่งทำให้เป้าหมายการล้างแค้นต่อโลกของสองพี่น้องโอคอนเนลใกล้สำเร็จมากขึ้น ซึ่งทาริตต้าเองก็อมยิ้มมีความสุขไปด้วย
มิเซลด้า: ――รัม มาทำอะไรอยู่ตรงนี้งั้นรึ?
รัม: ตายจริง มิเซลด้า พอดีกำลังสอดส่องชีวิตรักของน้องสาวของเธออยู่ห่างๆ น่ะ
มิเซลด้า: โฮ่ รสนิยมดีนี่ ไหนดูซิ
รัมถามมิเซลด้าว่าเธอ “เป็นห่วง” น้องสาวไหม ซึ่งมิเซลด้าก็ไม่ปฏิเสธ แต่เธอชอบใช้คำว่า “กังวล” มากกว่า ถึงแม้ตัวเธอจะมองว่าฟล็อปเป็นผู้ชายที่ดีก็ตาม
รัมเข้าใจความรู้สึกของมิเซลด้าเป็นอย่างดี เพราะเธอเองก็ห่วงใยเรมจนกังวลเกี่ยวกับความรักของเธออยู่เสมอ สองสาวแซวสุบารุเล่นว่าเขาเป็นคนดีก็จริง แต่แววตานี่ใช้ไม่ได้เลย
รัม: ชักจะถูกใจเธอขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ มิเซลด้า
มิเซลด้า: งั้นรึ ฉันเองก็ด้วย ถ้าเกิดว่าเธอเป็นผู้ชายล่ะก็ คงเอามาเป็นสามีของฉันไปแล้ว
. ฟล็อปสอนทาริตต้าว่าหากมีเป้าหมายหรือความฝันอะไรอยู่ เวลาที่โอกาสผ่านเข้ามา ก็จงคว้ามันเอาไว้อย่าให้พลาด เหมือนกับที่ตัวเขาคว้าโอกาสไว้จนได้สนิทกับวินเซนต์
กระนั้นฟล็อปก็ไม่เคยคิดที่จะยกความฝันอยู่เหนือความสุขของครอบครัว เขาเสนอให้มีเดียมเป็นมเหสีเพราะรู้อยู่แล้วว่าน้องสาวแอบมีใจให้วินเซนต์อยู่
ที่จริงการแต่งงานระหว่าง “วินเซนต์ วอลลาเคีย” กับ “มีเดียม โอคอนเนล” เป็นเรื่องที่ควรรับรู้กันแค่วงใน แต่ข่าวลือก็เริ่มหลุดออกไปถึงหูประชาชนข้างนอกบ้างแล้ว
เนื่องจากมันคือกลยุทธ์ของเบลสเต็ตซ์และเซรีน่าในการมอบความหวังที่จะช่วยเยียวยาหัวใจของชาวจักรวรรดิ อย่างน้อยพวกเขาจะได้มีเรื่องน่ายินดีให้ฉลองในช่วงตกทุกข์ยากเฉกเช่นปัจจุบัน
รัมมองว่าฟล็อปเป็นชายที่ฉลาดหลักแหลมมาก เขามองการณ์ไกลถึงผลลัพธ์นี้ตั้งแต่ตอนที่เสนอน้องสาวเป็นมเหสี แถมมีเดียมก็ไม่ได้ถูกยัดเยียดเป็นหมากทางการเมืองโดยขัดต่อหัวใจเธอ
พอคิดดูแล้ว รัมก็อยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการภายในของฝ่าย(ออตโต้)หัดเอาอย่างฟล็อปบ้าง แทนที่จะมัวแต่แสร้งรับบทร้ายเหมือนเสพติดยา
รัมสงสัยขึ้นมาว่ามิเซลด้ายังชอบวินเซนต์อยู่ไหม อีกฝ่ายจึงปฏิเสธว่าเธอถูกใจหน้าตาเขาก็จริง แต่มิเซลด้ามองวินเซนต์เป็นสหายร่วมรบที่หน้าตาดีมากกว่าจะอยากได้เป็นสามี
