
นิยายสปินออฟ EX5 บท "หมาป่าดาบสีเพลิง" พาร์ท 7: เนตรมาร
. อาราเคีย: เรียบร้อย ทีนี้นายก็น่าจะรอดแล้ว ล่ะมั้ง
อัล: อา ขอบใจ ――โอ๊ย!
อาราเคียช่วยพันแผลและปฐมพยาบาลให้อัลจนเขารอดชีวิตมาได้ โดยแลกกับความเจ็บปวดรวดร้าวจนน้ำตาไหล
อัล: ไม่รู้ว่าถามช้าไปไหม แต่เธอไม่อายบ้างเหรอ? ไม่นึกเลยว่าชั้นจะมีโอกาสได้เห็นฉากเซอร์วิสของสาวน้อยน่ารักในชุดวันเกิดแบบนี้
อาราเคีย: มีอะไรแปลกงั้นเหรอ?
จนถึงตอนนี้อาราเคียก็ยังอยู่สภาพเปลือยเปล่า อัลประเมินด้วยสายตาว่าเธอน่าจะอายุประมาณ 12-13 ปี ซึ่งน่าจะเป็นวัยที่เขินอายเรื่องพวกนี้แล้วตามปกติ
อัล: สงสัยมันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมกับการเลี้ยงดู ที่จริงชั้นชอบแนวสาวมีทรวดทรงองค์เอวมากกว่า แบบว่าหุ่นดินระเบิดน่ะ ท่าทางว่าเราจะรอดตายมาได้ทั้งคู่
อาราเคีย: มีแค่นายที่เฉียดตาย ฉัน… ยังปลอดภัยดี ล่ะมั้ง?
อัล: เธอเป็นคนถามแท้ๆ แต่ยังไงก็เถอะ ได้เห็นสาวผมเงินตอนกำลังจะตายแบบนี้… นี่ชั้นอยู่ในนรกหรือไงกันนะ?
อาราเคีย: ผมสีเงินของฉัน… มันแปลกเหรอ? องค์หญิงมักจะชมว่ามันสวย
อัล: เปล่าเลยๆ แค่พูดกับตัวเองน่ะ ปัญหาส่วนตัวของชั้นเอง ไม่เกี่ยวเธอเลย คุณหนู ――พอดีมีความทรงจำไม่ดีเกี่ยวกับผมสีเงินน่ะ มันทำให้ชั้นจำได้ว่าตัวเองเป็นไอ้งั่งไร้ประโยชน์ขนาดไหน
อาราเคีย: …?
การตำหนิตัวเองของอัลทำให้อาราเคียสับสน เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเล่าเรื่องนี้ให้เด็กสาวที่พึ่งเจอกันฟังทำไม
อัล: อย่าใส่ใจเลย แบบว่า… ชั้นเคยมีคนสำคัญ แต่ดันช่วยคนๆ นั้นเอาไว้ไม่ได้ในเวลาที่สำคัญที่สุดน่ะ
อาราเคีย: อา… เข้าใจนะ ฉันเองก็เหมือนกัน ฉันช่วยองค์หญิงเอาไว้ไม่ได้
อาราเคียคอตก เธอลูบไล้ผ้าปิดตาซึ่งหลักฐานของแผลใจแห่งความสูญเสีย ซึ่งอัลก็เลือกที่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวไปมากกว่านั้น
. อัลและอาราเคียแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ฝ่ายอาราเคียต้องการลดสะพานชักลง แต่ว่านั่นไม่ใช่งานง่ายเลย เพราะฝ่ายกบฏน่าจะผนึกกำลังป้องกันจุดยุทธศาสตร์นั้นไว้
อัล: ฝ่ายนั้นต้องใช้ไพ่ที่แกร่งที่สุดแน่ ไพ่ที่ว่าคืออสุรกายชื่อ “ฮอร์เน็ต” เราเรียกเธอว่า “จักรพรรดินีทาสดาบ”
อาราเคียยังคงกังขาความแข็งแกร่งของฮอร์เน็ตเนื่องจากอัลที่โดนเธอเล่นงานมายับเยินนั้นเป็นเพียงแค่ตาลุงแขนเดียวคนหนึ่ง
ทว่า มันก็เป็นเรื่องจริงที่ฮอร์เน็ตคือทาสดาบที่แกร่งที่สุดบนเกาะกินุนไฮฟ์ เผลอๆ ต่อให้จักรวรรดิส่งเก้าแม่ทัพเทวะมา เธอก็อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมืออยู่ดี
แต่ในเมื่ออาราเคียตั้งมั่นที่จะเข้าไปในเกาะ อย่างน้อยอัลก็อยากตอบแทน “เด็กสาวผู้มีพระคุณ” ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ด้วยการนำทางให้เธอ
――ถึงแม้ว่าอัลตั้งใจจะวิ่งหนีหางจุกตูดตอนที่ศัตรูโผล่มาก็ตาม
อัล: เอาล่ะ รู้เป้าหมายที่จะไปแล้ว แต่เราจะไปตรงนั้นได้ยังไงก่อน?
