
นิยายสปินออฟ EX5 บท "แสงสายัณห์สีชาด" พาร์ท 9: ซ้อนแผน
. ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดิไดรเซ็น วอลลาเคีย จะมีการจัดงานเลี้ยงในสวนขึ้น 7 วันและพี่น้องเชื้อพระวงศ์ทุกคนจะถูกบังคับให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยง
เนื่องจากรู้ตัวว่าต้องกลายเป็นศัตรูกันในอนาคต เหล่าพี่น้องจึงมักจัดตารางเข้าร่วมงานเลี้ยงให้ไม่ตรงกันเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะ
แต่เนื่องจากว่ามีพี่น้องอยู่ถึง 67 คน การหลบหน้าพี่น้องทุกคนจึงเป็นไปไม่ได้
ซึ่งงานเลี้ยงรอบที่ลาเมีย ก็อดวินมีอายุ 9 ปีนั้น เป็นงานเลี้ยงที่เธอจดจำมิเคยลืมเลือน
. ในปีนั้น ลาเมียเดินตามหาท่านพี่วินเซนต์ที่มาเยี่ยมพระบิดาที่พระราชวังแก้วในวันเดียวกัน
การเป็นเชื้อพระวงศ์วอลลาเคียนั้นก็เหมือนกับการถูกบังคับให้โตไวเกินอายุ มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถรอดชีวิตในสภาพแวดล้อมนี้ได้
เพราะงั้นลาเมียจึงไม่หลงเหลือความไร้เดียงสาแบบเด็ก 9 ขวบทั่วไป เธอหันมายึดติดกับคนมากความสามารถและเฉลียวฉลาดเฉกเช่นพี่ชายสุดหล่อของเธอ
ทว่า พอลาเมียหาตัววินเซนต์เจอ เธอก็พบว่ามีสาวน้อยแปลกหน้าในชุดสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างท่านพี่ของเธอด้วย
พริสก้า: พริสก้า เบเนดิกต์ นั่นคือนามของข้าพเจ้า
――สามเดือนถัดจากงานเลี้ยงในวันนั้น ลาเมียก็ได้ทำการยึดอำนาจตระกูลและลงทัณฑ์ขุนนางที่ทรยศ
. เบลสเต็ตซ์: ปืนใหญ่ศิลามนตรายิงเข้าเป้า พอควันจางลงเมื่อไร กระผมจะรายงานผลลัพธ์ให้ทราบขอรับ
ลาเมีย: ต่อให้ใช้ศิลามนตราทุกอันที่เรามี ข้าก็ไม่สน ขอให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการก็พอ คอยรายงานความคืบหน้าให้ข้าทราบด้วย
เบลสเต็ตซ์: ขอรับ นายหญิง
ตัดกลับมาปัจจุบัน ลาเมียกำลังจดจ้องไปยังผืนป่าที่ถูกปืนใหญ่ศิลามนตรา 10 กระบอกรุมยิงจนควันโขมงและฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ
สาเหตุที่แท้จริงที่เธอยอมให้พริสก้าเข้าเป็นแนวร่วมในศึกนี้ ก็เพราะลาเมียรู้ดีว่าพริสก้านี่แหละคือกุญแจสำคัญในการเผด็จศึกวินเซนต์ในรวดเดียว
ลาเมีย: บอกไปแล้วนี่ พริสก้า ข้าระแวงเจ้ารองลงมาจากท่านพี่ที่รักของพวกเรา… เจ้าคิดเหมือนเขากว่าเราทุกคน เพราะงั้นเจ้าจะต้องหาเขาเจอแน่ ข้ามั่นใจ
ลาเมียยอมรับว่าเธอไม่สามารถคาดเดาเส้นทางหลบหนีออกจากอาณาเขตอาเบลุกซ์ของวินเซนต์ได้ แต่ที่เธอต้องทำก็เพียงแค่ใช้พริสก้าเป็นตัวชี้เป้า