. ทาริตต้าเอ่ยชมความกล้าในการตัดสินใจไขว่คว้าโอกาสของฟล็อป แต่แล้วฟล็อปกลับชี้นิ้วไปจ่อหน้าทาริตต้าพลางเล่าว่าเขาได้รับความกล้ามาจากเธอนั่นแหละ
การชี้นิ้วอย่างกะทันหันของฟล็อปทำให้ทาริตต้าเผลอโต้ตอบตามสัญชาตญาณนักรบด้วยการบิดนิ้วเขาแล้วเหวี่ยงร่างอัดใส่กำแพง
หลังทั้งสองฝ่ายต่างขอโทษกัน ฟล็อปกล่าวต่อว่าเขาชื่นชมทาริตต้าเรื่องการเตรียมใจของเธอมากที่สุด
ตอนที่มิเซลด้าต้องสละตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทาริตต้าจำเป็นต้องแบกรับทั้งความคาดหวังและภาระหน้าที่ต่อ แต่เธอก็ยอมรับมันและผ่านพ้นมาได้อย่างกล้าแกร่ง
เหตุการณ์นั้นมอบความกล้าให้แก่ฟล็อปและเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเลิกหลีกเลี่ยงการตัดสินใจสำคัญ เพราะงั้นฟล็อปจึงอยากหาโอกาสขอบคุณทาริตต้าเรื่องนั้นมาโดยตลอด
นอกจากนี้ ศึกใหญ่ที่ผ่านมายังช่วยย้ำเตือนให้ฟล็อปตระหนักว่าอนาคตมันไม่เที่ยงเสมอไป ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะยังมีวันพรุ่งนี้อยู่ไหม
ฟล็อปรู้สึกขอบคุณหญิงสาวผู้บันดาลเปลวเพลิงบริเวณดวงตาซึ่งทำให้ตัวเขารอดมาถึงช่วงเวลานี้ได้ ด้วยเหตุนั้น ฟล็อปจึงเลือกที่จะไม่ลังเลอีกต่อไปเมื่อเขาเห็นโอกาสอยู่ตรงหน้า
ฟล็อป: คุณหญิงทาริตต้า ผมน่ะถูกชะตากับทั้งตัวตนและแนวคิดของเธอเลยล่ะ ถ้าให้พูดแบบเรียบง่ายกว่านั้นล่ะก็ อยากที่จะอยู่เคียงข้างเธอน่ะ! เพราะงั้น สนใจเปลี่ยนชื่อเป็น “ทาริตต้า โอคอนเนล” ไหม?
ทาริตต้า: …อา ――แต่ว่า ฉันน่ะ…
เมื่อฟล็อปเป็นฝ่ายจีบตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม รัมนึกว่าทาริตต้าจะเบิกบานใจเหมือนทุ่งดอกไม้ผลิบาน ทว่า ทาริตต้ากลับเป็นฝ่ายที่ออกอาการลังเลเสียแทน
. ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่าชูดราค ชายที่สาวเผ่าชูดราคเลือกเป็นสามีจะต้องถูกนำตัวกลับไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านในป่าแบดไฮม์ด้วยกัน
ทว่า ในฐานะพี่ชายของมเหสี ฟล็อปน่าจะมีภาระงานมากมายอยู่ที่นครจักรพรรดิ แถมทาริตต้ายังไม่อยากให้สองพี่น้องโอคอนเนลต้องแยกห่างจากกัน
มิเซลด้า: อย่าห่วงเลย ทาริตต้า!
ทาริตต้า: ――ทะ…ท่านพี่?
