
นิยายสปินออฟ EX5 บท "แสงสายัณห์สีชาด" พาร์ท 5: เจ้าหญิงพิษ
. ประชาชนชาวจักรวรรดินั้นคุ้นเคยกับพิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิที่ทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาพไร้ผู้นำเป็นอย่างดี
หลังจากที่ไว้อาลัยต่อการจากไปของอดีตจักรพรรดิเสร็จ ชาววอลลาเคียก็หันมาถกกันว่าเชื้อพระวงศ์คนใดจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อ
ซึ่งในคราวนี้มีผู้ท้าชิงบัลลังก์จำนวน 11 คน จากเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด 32 คน ที่สามารถผ่านด่านทดสอบแรกด้วยการสัมผัสดาบแสงตะวันและรอดชีวิตมาได้
นอกเหนือจากกลุ่มนี้คือจำพวกที่ประเมินตนเองผิดและกลายเถ้าถ่านหลังสัมผัสดาบ ไม่ก็เป็นกลุ่มที่เลือกสละสิทธิ์การเข้าร่วมด้วยการไม่สัมผัสดาบเลยแม้แต่น้อย
. พริสก้า เบเนดิคต์ ผู้ที่ผ่านด่านทดสอบแรกมาได้จึงต้องมาแย่งชิงบัลลังก์กับพี่น้องต่างมารดาอีกสิบคน
ในกลุ่มนี้ ผู้ท้าชิงส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่า “วินเซนต์ อาเบลุกซ์” คือตัวเต็งของการคัดเลือกจักรพรรดิรุ่นที่ 77
ด้วยเหตุนี้ “ลาเมีย ก็อดวิน” จึงเดินทางมาเยี่ยมเยียนพริสก้าเพื่อเสนอการจัดตั้ง “พันธมิตรชั่วคราว” ในการโค่นล้มวินเซนต์ก่อน
ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะเดิมทีพริสก้ากับลาเมียนั้นไม่ถูกชะตากันมานาน ต่างฝ่ายต่างอยากเชือดกันทิ้งตั้งแต่ก่อนพิธีกรรมจะเริ่มด้วยซ้ำ
ลาเมีย: แน่นอนว่าข้าเองก็มุ่งหมายที่จะบดขยี้เจ้า แต่ข้าเองก็ใช้หัวเป็นนะ รู้ไหม?
พริสก้า: …
ลาเมีย: ――สมมุติว่าด่วนกำราบเจ้าไปก่อน แล้วไงต่อ? จะเอายังไงหลังจากนั้น? มีแต่คนเขลาที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี เช่นเดียวกับพวกพี่น้องที่ไม่ยอมสัมผัสดาบแสงตะวัน แต่พวกที่สัมผัสแล้วล้มเหลวนี่ยิ่งโง่เง่าเข้าไปใหญ่
พริสก้ารู้สึกไม่พอใจ ไม่ใช่เพราะโมโหที่ลาเมียดูหมิ่นพี่น้องที่ตายไป แต่เพราะเธอดันเห็นด้วยกับทุกอย่างที่ลาเมียกล่าวมา
ต่างฝ่ายต่างมองกันเป็นศัตรูตัวฉกาจที่อยากกำจัดทิ้งก่อน แต่ทั้งสองก็มองท่านพี่วินเซนต์ อาเบลุกซ์เป็นตัวอันตรายสุดอยู่ดี
. ลาเมีย: หนทางเดียวที่จะต่อกรกับท่านพี่วินเซนต์ได้คือต้องร่วมมือกัน ในการนี้ หากเลือกร่วมมือกับเศษขยะไร้ค่าไปก็ไร้ความหมาย ถ้าจะเลือกยาพิษก็ต้องเลือกพิษที่แรงที่สุด จริงไหม? อีกอย่าง ข้าเดาว่าเจ้าเองก็เห็นด้วย
พริสก้า: ถึงได้มาชวนข้าพเจ้าคุยเรื่องตั้งพันธมิตรงั้นหรือ? เล่นสกปรกได้สมกับเป็นเจ้าดีนะ
ลาเมีย: “เล่นสกปรก” เลยเหรอ? แรงไปนะ อย่างน้อยเรียกว่า “เจ้าเล่ห์” เถอะนะ
พริสก้า: เจ้าเล่ห์… ก็เหมาะสมอยู่ เข้ากับนางจิ้งจอกเช่นเจ้าดี ไม่คัดค้าน
ลาเมียหัวเราะชอบใจราวกับคนที่มั่นใจว่าตนเองมิได้ตกอยู่ในอันตรายแม้แต่น้อย แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่ในถิ่นศัตรู