[พาลาดิโอ้: วินเซนต์กับพริสก้าอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ยิงโดนทั้งคู่ไม่พลาดแน่]
พาลาดิโอ้ผู้มีสายเลือดของเผ่าเนตรมารมีความสามารถพิเศษในการระบุตำแหน่งใครก็ตามที่เขามีชิ้นส่วนร่างกายเก็บไว้ได้อย่างแม่นยำ
วินเซนต์นั้นระวังตัวอยู่เสมอจนลาเมียไม่สามารถเก็บเส้นผมหรือเศษเล็บมาได้ แต่ที่เธอต้องทำก็คือการตามรอยพริสก้าที่จะช่วยตามหาวินเซนต์ในสถานการณ์สำคัญแทน
ด้วยเหตุนี้ลาเมียจึงถ่อไปถึงคฤหาสน์ของพริสก้าในวันนั้นเพื่อแอบเก็บชิ้นส่วนร่างกายติดมือกลับมาให้พาลาดิโอ้ใช้ด้วย
. ลาเมีย: หัวใจของข้ารู้สึกเบาหวิวลงเสียที พริสก้า
การเตรียมการอันยาวนานถึง 7 ปีที่ลาเมียอุตส่าห์อดกลั้นไม่ฆ่าพริสก้าทิ้ง ทั้งหมดก็เพื่อแผนการสังหารวินเซนต์และพริสก้ารวดเดียวในวันนี้
ศัตรูตัวฉกาจทั้งสองของเธอถูกกำจัดลงแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงใช้หน่วยตัดกิ่งสังหารกองทหารของวินเซนต์ พี่น้องคนที่เหลือไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ครณามือลาเมีย ก็อดวินแม้แต่น้อย
[พาลาดิโอ้: ลาเมีย หลังศึกนี้จบแล้ว…]
ลาเมีย: รู้แล้วน่า ไว้ข้าจะให้เล็บมือ ปอยผม หรือชิ้นส่วนอะไรก็ว่าไป เจ้าอยากบุกมาหากลางวันหรือกลางคืนก็ตามใจเลย
พันธมิตรระหว่างลาเมียกับพาลาดิโอ้จะสิ้นสุดลงหลังจากที่วินเซนต์ตาย หนึ่งในข้อตกลงของทั้งคู่ก็คือลาเมียจะยอมมอบชิ้นส่วนร่างกายให้พาลาดิโอ้
ทว่า ลาเมียหาได้กังวลไม่ เพราะความสามารถระบุตำแหน่งของเนตรมารนั้นไร้ค่าหากผู้ใช้งานเป็นคนไร้น้ำยาอย่างพาลาดิโอ้
ลาเมียกำจุดอ่อนและความลับดำมืดของพี่น้องผู้ท้าชิงส่วนใหญ่เอาไว้ พวกเขาไม่มีทางเข้าร่วมกับพาลาดิโอ้เพื่อโค่นล้มลาเมียเหมือนอย่างที่วินเซนต์โดนแน่นอน
สุดท้ายแล้ว ลาเมียก็มองว่าพาลาดิโอ้โง่เขลาเสียยิ่งกว่าบัลทรอย เพราะเขาหลงคิดว่าตัวเองมีโอกาสชนะลาเมียได้
. ควันจากการกระหน่ำยิงของปืนใหญ่ศิลามนตราเริ่มจางลง ความรุนแรงของกระสุนปืนใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับขนาดและความบริสุทธิ์ของศิลามนตราที่ใช้
ในกรณีนี้ ลาเมียใช้ “ผลึกมนตรา” ซึ่งเป็นศิลามนตราที่มีความบริสุทธิ์สูงสุดเป็นกระสุน ดังนั้นความรุนแรงของปืนใหญ่คงเป็นรองแค่พระราชแก้วเท่านั้น
มันแรงขนาดที่ตัวปืนใหญ่ที่ใช้ยิงเองยังทนแรงสะท้อนจากกระสุนไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นราชวงศ์วอลลาเคียสองคนก็ไม่น่าจะรอดชีวิต…
พลสอดแนม: เป็นไปไม่ได้!