อัลเอียงคอเพื่อให้น้ำไหลออกจากหู จากนั้นก็คำนึงถึงอุปสรรคแรก พวกเขาจะต้องว่ายน้ำจากโขดหินนี้กลับไปยังชายฝั่งของเกาะทาสดาบให้ได้เสียก่อน
. ทาสดาบ “กาจีท” เริ่มรู้สึกกังขาต่อแผนการของอูบิรูค เขาจึงแอบมาสอบถามพริสซิลล่าว่าเรื่องที่เธอกล่าวอ้างก่อนหน้านี้จริงแท้แค่ไหน
พริสซิลล่า: นครหลวงจะตอบโต้ตามที่ข้าพเจ้าบอก เก้าแม่ทัพเทวะมาแน่นอน ――จะมากี่คนนั้นก็ขึ้นอยู่กับองค์จักรพรรดิ แต่พอพวกแม่ทัพมาถึง การจราจลครั้งนี้จะถูกล้มล้างในพริบตา
กาจีท: ดูเธอพูดเข้าสิ รู้หรือเปล่าว่าเรามีกันตั้งกี่คน?
พริสซิลล่า: มีกี่คนก็ไม่เกี่ยว เจ้าเองก็น่าจะสำเหนียกได้
กาจีท: ――อึก!
กาจีทรู้อยู่แก่ใจว่าพวกตนมิอาจต่อกรกับเก้าแม่ทัพเทวะได้ แต่ในฐานะนักสู้ที่ไม่เชิงอ่อนแอแต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งคับฟ้า มันมีเรื่องของศักดิ์ศรีบางอย่างค้ำคออยู่
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ชนชั้นสูงอย่างพริสซิลล่าและโจร่าห์คงไม่มีวันเข้าใจ และกาจีทก็ไม่คิดจะพยายามอธิบายเรื่องยุ่งยากเช่นนั้น
พริสซิลล่า: พวกพันธุ์ทางเช่นเจ้ามีอยู่สองทางเลือก ปล่อยให้เจ้าผู้ปลุกปลั่นนั่นจูงจมูกไปท้าทายเก้าแม่ทัพเทวะและล้มเหลวจนสิ้นชีพ
กาจีท: …
พริสซิลล่า: หรือไม่ก็ต่อสู้ฝืนโชคชะตาและเอาชีวิตคืนกลับมาด้วยมือของเจ้าเอง
ดูผิวเผินสถานการณ์ของเหล่าทาสดาบนั้นเหมือนถอยกลับไม่ได้และต้องตรงไปสู่ทางตันอย่างเดียว
แต่พริสซิลล่าก็ได้เสนอให้พวกเขาใช้ปัญญาที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อหาหนทางเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองดู
. อูบิรูค: ไฮเคาน์เตสดราครอย สนใจมาที่ระเบียงกับผมมั้ยครับ? เห็นวิวชายฝั่งชัดดีนะ
พริสซิลล่า: เชิญชวนได้จืดชืดเหลือเกิน แต่ก็ดีกว่าอยู่ที่นี่กระมัง
ก่อนที่เธอจะปั่นหัวพวกกบฏไปมากกว่านั้น อูบิรูคก็กลับมาเชิญตัวพริสซิลล่าไปคุยกันสองต่อสอง ซึ่งพริสซิลล่าก็ตอบรับและให้โจร่าห์อยู่รอที่ห้อง
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านยามที่ทั้งสองออกมาถึงระเบียง สะพานชักยังคงยกตัวค้างไว้ ปิดกั้นเกาะกินุนไฮฟ์จากโลกภายนอก
แต่ที่ชายฝั่งตรงข้ามก็สามารถมองเห็นแสงไฟจากค่ายทหารจักรวรรดิที่ตั้งขึ้นมาเตรียมพร้อมรบได้อย่างชัดเจน
อูบิรูค: ผมอ่ะเห็นนะว่าท่านคุยกับพวกกาจีท ตัดสินใจเชื่องช้ากันเนอะ ว่าไหมครับ? ผมอ่ะเข้าใจนิสัยพวกเขาดี เพราะต้องคอยโน้มน้าวอยู่ตั้ง 5 ปีกว่าจะเลิกสองจิตสองใจกัน