ตอนนั้นเองที่มิเซลด้าเคาะขาเทียมไม้ใส่ราวบันไดเพื่อเรียกความสนใจ จากนั้นก็ประกาศปลดทาริตต้าออกจากตำแหน่งและขับไล่เธอออกจากเผ่า โดยอ้างเหตุผลว่าผู้ชายคนเดียวทำให้ทาริตต้าลังเลต่อหน้าที่
ฟังดูผิวเผินอาจจะโหดร้าย แต่ว่านี่คือทางออกที่จะช่วยให้ทาริตต้าได้อยู่เคียงข้างฟล็อปอย่างมีความสุขและไม่ต้องพะวงกับภาระหน้าที่อีกต่อไป
มิเซลด้าหันหลังเดินจากมาโดยที่รัมเดินตามมาด้วย ฟล็อปตะโกนตามหลังมาขอบคุณมิเซลด้าและถามว่าเธอมีอะไรที่อยากให้เขาช่วยไหม
มิเซลด้า: คิดออกละ ส่งตัวผู้ชายที่แกร่ง บึกบึน และหน้าตาดีมาเป็นทูตที่หมู่บ้านของชูดราคสิ เพียงเท่านั้น พันธมิตรระหว่างพวกข้ากับนครจักรพรรดิก็จะคงอยู่ต่อไป
ฟล็อป: ――ฮ่าฮ่า! รับทราบแล้ว! คุณหญิงมิเซลด้า! ไม่สิ พี่สะใภ้คุง!
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้หยุดดู แต่รัมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของทาริตต้าวิ่งโผเข้าไปกอดฟล็อปหลังคำพูดนั้นอย่างชัดเจน
. หลังเดินมาได้สักพัก รัมกับมิเซลด้าก็มาเจอเข้ากับคูนาและโฮลี่ ซึ่งทั้งสองคนก็ไม่ติดขัดหากมิเซลด้าจะกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าต่อเหมือนเดิม
ตั้งแต่ที่สูญเสีย “มารีอูลี” ซึ่งเป็นพี่น้องคู่วิญญาณไป ทาริตต้าก็ปิดกั้นตัวเองมาโดยตลอด มิเซลด้าจึงโล่งใจที่น้องสาวได้มีคนสำคัญคนใหม่ในชีวิตเสียที
บาดแผลจากความสูญเสียนั้นมิเคยจางหาย ถึงแม้ว่าจักรวรรดิจะได้รับชัยชนะในศึกใหญ่ แต่ผู้คนใกล้ตัวรัมอย่างเรม เอมิเลีย และสุบารุก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
มิหนำซ้ำ บาดแผลทางจิตใจที่เกิดขึ้นยังมิใช่สิ่งที่สามารถลบล้างได้ด้วยการพูดคุยหรืออยู่เคียงข้างบุคคลที่เจ็บปวดเหล่านั้น
มิเซลด้า: ขอขอบพระคุณ ต่อสัตย์สาบานของบรรพบุรุษและความภาคภูมิของวิญญาณบรรพชน
คูนา & โฮลี่: ขอขอบพระคุณ
เมื่อได้เห็นสามสาวเผ่าชูดราคร่วมกันสวดภาวนาตามธรรมเนียมให้แก่ทาริตต้าที่หลุดพ้นจากวังวนความทุกข์ รัมก็ร่วมสวดภาวนาให้แก่ผู้สูญเสียและความไร้เหตุผลที่หัวใจของผู้คนมิสามารถเยียวยาได้
รัม: ขอขอบพระคุณ
. ตัดไปทางฝั่งเรมที่กำลังดันรถเข็นของคาชัวไปตามป้อมปราการที่พื้นไม่เรียบเพราะเต็มไปด้วยเศษซากความเสียหาย
คาชัวเล่าให้เรมฟังว่าจามาลที่รอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ประจำตัวของจักรพรรดิวินเซนต์แล้ว