นั่นก็เพราะว่า “หน่วยตัดกิ่ง” ของลาเมีย ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นกองกำลังส่วนตัวที่แกร่งที่สุดในจักรวรรดิกำลังล้อมรอบคฤหาสน์ของพริสก้าอยู่
กลับกันฝ่ายพริสก้านั้นมีเพียงหน่วยรบฝีมือดาษดื่นของตระกูลเบเนดิคต์และอาราเคียเท่านั้น
ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่พันธมิตรที่สร้างข้อได้เปรียบด้านกำลังรบต่อลาเมียเลย เธอน่าจะมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ กระนั้นพริสก้าก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้ยาก
. ลาเมียเตรียมการมาล่วงหน้ามาหลายปีเพื่อศึกนี้โดยเฉพาะ ถึงขั้นที่ว่าคาดประมาณเวลาตายของบิดาตนเองไว้
เป้าหมายในการตั้งพันธมิตรของลาเมียคือการจับตาดูพริสก้าซึ่งเธอมองเป็น “ภัยคุกคาม” ที่ยังประเมินความอันตรายแน่ชัดไม่ได้เอาไว้ก่อน
หนึ่งในอาวุธร้ายของลาเมียคือเสน่ห์ยั่วยวนพิชิตใจชาย ทั้งกิริยาการขยับหน้าอกที่โตเกินวัยให้กระเพื่อม ทั้งการนั่งไขว้ขาและการลูบไล้ต้นขา
หากชายใดหลงกลติดกับ ย่อมถูกลาเมียปั่นหัวได้ไม่ยาก แต่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีผลต่อพริสก้า
ลาเมียตัดสินใจให้เวลาพริสก้าเก็บข้อตกลงพันธมิตรไปคิด แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าน้องสาวอยู่ในสถานะที่มิอาจปฏิเสธได้
ลาเมีย: ไว้ข้าจะกลับมาฟังคำตอบอีกที… เจ้าน่าจะรู้ดีว่าเมื่อไหร่
พริสก้า: หลังจากที่เจ้า “ตัดกิ่ง” เสร็จน่ะสิ
ลาเมีย: หุหุ ใช่เลย!
พริสก้า: ยัยจิ้งจอกนี่…
. ลาเมียเดินจากไปโดยไม่ขอให้เจ้าบ้านไปส่งที่ทางออก ปล่อยให้พริสก้าพึมพำไม่พอใจตามหลัง
ถ้าเลือกได้ พริสก้าก็อยากฟันลาเมียจากข้างหลังระหว่างที่เธอเดินจากไป แต่ก็ทำได้เพียงเจ็บใจเพราะรู้ดีว่านั่นมีแต่เสียกับเสีย
อาราเคียที่นั่งเงียบตลอดการเจรจาแสดงความห่วงใยต่อสารทุกข์สุกดิบของนายหญิง รวมถึงแสดงความมุ่งร้ายต่อลาเมียออกมา
ความจงรักภักดีดุจสัตว์เลี้ยงนั้น คือหนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้พริสก้าถูกใจอาราเคีย แต่ข้อเสียคือเด็กสาวค่อนข้างหัวช้า
พริสก้า: ปล่อยให้ยัยจอมวางแผนนั่นหลงคิดว่าข้าพเจ้าเต้นตามเกมของนางไปก่อน อย่าพึ่งผลีผลาม อาราเคีย
อาราเคีย: ――ฉันไม่มีประโยชน์เลย โกรธหรือเปล่า?
พริสก้า: หมายความว่าไง?
อาราเคีย: ฉันแพ้ ให้กับเจ้าหัวน้ำเงินของท่านวินเซนต์
อาราเคียยังรู้สึกนอยต่อความพ่ายแพ้ไม่หาย ถือเป็นเรื่องแปลกที่เธอยึดติดกับเรื่องอื่นนอกจากนายหญิง พริสก้าจึงดีดหน้าผากเรียกสติอาราเคียไปที
อาราเคีย: โอ๊ย!
พริสก้า: เจ้าคนเขลา ข้าพเจ้าไม่งี่เง่าหรือบ้าพอที่จะเก็บเครื่องมือที่ไร้ค่าไว้กับตัวหรอก จำไว้เสีย อาราเคีย จงอย่าได้ด้อยค่าเครื่องมือของข้าพเจ้าเป็นอันขาด
อาราเคีย: ต่อให้นั่น… จะเป็นตัวฉันเอง?
พริสก้า: เจ้าคิดว่าตัวเองไร้เจ้าของหรืออย่างไร?