อยู่ดีๆ พลสอดแนมที่ใช้กล้องส่องทางไกลก็ร้องตะโกนออกมา ถึงลาเมียจะยังมองไม่เห็นสถานการณ์แน่ชัด แต่เธอก็รู้ตัวว่าบางอย่างผิดปกติ
เนื่องจากว่าต้นไม้รอบอาณาบริเวณป่าที่ควรถูกกระสุนปืนใหญ่ถางจนราบนั้นยังคงอยู่ในสภาพปกติหลังควันจางลง
พลสอดแนม: มีเงาคนอยู่ตรงจุดเข้าปะทะ! ――เด็กสาวผมเงินเผ่าสุนัข… มือขวาของพริสก้า เบเนดิกต์ขอรับ!
ลาเมียแย่งกล้องส่องทางไกลมาจากพลสอดแนมและคำรามไม่พอใจเมื่อส่องไปเห็นอาราเคียนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นโดยมีควันลอยออกจากปาก
. เด็กสาวอมนุษย์สุนัขสามารถหยุดยั้งกระสุนปืนใหญ่ของลาเมียไว้ได้ด้วยวิธีการบางอย่าง แต่เธอก็นอนแน่นิ่งหมดสภาพไปเช่นกัน
สิ่งสำคัญคือวินเซนต์กับพริสก้ายังไม่ตายแน่ๆ ลาเมียถึงจำเป็นต้องงัดแผนสำรองมาใช้ ซึ่งก็คือกองทัพของพี่น้อง 9 ตระกูลที่สละสิทธิ์ไปพร้อมบัลทรอย ฟิตส์
ลาเมีย: เริ่มซุ่มโจมตีได้ ต่อให้พวกนั้นจะไม่มีใจสู้ แต่ก็คงพอช่วยถ่วงเวลาได้บ้าง…
ทหาร: ฝ่าบาท!
ทันทีกับที่ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนเตือน ลาเมียก็เหลือบไปเห็นเงาของอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามา เธอจึงชักดาบแสงตะวันออกมาตามสัญชาตญาณ
ดาบของลาเมียเผาลูกศรดอกแรกที่พุ่งเข้ามาจนมอดไหม้ ทว่า ยังมีศรอีกหลายดอกกระหน่ำยิงตามเข้ามา เหล่าทหารจึงต้องรายล้อมนายหญิงไว้เพื่อกันลูกธนู
ลาเมียไม่เข้าใจว่าฝ่ายศัตรูรู้ตำแหน่งของเธอได้อย่างไร แต่พอคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายสุดแล้ว คำตอบมันก็ชัดเจน
ผู้ที่ซุ่มโจมตีก็คือทัพของพี่น้อง 9 คนที่สละสิทธิ์พร้อมบัลทรอย กลายเป็นว่าแผนการล้อมทัพของวินเซนต์ถูกซ้อนแผนจนกลายเป็นว่าทัพของลาเมียถูกล้อมเสียแทน
พี่น้อง 9 คนนี้ไม่น่าจะใจกล้าพอลุกฮือต่อต้านเธอในเวลานี้ นั่นแปลว่าวินเซนต์ อาเบลุกซ์ต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแน่นอน
คำถามคือวินเซนต์ร่วมมือกับพี่น้องทั้ง 9 คนตั้งแต่ตอนไหน?
ลาเมีย: ไม่จริงน่า… นี่ร่วมมือกับท่านพี่บัลทรอยมาตั้งแต่แรกเลยงั้นเหรอ?
