
นิยายสปินออฟ EX5 บท "หมาป่าดาบสีเพลิง" พาร์ท 4: ขุนนางแผดเผา
. ไฮเคาน์เตส “เซรีน่า ดราครอย” เป็นหญิงสาวร่างสูงผู้ดุดัน เธอผ่านการฝึกฝนทางทหารจนเห็นกล้ามแขนขาชัดเจน แต่ก็ยังมีส่วนเว้าโค้งสมหญิงสง่างาม
เส้นผมสีแดงสนิมถูกปล่อยยาวพาดหลังไว้ เธอไม่สวมชุดเดรสอย่างขุนนางหญิงทั่วไป แต่เลือกสวมเป็นเสื้อคลุมของกัปตันเรือสินค้าแทน
บนใบหน้าของเซรีน่ามีรอยแผลเป็นรอยใหญ่ที่เกิดจากคมดาบของบิดาจากเมื่อครั้งที่เธอยึดอำนาจตระกูลและจับบิดาเผาทั้งเป็น
เหตุการณ์นั้นทำให้ เซรีน่า ดราครอย ถูกขนานนามว่า “ขุนนางแผดเผา”
. เซรีน่า: ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เคานต์เพนดัลตัน สบายดีหรือเปล่า?
โจร่าห์: เซรีน่า! ฉันสบายดี เธอเองก็ดูจะสุขภาพดีเหมือนกัน วิเศษจริงๆ
คนหนึ่งเป็นไฮเคาน์เตสสาวแกร่งผู้ดุดัน อีกคนเป็นเคานต์แก่ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน กระทั่งพริสซิลล่ายังรู้สึกทึ่งที่สองคนนี้เป็นเพื่อนกันได้
เซรีน่า: เธอคงจะเป็นภรรยาใหม่ที่ข้าได้ยินมา ได้ยินว่าเธอเด็กมาก ข้าเลยสงสัยว่าหรือนั่นจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้แต่งงานเสียที… แต่ข่าวลือก็เชื่อไม่ได้เสมอไป ดูเหมือนว่ารายงานของไมลซ์และบัลรอยจะเที่ยงตรงดี
พริสซิลล่า: โฮ่ รายงานเกี่ยวกับข้าพเจ้างั้นหรือ? พวกนั้นยกยอข้าพเจ้าเช่นไรกัน?
เซรีน่า: เห็นบอกว่าเธอมีสง่าราศีเกินวัย และถ้าจำไม่ผิด บอกว่าเธอเป็นเด็กจอมทะเล้นจนอยากสั่งสอนมารยาทให้ด้วย
พริสซิลล่า: โฮ่…
พริสซิลล่ามองผ่านเซรีน่าไปยังบริวารทั้งสอง ไมลซ์พยายามหมอบหลบทันที ส่วนบัลรอยยิ้มร่าและโบกมือกลับ
เซรีน่าเห็นคุณค่าในตัวบริวารทั้งสองคนมาก ถึงขั้นจะไม่ยอมยกให้ใครแม้อีกฝ่ายจะเป็นขุนนางระดับสูงด้วยกัน
. พริสซิลล่าและโจร่าห์ที่ตอบรับคำเชิญของเซรีน่า ได้เดินทางมาถึงเกาะทาสดาบกินุนไฮฟ์ ซึ่งกำลังจะกลายเป็นสถานที่จัดงานเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิองค์ใหม่
แต่พริสซิลล่าแอบมองว่างานครั้งนี้คงเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์ใหม่แค่ในนาม ที่จริงคงเป็นแค่การตั้งชื่อเรียกแขกเฉยๆ
เซรีน่า: ฝีปากไม่เลวนี่ คุณหนู ไม่ค่อยถูกใจมหรสพแนวนี้งั้นหรือ?
พริสซิลล่า: ก็แค่ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการแสดงความภักดีต่อจักรพรรดิตรงไหน แต่ข้าพเจ้ามิได้ใจแคบขนาดจะวิจารณ์ความบันเทิงของสามัญชนหรอกนะ อีกอย่าง ――การได้ดูผู้อื่นต่อสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกพลางประเมินฝีมือของพวกมันนี่แหละบันเทิงยิ่งนัก
เซรีน่า: ฮ่า! ข้าชอบนางนะ! เลือกภรรยาได้ไม่เลวนี่ เคานต์เพนดัลตัน! เสียดายที่เธอเด็กเกินจะดื่มสุราร่วมกับข้า
โจร่าห์: ขอล่ะ ฉันฟังแล้วปวดหัวแทน… พริสซิลล่า เธอก็อย่าพูดเล่นนักสิ…
พริสซิลล่า: เจ้าคนเขลา ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับรสชาติของสุราอยู่แล้ว คิดว่าข้าพเจ้าเป็นใครกัน?
. เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันควรแล้ว เซรีน่าก็ดีดนิ้วส่งสัญญาณให้บริวารทั้งสอง ไมลซ์และบัลรอยจึงเริ่มทำการผิวปากเรียกมังกรบินของตนออกมา
ทว่า ในครั้งนี้มังกรบินสองตัวได้ลากพาหนะบรรจุผู้โดยสารติดหลังมาด้วย นี่คือพาหนะที่หาชมได้ยากกระทั่งในจักรวรรดิ มันถูกเรียกว่า “เรือมังกรบิน” นั่นเอง
เซรีน่า: คงยังไม่เคยขี่กันล่ะสิ อาจจะช้าไปหน่อย แต่คิดเสียว่านี่คือของขวัญแต่งงานจากข้าก็แล้วกัน
พริสซิลล่า: เยี่ยมยอด เลือกได้ดี ข้าพเจ้าชักจะถูกใจเจ้าแล้วสิ เซรีน่า ดราครอย
เซรีน่า: แหม เคานต์เพนดัลตัน… ท่านเลือกภรรยาได้ถูกคนจริงๆ
. ระหว่างที่อัลกำลังยืดเส้นยืดสายเพื่อเตรียมลงสนามประลอง อูบิรูคก็เข้ามาทักทายเขาด้วยความตื่นเต้น
อูบิรูค: ได้ข่าวไหม คุณอัล? เห็นว่ามีเรือมังกรบินมาที่นี่ด้วยแน่ะครับ! ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะอดเห็นเรือมังกรบิน! เขาว่าคนที่โชคดีจะได้เห็นเรือมังกรบินสักครั้งในชีวิตแน่ะครับ! แสดงว่าผมอ่ะคงเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลกเลยสิเนี่ย! ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย คุณอัล?
อัล: หนวกหูเฟ้ย! ไม่เห็นเหรอว่าชั้นกำลังยืดเส้นยืดสายอยู่!?
พอฟังอูบิรูคบ่นเรื่องโชคร้าย อัลก็อดคิดไม่ได้ว่าอูบิรูคนั้นโชคดีมากแล้วที่ไม่ต้องมาต่อสู้เอาตัวรอดอยู่ทุกวี่ทุกวันแบบทาสดาบอย่างตัวเขา
อูบิรูค: แต่ผมก็มีชะตากรรมต้องถูกทรมานหรือเมินเฉยไปตลอดอยู่ดี ในมุมมองส่วนตัว ผมไม่คิดว่าตัวเองโชคร้ายน้อยไปกว่าคุณอัลเลยนะครับ
อัล: เป็นแค่โสเภณีชายทำตัวเหมือนเท่าเทียมกับทาสดาบเชียวนะ! เพี้ยนหรือไง!
อัลตอกกลับมาค่อนข้างแรง นั่นเป็นคำพูดที่อาจทำให้คนทั่วไปเลิกคบเป็นเพื่อนกันไปเลย แต่อูบิรูคกลับแค่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
อูบิรูค: ตราบใดที่ใช้ดาบไม่เป็น ผมคงไม่มีทางเป็นเพื่อนกับคุณอัลได้สินะครับ? สงสัยเราคงได้เป็นแค่คนรู้จักกันไปตลอดชีวิต
อัล: อย่าด่วนสรุปว่าตัวนายจะไม่ได้จับดาบไปตลอดชีวิตสิ ตอนนี้นายอาจจะรอดอยู่ได้ด้วยความน่ารักกับการวางตัวที่ดี แต่นั่นจะยั่งยืนแค่ไหนก็ไม่รู้ ลองคิดถึงอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าดูสิ
. อูบิรูคถามกลับว่าอัลคิดจะอยู่ที่เกาะทาสดาบไปอีกสิบปีเลยหรือไง แต่อัลไม่คิดว่าตัวเขาจะอยู่รอดได้นานขนาดนั้น
ไม่แน่ว่าเขาอาจจะตายปีหน้า สัปดาห์หน้า หรือไม่แน่ก็อาจจะตายวันนี้เลย
อูบิรูค: ถ้าทำได้แค่นั่งรอความตาย ทำไมไม่ลองจับดาบขึ้นต่อต้านโชคชะตาดูล่ะครับ? ถ้าได้คุณอัลมาช่วย คงเหมือนมีพวกเป็นพันคนเลย!