พอได้ยินดังนั้น อาราเคียก็กระดิกหูและหางอย่างเริงร่าเหมือนสุนัขที่มีความสุข จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
อาราเคีย: ท่านพริสก้า “ตัดกิ่ง”… คืออะไรเหรอคะ?
พริสก้า: การขจัดใบและกิ่งก้านที่ไม่จำเป็นออกเพื่อปล่อยให้พืชเจริญเติบโต มันคือกระบวนการที่ช่วยให้ควบคุมพิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิได้ แต่ข้าพเจ้าไม่คิดจะลดตัวไปทำเรื่องจุกจิกเช่นนั้น ทว่า…
อาราเคีย: ทำไมเหรอคะ นายหญิง?
พริสก้า: นั่นคือสิ่งแรกที่ลาเมียจะทำแน่นอน ยัยคนสัปดนนั่น
. ผู้ชนะในพิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ คือผู้ที่สังหารพี่น้องที่ผ่านด่านทดสอบแรกเหมือนกันจนหมดและเหลือเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว
มันคือพิธีกรรมที่ยึดถือตามคติ “ชาวจักรพรรดิจงแข็งแกร่ง” ของวอลลาเคียอย่างแท้จริง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับพิธีกรรมอันป่าเถื่อนนี้
บัลทรอย: การทำตามธรรมเนียมปฏิบัติเพียงเพราะว่าทำต่อกันมาหลายร้อยปีนั้นมันไม่ดีงามเสียเลย ทัศนคติย่อมแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา เราจึงต้องปรับตัวตามให้เหมาะสมด้วย
“บัลทรอย ฟิตส์” คือหนึ่งในบุตรชายของจักรพรรดิไดรเซ็นวัย 27 ปี เขาถือเป็นลูกคนกลางๆ หากเทียบกับพี่โตสุดที่อายุ 40 ปี และน้องเล็กสุดที่อายุ 10 ปี
บัลทรอยไม่เห็นด้วยกับธรรมเนียมที่ทำให้พี่น้องเชื้อพระวงศ์ต้องมาหวาดระแวงกันเอง เพราะสักวันหนึ่งอาจต้องฆ่ากันเพื่อชิงบัลลังก์
ในวันที่จักรพรรดิไดรเซ็นสิ้นพระชนม์ เชื้อพระวงศ์ 22 คนได้สัมผัสดาบแสงตะวัน มี 11 คนรอดชีวิตมาได้ ส่วนอีก 11 คน รวมถึง “รอมเมล” ถูกเผาจนเกรียม
ส่วนบัลทรอยกับพี่น้องอีก 9 คนที่เหลือได้เลือกสละสิทธิ์เข้าร่วมพิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิด้วยการไม่สัมผัสดาบเลย
. บัลทรอย: เพราะงั้นแหละ ลาเมีย พี่ถึงอยากทำข้อตกลงกับเจ้า
ลาเมีย: เพื่อที่เมื่อข้าขึ้นครองบัลลังก์ พวกท่านพี่ที่สละสิทธิ์การเข้าร่วมพิธีกรรมจะได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้าสินะ?
บัลทรอย: ใช่เลย ข้าถึงได้โน้มน้าวอีก 9 คนให้เปลี่ยนใจ
ปกติพี่น้องเชื้อพระวงศ์แทบจะไม่ต่างจากคนแปลกหน้า บางคนก็แสดงความเกลียดชังต่อกันออกมาโดยไม่ปิดบัง
แต่บัลทรอยผู้หมายลดการนองเลือดให้น้อยลงสามารถสร้างความเชื่อใจและช่วยชีวิตพี่น้องไว้ได้ 9 คน หลังจากที่เตรียมการมาหลายปี
ลาเมีย: ขอถามไว้หน่อย ทำไมถึงได้เลือกข้ากันล่ะ? ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ข้าควรจะเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งด้วยซ้ำ
บัลทรอย: เหตุผลชัดเจนอยู่แล้ว เพราะเจ้าเป็นคนที่จุดประกายความคิดเหล่านี้ให้แก่พี่เอง ลาเมีย
ลาเมีย: ข้าเหรอ?
บัลทรอย: ใช่แล้ว คงมีแต่เจ้าที่เข้าใจ ตอนเด็กเจ้าเคยถามพี่ไว้ว่า “พอจะมีวิธีที่จบเรื่องนี้โดยที่พี่น้องไม่ต้องทำร้ายกันเองไหม?”