เรม: คุณพริสซิลล่า…
หัวใจของเรมเจ็บปวดขึ้นมาเมื่อถึง [เจ้าหญิงสุริยา] ผู้ล่วงลับ ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ตัวตนของเธอคนนั้นก็สลักแน่นอยู่ในใจเรม
เรมยังคงจดจำคำสั่งสอนจากการสนทนาครั้งสุดท้ายกับพริสซิลล่าได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้ว่าเธอจะยังคงไม่เข้าใจความหมายของ “แกนกลางอัญมณี” ที่หญิงสาวพูดถึงก็ตาม
คาชัวสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของเรม เธอจึงใช้มือเบรกล้อรถแบบกะทันหันแล้วแนะนำให้เรมไปทำใจกับพี่สาว เพื่อนร่วมฝ่าย หรือเจ้าผู้ชายขี้โหวกเหวก(สุบารุ)แทนที่จะอยู่กับคาชัวดีกว่า
เรมปฏิเสธ เนื่องจากเพื่อนๆ จากฝ่ายเอมิเลียคงช่วยเติมเต็มช่องว่างในหัวใจจากการสูญเสียพริสซิลล่าไม่ได้และเธอก็ไม่อยากรบกวนสุบารุในตอนนี้
การใช้เวลาร่วมกับคาชัวที่ไม่ได้ทั้งกังวลเกินเหตุหรือโอ๋ตัวเธอมากเกินไปคือสิ่งที่ทำให้เรมรู้สึกสบายใจที่สุดในปัจจุบัน
. เรมกับคาชัวเหลือบไปเห็นชายหนุ่มผมสีเทาที่กำลังโบกมือทักทายทั้งสอง เรมจำอีกฝ่ายไม่ได้ แต่คาชัวนึกออกว่าหมอนี่คือ “จอมอู้งาน” ที่เคยเจอกันครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มคนนั้นคือ “อูบิรูค” อดีตนักอ่านดารานั่นเอง พออูบิรูคเริ่มเดินเข้ามาใกล้ เรมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกระแวง แต่อูบิรูครีบยกมือค้านทันทีว่าตัวเขาเป็นแค่คนไร้พิษภัยที่กำลังจะแอบหนีไปเงียบๆ
คาชัวตำหนิอูบิรูคที่อู้งานไม่ยอมอยู่เหลือคนอื่นอีกแล้ว อูบิรูคไม่ปฏิเสธเรื่องนั้น แต่เสริมต่อว่าจากนี้ไปเขาจะใช้ชีวิตกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทนที่จะรอคอยเสียงจากเบื้องบน
อูบิรูคมองว่าบางทีการบังเอิญเจอกับคาชัวก่อนหนีออกไปอาจจะเป็นโชคชะตาสุดท้ายที่ดวงดารากำหนดให้แก่ตัวเขาก็ได้
เรมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายพูดความจริง เขามิได้ประสงค์ร้ายต่อคาชัว แถมยังรู้สึกเคารพในตัวเด็กสาวผู้ขาพิการด้วยซ้ำ
อูบิรูค: คุณหนู เธอน่ะได้กอบกู้จักรวรรดิวอลลาเคียเอาไว้ ทั้งประกายจากแสงอรุณรุ่งและชีวิตของผู้คนที่ได้เห็นหลังจากนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เธอช่วงชิงมาจาก [ลิขิตสวรรค์]
คาชัว: …นี่ล้อเลียนกันอยู่รึไง?