พริสซิลล่า: อย่าบังอาจเทียบการเป่าหูของเจ้ากับราศีของข้าพเจ้า เจ้าสามัญชน มันหยาบคาย
อูบิรูค: เป่าหูเลยเหรอ? ฟังแล้วเจ็บแท้ ผมเป็นแค่สามัญชนผู้หยาบคายสินะครับ?
. อูบิรูคยืนพิงขอบระเบียงแบบไม่ระวังตัว หากพริสซิลล่าต้องการ เธอสามารถฆ่าเขาทิ้งได้เลย ยิ่งเจ้าตัวเคยพูดไว้เองว่าเขาไร้ความสามารถในการต่อสู้
อูบิรูค: ลงมือไปก็ไม่ได้อะไร ว่าไหมครับ? มาไกลขนาดนี้แล้ว ถึงตัดศีรษะของผมไปก็หยุดการปฏิวัติไม่ได้ ผมแค่เป็นผู้มอบแรงผลักดันเท่านั้นเอง
พริสซิลล่า: หืม ผลักดันงั้นหรือ? ใครกันล่ะที่เจ้าผลักดัน?
อูบิรูค: ใครก็ได้หมดครับ ขอแค่เป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาก
อูบิรูคหัวเราะพลางดึงเสื้อขึ้นเผยให้เห็นเรือนร่างผอมบางติดกระดูก โดยสิ่งที่เตะตาที่สุดก็คือ “ดวงตาที่สาม” ซึ่งงอกอยู่กลางหน้าอกของชายหนุ่ม
――สิ่งนั้นนี่เองที่น่าจะอยู่เบื้องหลังการปลุกปั่นเพลิงแห่งการปฏิวัติในครั้งนี้
พริสซิลล่า: เผ่าเนตรมาร
อูบิรูค: ถูกเผงครับ ของหายากเนอะ ว่าไหม? พวกผมเหลือกันไม่เยอะเท่าไหร่ ตัวผมอ่ะเป็นเพียงผู้รอดชีวิตไม่กี่คนครับ
เผ่าเนตรมารจะมีดวงตาที่สามอยู่ที่ใดสักแห่งบนร่างกาย และดวงตาที่สามซึ่งถูกเรียกว่า “เนตรมาร” นี้จะมอบพลังพิเศษให้แก่เจ้าของร่างคล้ายกับ “พรคุ้มครอง”
ในประวัติศาสตร์ของประเทศวอลลาเคีย มีสงครามแย่งชิงการครอบครองเผ่าเนตรมารเกิดขึ้นอยู่หลายครั้งหลายคราจนพวกเขาตายจากไปเป็นจำนวนมาก
. พริสซิลล่า: ได้ยินว่าเผ่าเนตรมารควรจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว พวกมันจัดว่าหายากพอๆ กับเผ่าโอนิ
อูบิรูค: รู้ดีนี่ครับ ผมอ่ะคือสมาชิกของเผ่าที่หายากที่สุด อะแฮ่ม แต่ว่าเหตุผลที่เจ้าของเกาะพิศวาสผมน่ะไม่ใช่เพราะเนตรมารของผมหรอกนะ
พริสซิลล่า: เพราะเจ้าเป็นโสเภณี
อูบิรูค: น่าอาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ
พริสซิลล่า: หึ่ม มีอะไรให้น่าอายกัน? ทุกชีวิตล้วนแต่อยู่รอดด้วยการใช้ทักษะที่มี และถ้าหากไร้ทักษะการใช้อาวุธ ก็แสดงว่าเจ้ามีทักษะการใช้ปัญญา สิ่งนั้นนี่แหละที่แยกมนุษย์เราจากเดรัจฉาน
อูบิรูคเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยออกมา แต่เขาก็ยอมรับคำเชยชมและยอมรับว่าพริสซิลล่าเป็นเด็กสาวผู้ทรงปัญญา
อูบิรูค: ถึงจะไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร… แต่ท่านไม่ใช่ไฮเคาน์เตสเซรีน่า ดราครอยสินะครับ?