ลาเมียขนลุกซ่านถึงความเป็นไปได้ที่เธออาจจะเต้นไปตามเกมของวินเซนต์และบัลทรอยตั้งแต่แรก
เท่านั้นยังพอ หากวินเซนต์คาดการณ์การโจมตีจากปืนใหญ่ศิลามนตราของลาเมียได้ตั้งแต่แรก นั่นแปลว่าพริสก้ากับวินเซนต์ก็รวมหัวกันเพื่อตลบหลังลาเมียด้วยเช่นกัน
. พันธมิตรลับระหว่างพริสก้ากับวินเซนต์ส่งผลให้ทัพลาเมียกลายเป็นฝ่ายที่ถูกตีวงล้อมแทน
เบลสเต็ตซ์แนะนำให้ลาเมียรวมกลุ่มกับหน่วยตัดกิ่งแล้วถอยทัพไปก่อน ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่เยือกเย็นและมีเหตุผลในสถานการณ์นี้
ทว่า ลาเมียดันหนีมาเจอกับเพชฌฆาตของวินเซนต์ หนุ่มน้อยที่แม้จะโชกไปด้วยเลือดทั้งตัวก็ยังฉีกยิ้มได้
เซซิลุส: ว่าไง โทษทีนะที่มาสาย ผมพยายามรีบแล้วแท้ๆ เป็นดาบเล่มแรกบนเวทีก็ลำบากเงี้ย แต่ก็พอจะตามบททันอยู่ ผมน่าจะพอปิดงานนี้ด้วยผลงานการแสดงที่ไม่น่าสมเพชเกินไปได้
หน่วยตัดกิ่งที่เหลืออยู่มายืนขวางเป็นกำแพง เตรียมตัวเอาชีวิตแลกเพื่อเปิดทางให้นายหญิง เซซิลุสกล่าวชื่นชมการเตรียมใจก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าฟาดฟันกัน
ลาเมียต้องเหยียบย่ำศพของหน่วยตัดกิ่งเพื่อหนีออกห่างให้ไกลจากเด็กหนุ่ม หนีให้พ้นจากวิถีดาบของเขา หนีแล้วหนีอีก หนีไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง…
พริสก้า: อย่าได้กังวลไป ลาเมีย คมดาบของเจ้านั่นมาไม่ถึงเจ้าหรอก… เพราะข้าพเจ้าจะเป็นผู้ที่ฝังเจ้ากับมือเอง
สุดท้ายผู้ที่ยืนรอลาเมียอยู่ที่จุดสิ้นสุดทางหนีก็คือพริสก้า เบเนดิกต์ที่กำดาบแสงตะวันอยู่ในมือ
. ย้อนกลับไปที่งานเลี้ยงในสวนเมื่อหลายปีก่อน
พริสก้า: พริสก้า เบเนดิกต์ นั่นคือนามของข้าพเจ้า
ลาเมีย: ตายจริง? ข้าชื่อลาเมีย ก็อดวิน พี่สาวผู้แสนใจดีของเจ้าเอง
พริสก้าวัย 5 ขวบและลาเมียวัย 9 ขวบที่พึ่งเจอกันเป็นครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณโดยทันทีว่าอีกฝ่ายคือศัตรูคู่อาฆาตของตน
วินเซนต์และพริสก้าคืออุปสรรคที่กีดขวางเส้นทางของลาเมีย เพื่อที่จะเปิดเส้นทางออก ลาเมียจึงได้เริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งดอกไม้พิษเอาไว้
ทั้งการเป่าหูพี่บัลทรอยให้ตั้งพันธมิตรพี่น้องสละสิทธิ์ ทั้งการปลุกปั้นให้พริสก้ากลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเผด็จศึกวินเซนต์ แต่ทุกอย่างก็พังทลายไปหมดต่อหน้าเธอ
. ตอนนี้ลาเมียเหลือเพียงตัวคนเดียว เพราะเธอส่งตัวตายตัวแทนให้เนียนหนีไปกับทหารคุ้มกันแทนแล้ว ก่อนจะหนีแยกออกมา
สองพี่น้องคู่อาฆาตยืนประจันหน้ากันเหมือนที่งานเลี้ยงในสวนเมื่อครั้งนั้น ไม่มีลูกน้องหรือทหารคนใดมาเกี่ยวข้องในศึกนี้