. ส่วนตัวอูบิรูคไม่ปลื้มเวลาถูกวินเซนต์และจิชาทำอะไรเหนือความคาดหมายทั้งที่ตัวเขาปฏิบัติตาม [ลิขิตสวรรค์] อย่างเคร่งครัด คาชัวคือข้อยกเว้นเดียวที่เขาเคารพ
คาชัวมองว่าถ้าหากอูบิรูคขอบคุณเธอที่ช่วยเตือนสติเขาให้เลิกอู้ในตอนนั้น ก็ต้องขอบคุณเรมที่ช่วยดันรถเข็นและขอบคุณท็อดด์ที่ทำให้เธอกับเรมได้เจอกันแต่แรกด้วย
ประเด็นคือคาชัวไม่อยากให้อูบิรูคยกความดีความชอบให้แก่ตัวเธอผู้ไร้ประโยชน์เพียงคนเดียว เพราะคาชัวที่ตัวคนเดียวน่ะ แค่ล้อรถเข็นติดหล่มก็คงตายแล้ว
อูบิรูค: หุ ฮ่าฮ่า ฮ๊า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!
คาชัว: ขะ…ขำอะไรยะ?
อูบิรูค: เฮ้อออ ดีจังที่ได้คุยกัน ถ้าได้รู้ก่อนว่าคนแบบนี้จะกลายเป็นผู้บ่อนทำลาย [ลิขิตสวรรค์] ล่ะก็ ตัวผมอ่ะก็คงไปต่อไม่เป็นเหมือนกัน
อูบิรูคขอตัวร่ำลาเพียงเท่านี้ เรมสังเกตเห็นกระเป๋าสัมภาระใบเล็กวางอยู่ที่เท้าของเขา เธอจึงถามไว้ก่อนว่าเขาจะไปไหน ซึ่งชายหนุ่มก็ชี้ไปทางภูเขากิลโดเรย์
อูบิรูค: ก่อนอื่นเลยก็คือ ออกไปจากจักรวรรดิ ถ้างั้นก้อ รักษาตัวด้วยนะ
. เมื่อชายหนุ่มเดินจากไป คาชัวก็ตั้งคำถามว่าขาของเรมหายดีตั้งแต่ตอนไหน เรมจึงอธิบายว่าสาเหตุที่ขาเธอพิการก่อนหน้านี้เป็นเพราะมานาไหลเวียนไม่ทั่วถึง
โชคร้ายที่กรณีของเรมมันต่างจากคาชัวที่ขาพิการเพราะร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด แต่คาชัวรีบค้านว่าเรมไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเธอหรอก
เพราะหลังจากที่เรมกลับราชอาณาจักรไปแล้ว ยังไงจามาลหรือคนอื่นก็คงมาช่วยดันรถเข็นต่อได้ ที่สำคัญจนกว่าจะถึงเวลานั้น เรมก็คงอยู่เคียงข้างคาชัวอยู่แล้ว
อีกไม่นานเรมจะต้องจากลากับคาชัวและผู้คนในจักรวรรดิแล้ว ไม่รู้ว่ามันคือความโชคดีหรือโชคร้ายที่การสูญเสียของพริสซิลล่าคงช่วยให้เรมทำใจต่อการจากลาได้ดีขึ้น
[พริสซิลล่า: เรม จงทำตามสิ่งหัวใจของตนเองบอก หัวใจของเจ้ามันอาจจะสั่นไหว แต่รอยกระเพื่อมเหล่านั้นมิใช่สิ่งที่น่าอับอายหรอกนะ]
ตอนนั้นเองที่คำพูดสุดท้ายของพริสซิลล่าแวบเข้ามาในหัวเธอ หัวใจที่สั่นไหวของเรมคือจุดอ่อนที่ตัวเธอมิอาจขจัดออกไปได้ง่ายๆ กระนั้นพริสซิลล่ากลับมองว่ามันมิใช่สิ่งที่น่าอับอาย
――เพราะงั้นต่อให้หัวใจของเรมจะเต็มไปด้วยรอยกระเพื่อมจากการจากไปของเธอ หญิงสาวผู้นั้นก็คงให้อภัยเรมได้อยู่ดี
ดังนั้น จนกว่าที่จะถึงวันที่หัวใจของเรมกล้าแกร่งขึ้นกว่านี้ เรมก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลทุกครั้งยามที่นึกถึงพริสซิลล่า
. จบตอน