พอเห็นอัลเงียบซึมไป อูบิรูคจึงลองชวนเขามาร่วมขบวนการหลบหนีจากเกาะอีกครั้ง ทว่า คำตอบของอัลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
อัล: ขอบใจ แต่ไม่ดีกว่า ไอ้หนู ที่ชั้นต้องทำก็มีแค่ต่อสู้สุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด
อูบิรูคดูจะอยากพูดอะไรเพิ่ม แต่ออร์ลันกำลังเดินเข้ามารับตัวอัลไปที่ลานประลองแล้ว เขาจึงเงียบปากไว้
อัล: ชั้นอาจจะรอดกลับมา หรือไม่รอดก็ได้ ไปหาอะไรกินหรือนอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอชั้นหรอก
อูบิรูค: คุณอัลจะรอดกลับมาแน่ครับ ผมรู้ดี
อัล: นายพูดจาเหมือนนางเอกในอุดมคติเลยแฮะ ถ้าผู้หญิงเป็นคนพูดประโยคนั้น ชั้นคงทำตัวไม่ถูก…
. ก่อนที่เขาจะเลินเล่อจนเข้ารูทอูบิรูค อัลตัดสินใจเดินจากออกมาพร้อมกับออร์ลัน
ออร์ลันเดินนำอัลไปถึงลานประลอง ปลดกุญแจมือออก จากนั้นก็ยื่นดาบคู่ใจให้แก่อัล
ออร์ลัน: รอดมาให้ได้ล่ะ อัลเดบารัน เหมือนอย่างทุกที
อัล: กับนายนี่ชั้นมีปัญหาแค่เรื่องเดียวจริงๆ ความจำนายนี่ห่วยเป็นบ้า
อัลยิ้มเหยเกแล้วเดินเข้าสู่สนามประลองที่มีเสียงตะโกนและเสียงเชียร์จากผู้ชมดังกระหึ่ม
เขาโค้งคำนับไปทีเพื่อเรียกคะแนนความชอบจากผู้ชม นั่นคือหนึ่งในเทคนิคเอาตัวรอดจากประสบการณ์ที่อัลสั่งสมมา ยิ่งวันนี้ที่มีผู้ชมคับคั่งกว่าทุกทียิ่งเหมาะ
ที่ฝั่งตรงข้าม คู่ต่อสู้ของอัลที่ปรากฏตัวออกมาเป็นชายหัวโล้นที่ถือดาบใบกว้างสองเล่ม เขามีแผลเป็นทั่วร่าง ชัดเจนว่าเป็นทาสดาบมีประสบการณ์
ทาสดาบจะไม่รู้ล่วงหน้าว่าคู่ต่อสู้เป็นใครจนกว่าจะถึงวันจริง อัลจึงระแวงอยู่ตลอดว่าเขาจะชะตาขาดได้ประลองกับฮอร์เน็ตเมื่อไร
แต่ในเมื่อวันนี้ไม่ใช่วันตายของเขา อัลจึงชูดาบมังกรฟ้าในมือขึ้นมาตั้งท่าเตรียมต่อสู้
อัล: เรานี่มันดวงซวยทั้งคู่เลย แต่ก็ไม่ใช่ความผิดใคร ไอ้ดาวเฮงซวยนี่แหละที่ผิดล่ะ
. ยามที่ศีรษะของชายหัวโล้นขาดกระเด็นจากบ่า ผู้ชมบนอัฒจันทร์ก็พากันโห่ร้องใส่ทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ กลุ่มของเซรีน่าเองก็กำลังชมอยู่จากที่นั่งที่ระดับความสูงพอเหมาะ
บัลรอย: อุหวา โหดใช่เล่น ก็ได้ยินว่าเป็นการประลองถึงตายอยู่หรอก แต่ไม่นึกว่าจะฆ่ากันจริงอย่างงี้ เพื่ออะไรกันนะ
ไมลซ์: มันแสดงสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ออกมาไงล่ะ แต่ข้าก็เข้าไม่ถึงคนที่ชอบดูอะไรแบบนี้หรอกนะ
เซรีน่า: แล้วเจ้าล่ะ พริสซิลล่า? ชอบการแสดงหรือเปล่า? สามีเจ้าขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว
พริสซิลล่า: ก็ไม่เลว ข้าพเจ้าชื่นชอบการชมผู้ที่ไม่เหลืออะไรต่อสู้กันแบบทุ่มหมดหน้าตัก แต่วิธีการต่อสู้ของเจ้าคนเถื่อนเงอะงะนั่นมันไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก
เซรีน่า: เงอะงะ? อา เจ้าหมายถึงชายแขนเดียวสินะ
ผู้ชนะการประลองเป็นชายผมดำที่มีแขนข้างเดียว เขาเล่นกับศัตรูอยู่สักพักก่อนที่จะสะบั้นคอทิ้ง แต่วิธีการต่อสู้ของเขามันช่างไร้ความสง่างาม แถมไม่พอ…
พริสซิลล่า: มองไม่เห็นการให้ความสำคัญต่อชีวิตตนเองเลยสักนิด เจ้านั่นต่อสู้ไปเพื่ออะไรกันนะ?