ลาเมีย: ยัยหมาน้อยนั่นช่วยเจ้าไว้จากกระสุนปืนใหญ่ได้อย่างไรกัน? ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านั่น ข้าคงเก็บเจ้ากับวินเซนต์ในคราเดียวได้แล้วเชียว
พริสก้า: เดาว่าเจ้าคงสืบเสาะมาพอสมควร น่าจะพอรู้นะว่าอาราเคียน่ะถูกเรียกว่า “ผู้เสพวิญญาณ” พลังของนางขึ้นอยู่กับวิญญาณที่กลืนกิน ――ใบ้แค่นั้นคำตอบก็น่าจะชัดเจน
ลาเมีย: เจ้าจะบอกว่านางกินวิญญาณที่แกร่งพอจะต่อต้านการโจมตีนั้นเข้าไปงั้นหรือ? เป็นไปไม่――
ลาเมียหยุดคำพูดตัวเอง เพราะในที่สุดเธอก็รู้ตัวเสียทีว่าเหตุใดวินเซนต์จึงเลือกตั้งรับที่อาณาเขตนี้
ไม่ใช่เพราะว่าปราสาทตระกูลอาเบลุกซ์แข็งแกร่งตีแตกยาก แต่เขาเลือกตั้งรับที่นี่เพราะ “มหาวิญญาณ” ที่หลับใหลอยู่ในผืนดินนี้ต่างหาก
ลาเมีย: ก้อนศิลา “มุสเปล”
มหาวิญญาณปฐพี “มุสเปล” คือตัวตนที่ถูกเคารพในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่แปรเปลี่ยน มันคอยพเนจรไปทั่วจักรวรรดิวอลลาเคียตามอำเภอใจอยู่เสมอ
ลาเมีย: ยัยหมาน้อยของเจ้ารอดชีวิตมาจากการรับพลังของหนึ่งในสี่มหาวิญญาณเข้าสู่ร่างกายได้งั้นเหรอ?
พริสก้า: นางกินเข้าไปแค่ส่วนเล็กๆ ――แต่หากเป็นภาชนะที่ด้อยค่า กินแค่นั้นก็ไม่รอดแล้ว ชัยชนะมิใช่ของฟรี มันต้องมีการเสียสละ
ลาเมีย: ――เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมหาวิญญาณคลุ้มคลั่งขึ้นมาหลังมันถูกกิน
แม้จะกินเข้าไปเพียงส่วนเล็กๆ แต่ก็มีโอกาสที่อาราเคียจะถูกมุสเปลกลืนกินและทำให้คลุ้มคลั่งแทนเช่นกัน กระนั้นพริสก้าก็เลือกเดิมพันว่าอาราเคียจะดำเนินตามแผนได้สำเร็จ
ลาเมีย: คาใจอยู่อีกเรื่อง… วินเซนต์ตรึงเจ้าก้อนศิลาไว้ที่แห่งนี้ได้ยังไงกัน? ดูเหมือนว่าท่านพี่ของพวกเราจะใช้แผนการปั่นหัวสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้เช่นกันสินะ
พริสก้า: การวางแผนและการปั่นหัวคือความถนัดของท่านพี่อยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านั้นมิได้สลักสำคัญอะไร ขอเพียงข้าพเจ้าได้ผลลัพธ์ที่ต้องการก็พอ
ลาเมีย: อา …ก็ถูกของเจ้า
. พริสก้าที่ไม่คิดจะเสวนาไปนานกว่านั้นชูดาบแสงตะวันขึ้นมา ลาเมียจึงต้องชักดาบแสงตะวันของเธอออกมาตั้งท่าพร้อมสู้ด้วย ยังไงเสียพวกเธอก็จะจบเรื่องนี้ด้วยมือตัวเอง
ลาเมีย: ข้าเกลียดเจ้ามาโดยตลอด พริสก้า ตั้งแต่วันที่พบกันครั้งแรกเลย
พริสก้า: อย่าได้กังวลไป ในบรรดาคนที่ข้าพเจ้าอุตส่าห์จำชื่อ ก็เกลียดเจ้าที่สุดนั่นแหละ
พี่สาวและน้องสาวแสดงความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ออกมาอย่างไม่ปกปิด ดาบของทั้งสองฟาดฟันกัน ประกายความร้อนสีแดงและสีขาวสาดแสงไปทั่ว