พริสซิลล่า: บอกเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วไปทำไมกัน? เจ้ามิได้สมองกลวงเปล่าเหมือนพวกลูกหาบของเจ้านี่?
อูบิรูค: นึกว่าท่านจะตีเนียนต่อ แต่ยอมรับซึ่งๆ หน้าเลยนะครับ…
อูบิรูคดูออกแล้วว่าพริสซิลล่าไม่ใช่ไฮเคาน์เตสดราครอย แต่เขาไม่คิดจะบอกพวกลูกน้องและเลือกเจรจาให้พริสซิลล่าอย่ามาขัดขวางแผนการของฝ่ายเขา
นั่นทำให้พริสซิลล่ามองออกเสียทีว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอูบิรูคก็คือการ “ถ่วงเวลา”
. พริสซิลล่า: ในเมื่อข้าพเจ้าดูออกแล้วว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ เจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อกันล่ะ?
อูบิรูค: ยุ่งยากแล้วสิครับ นึกว่ากำลังได้เปรียบอยู่แล้วเชียว
แม้อูบิรูคจะเอาเสื้อลงแล้ว แต่พริสซิลล่าก็ยังคงระแวงเนตรมารบนหน้าอกเขาอยู่
หากเนตรมารดวงนี้คือต้นเหตุของการปฏิวัติ พริสซิลล่าก็เดาว่ามันน่าจะมีพลังเกี่ยวกับการควบคุมหรืออ่านอารมณ์ของผู้อื่น
อูบิรูค: เปล่าครับ เนตรมารของผมไม่ได้สะดวกแบบนั้นหรอก ไม่น่าใช้ได้ผลกับท่านด้วยซ้ำครับ ดังนั้นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุดน่าจะเป็นการเก็บท่านทิ้ง… แต่ผมอ่ะติดใจอะไรอยู่เล็กน้อยเลยไม่อยากทำอย่างงั้น
ว่าแล้วอูบิรูคจึงดีดนิ้วเรียกทาสดาบออกมาสองคน คนหนึ่งเป็นชายร่างใหญ่ที่สวมชุดเกราะทั้งตัว อีกคนหนึ่งตัวเล็กกว่าคนแรกและเปลือยท่อนบน
อูบิรูคกำชับให้ทาสดาบสองคนพาตัวพริสซิลล่าไปกักตัวแยกจากสามีของเธอ โดยให้ปฏิบัติต่อเธออย่างมีมารยาท เนื่องจากว่าพริสซิลล่าคือ “ไพ่ตาย” ของฝ่ายพวกตน
พริสซิลล่า: โฮ่ แสดงว่าเจ้ามีแผนอะไรอยู่งั้นหรือ? แผนอะไรถึงจะต่อต้านแม่ทัพขององค์จักรพรรดิได้?
อูบิรูค: ถ้าหากศัตรูคือจักรพรรดิแล้วล่ะก็… ฝั่งเราก็จะส่ง “จักรพรรดินี” ไปรับมือครับ
ฉายา “จักรพรรดินี” ทำให้พริสซิลล่าตงิดใจขึ้นมา ผู้ที่จะเรียกตัวเองด้วยฉายานั้นเป็นได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างตัวตลกสติเพี้ยนหรือไม่ก็…
พริสซิลล่า: ――ผู้ที่แกร่งพอจะท้าทายบัลลังก์จักรพรรดิ
. (อ่านต่อได้ในพาร์ทต่อไป)