ปกติทาสดาบที่นี่ควรจะต่อสู้เพื่อกลับไปเจอคนสำคัญด้านนอก ไม่ก็เพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออย่างน้อยก็สู้เพื่อเอาชีวิตรอด
ทว่า ชายแขนเดียวกลับไม่ได้สู้เพื่อรักษาชีวิตตนเองด้วยซ้ำ เหมือนเขาสู้เพื่อจัดการปัญหาตรงหน้าให้จบๆ ไปเท่านั้น ซึ่งมันช่าง…
พริสซิลล่า: หยาบช้า
. พริสซิลล่าหันไปเห็นสามีเธอมีอาการหน้าซีด เหงื่อท่วม ใกล้สำรอกเต็มทีเพราะเขาทนดูการต่อสู้แบบเลือดสาดไม่ได้
พริสซิลล่า: เจ้านี่เป็นชายที่ไม่เหมาะสมแก่การเป็นขุนนางวอลลาเคียที่สุดเลย
โจร่าห์: ฉะ…ฉันขอโทษ… ควรจะทนได้นานกว่านี้แท้ๆ แต่ว่า… เฮือก!
พริสซิลล่า: ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าพเจ้าคิดไปจะสูดอากาศอยู่พอดี ตามข้าพเจ้ามาซะ
พริสซิลล่าควงแขนสามีให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง หากปล่อยไว้ กลิ่นคาวเลือดและไขมันอาจทำให้โจร่าห์อาการกำเริบแบบกู่ไม่กลับ
เซรีน่ามอบหมายให้บัลรอยติดตามไปคุ้มกันสองสามีภรรยา ชายหนุ่มจึงถืออาวุธด้ามยาวที่ห่อเก็บไว้ในผ้าตามไปด้วย
. ทั้งสามเดินออกมาถึงดาดฟ้าชมวิวซึ่งมองเห็นพระจันทร์สีแดงที่ขึ้นมาแทนที่ดวงตะวันที่ตกดินไปแล้ว ทั้งจากบนท้องนภาและที่สะท้อนอยู่ในผิวน้ำ
ระหว่างที่โจร่าห์กับบัลรอยคุยเล่นกันอยู่ พริสซิลล่าก็หวนนึกว่าเกาะการประลองของทาสดาบทำให้เธอผิดหวังอยู่เล็กน้อย
จริงอยู่ว่าการต่อสู้มันอยู่ในสายเลือดตระกูลวอลลาเคียที่ไหลเวียนในตัวเธอ แต่การได้ดูแมลงสู้กันในกรงมันไม่เพียงพอต่อการทำให้พริสซิลล่าตื่นเต้น
บัลรอย: คุณภรรยานี่ใจเด็ดน่าดู ขนาดว่ายังอายุน้อยแค่นี้ กระทั่งพี่ไมลซ์ยังเสียวสะดุ้งนิดหน่อย แต่เธอนี่ขนาดเห็นหัวขาดกระเด็นยังตาไม่กระพริบเลย
พริสซิลล่า: คิดจะบอกอะไร? คิดว่าข้าพเจ้าจะน่ารักว่านี้หากข้าพเจ้ากรีดร้องเหมือนเด็กสาวลูกชาวบ้านทุกครั้งที่เห็นคนตายงั้นหรือ?
บัลรอย: เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างงั้นครับ อีกอย่าง ชั้นชอบหญิงแกร่ง… อย่างไฮเคาน์เตสดราครอย
บัลรอยทั้งพูดจาเสียมารยาทและยืนพิงราวกั้นคุยกับขุนนางแบบเสียมารยาท กระนั้นพริสซิลล่าก็ไม่คิดจะตำหนิหรือท้วงติงอะไรขึ้นมา
สาเหตุก็เนื่องจากว่าเธอรู้ดีว่าบัลรอยมิได้มีเจตนาดูหมิ่นในคำพูดและกระทำของเขา
. ถึงจะเห็นยืนชิวเหมือนไม่ตั้งใจทำงาน แต่ที่จริงบัลรอยก็คอยหันหน้าดูรอบๆ เพื่อสอดส่องความปลอดภัยให้สองสามีภรรยาอยู่ตลอด
พริสซิลล่ารู้จักนักสู้มากฝีมืออยู่มากมาย เธอจึงสามารถบอกได้ว่าบัลรอยนั้นมีฝีมือเก่งกาจอยู่ในระดับต้นๆ
หากเขาได้ฝึกฝนไปเรื่อยๆ สักวันบัลรอย เทเมกริฟอาจจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วจักรวรรดิก็เป็นได้
ทว่า ในระหว่างที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง พริสซิลล่าก็กวาดสายตาไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
พริสซิลล่า: แปลกๆ นะ
บัลรอย: อะไรแปลกเหรอครับ?
พริสซิลล่า: สะพานชักถูกยกขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกัน?
. (อ่านต่อได้ในพาร์ทต่อไป)