โลกของสองพี่น้องหลงเหลือเพียงพวกเธอในช่วงเวลานี้ ลาเมียหัวเราะเยาะตัวเองที่พลาดโอกาสไม่สังหารพริสก้าทิ้งเสียตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก
――สองพี่น้องจงเกลียดจงชังกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ไปจนถึงจุดสิ้นสุด
. วินเซนต์: ป่านนี้พริสก้ากับลาเมียน่าจะปิดบัญชีแค้นกันเรียบร้อยแล้ว
วินเซนต์เอ่ยกับอาราเคียที่นอนปางตายพิงต้นไม้ใหญ่หลังจากที่เธอเสี่ยงชีวิตรับพลังของมหาวิญญาณและปัดป้องกระสุนปืนใหญ่ศิลามนตราเอาไว้ได้
พันธมิตรลับระหว่างวินเซนต์กับพริสก้านั้นพวกลูกน้องมิได้รู้ล่วงหน้า ทุกคนถูกหลอกใช้เพื่อตบตาให้แนบเนียน
กระทั่งจิชาลูกน้องคนสนิทของวินเซนต์ก็ต้องมาตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายเพราะอุบายในครั้งนี้
. ในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้ วินเซนต์มองเพียงแค่ลาเมียกับพริสก้าเป็นคู่แข่งเท่านั้น พี่น้องคนอื่นที่เหลืออยู่ไม่ใช่ปัญหาเลย
แต่ก็มีพี่น้องอยู่คนหนึ่งที่แสดงฝีมือเหนือความหมายของวินเซนต์ แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใช่ภัยคุกคามต่อบัลลังก์ก็ตาม
วินเซนต์: ――ดูเหมือนว่าข้าเองก็มองท่านผิดไปสินะ ท่านพี่บัลทรอย
นอกจากลาเมียแล้ว บัลทรอย ฟิตส์ แอบเจรจากับวินเซนต์ไว้ด้วยเช่นกัน
โดยยื่นข้อเสนอว่าตัวเขาและพี่น้องที่สละสิทธิ์อีก 9 คนจะยอมจำนนต่อวินเซนต์ แลกกับการการันตีความปลอดภัยและเขตแดนให้พวกตนหลังวินเซนต์ขึ้นครองราชย์
แสดงให้เห็นว่าบัลทรอยคาดการณ์ถึงกรณีที่เขาอาจถูกลาเมียหักหลังและฆ่าตายไปก่อน
ลงทุนวางเดิมพันทั้งสองฝั่งเพื่อการันตีความปลอดภัยของพี่น้อง ใช้กระทั่งความตายของตัวเองผลักดันแผนการให้สำเร็จ
――วินเซนต์มองว่าบัลทรอย ฟิตส์นั้นคู่ควรแก่การเป็นสายเลือดราชวงศ์วอลลาเคียอย่างแท้จริง
. แผนการโต้กลับลาเมียของวินเซนต์สำเร็จลุล่วงด้วยกองหนุนจากพี่น้องที่บัลทรอยฝากฝังไว้และความสามารถการยับยั้งกระสุนปืนใหญ่ของอาราเคีย
อาราเคียนั้นเป็นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายโดยไม่กังขา เธอปราศจากความมักใหญ่ใฝ่สูงและความคิดทรยศ
วินเซนต์มองเห็นสายสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพริสก้ากับอาราเคียซึ่งเกินกว่าระดับสายสัมพันธ์นายบ่าวทั่วไป
――แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะยังไม่เข้าใจสายสัมพันธ์นั้นดีพอ ซึ่งนั่นทำให้วินเซนต์สามารถใช้ประโยชน์ได้
วินเซนต์: นามของเจ้าคืออาราเคียใช่ไหม?
อาราเคีย: …? อื้อ มีอะไร?
วินเซนต์: ข้ามีข้อเสนอจะมอบให้แก่เจ้า ――ไม่สิ “เราผู้นี้” มีข้อเสนอจะมอบให้แก่เจ้า
. (อ่านต่อได้ในพาร์ทหน้า)