ตั้งแต่ที่ได้ยินคำพูดกล่าวลอยๆ ของน้องสาวในวันนั้น บัลทรอยก็มุ่งหมายที่จะทำให้มันเป็นจริงจนถึงทุกวันนี้
. หากผนึกพลังกับพี่น้อง 10 ตระกูลที่ถอนตัวออกไป บัลทรอยเชื่อมั่นว่าลาเมียอาจจะสามารถเอาชนะวินเซนต์ได้
“วินเซนต์ อาเบลุกซ์” คืออัจฉริยะที่สามารถฟื้นฟูตระกูลอาเบลุกซ์ที่ตกต่ำให้กลับมารุ่งเรืองและไต่ระดับขึ้นมาเป็นขุนนางชนชั้นสูงได้ด้วยความสามารถตนเอง
ที่บัลทรอยเลือกไม่ทำข้อตกลงกับวินเซนต์นั้นเป็นเพราะเขาทราบดีว่าวินเซนต์คงไม่เห็นใจพี่น้องที่สละสิทธิ์
ที่จริงบัลทรอยก็คำนองถึงพริสก้าเป็นตัวเลือกด้วย แต่เธอคนนั้นก็ไม่เห็นใจผู้อ่อนแอพอๆ กับวินเซนต์
หากพิธีกรรมเริ่มช้ากว่านี้สัก 5 ปี บัลทรอยเดาว่าพริสก้าน่าจะกลายเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งเลยก็ได้
แต่เนื่องจากพิธีกรรมเริ่มขึ้นไวอย่างที่ลาเมียคาดการณ์ไว้ บัลทรอยจึงเลือกเข้าหาลาเมียที่เป็นตัวเต็งหมายเลขสองของศึกนี้แทน
. ความเคร่งเครียดถึงสถานการณ์และอนาคตทำให้บัลทรอยกระหายน้ำอย่างหนัก เขาเทไวน์ดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าพลางคิดถึงการเดินหมากก้าวต่อไป
ลาเมีย: พี่บัลทรอยรู้ไหมว่ามนุษย์สามารถแสดงความแข็งแกร่งเกินคาดออกมาได้ยามที่ถูกครอบงำด้วยความพิโรธหรือความจนมุม
บัลทรอย: ความพิโรธหรือความจนมุมเหรอ?
ลาเมีย: ใช่เลย พี่น้องเก้าคนที่พี่บัลทรอยมอบให้ข้า… พวกเขาเข้าใจสถานการณดีและน่าจะยอมร่วมมือกับข้าเพราะความจนมุม แต่ข้าว่าพวกเขาน่าจะหวาดกลัวด้วย
บัลทรอย: อืม จริงอยู่ว่าพวกเขาไม่ได้มีพื้นเพเป็นสายนักสู้ล่ะนะ
ลาเมีย: เพราะงั้นเราถึงต้องผนึกกำลังพวกเขาเข้าด้วยกัน เพื่อให้จุดมุ่งหมายลุล่วง พวกเขาต้องการ “ความพิโรธ” ความโกรธที่ช่วยให้ก้าวข้ามความหวาดกลัว อย่างเช่น…
บัลทรอย: เช่น…อะไร…?
หัวของบัลทรอยเริ่มหนักอึ้ง ทัศนวิสัยเริ่มพล่ามัว เขากระหายน้ำไม่หยุด บัลทรอยจึงเทไวน์ที่ลาเมียมอบให้เป็นของขวัญใส่แก้วดื่มไม่หยุดหย่อน
ลาเมีย: อย่างเช่นว่า ถ้าเกิดพี่ชายสุดที่รักของพวกเขาเกิดติดกับจนตายขึ้นมายังไงล่ะ
แก้วไวน์หลุดจากมือบัลทรอยตกลงแตกบนพื้น เขาไม่ได้ยินกระทั่งเสียงของลาเมียอีกต่อไป
. ลาเมียมองดูพี่ชายที่นอนหมดลมหายใจอยู่บนพรม เธอเทไวน์ในแก้วของตนเองรดหัวบัลทรอยซ้ำเพื่อเช็คแน่ใจ แต่พี่ชายก็ยังคงนอนแน่นิ่ง
ลาเมีย: ต๊ายตาย แอบแปลกใจนะเนี่ย เขาไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ลาเมียระแวงว่าพี่ชายอาจจะแกล้งตาย แต่สุดท้ายบัลทรอยก็ตายแค่เพียงเพราะ “ความประมาท” จริงๆ เด็กสาวโยนแก้วไวน์ทิ้งและฉีกยิ้มเย้ยหยันศพของพี่ชาย
ลาเมีย: เตรียมการมาตั้งหลายปี… สุดท้ายดันตายเยี่ยงหมาข้างถนน ท่านพี่นี่ไม่ต่างอะไรจากพวกกากเดนจริงๆ
ลาเมียไม่เคยเข้าใจความเพ้อฝันของบัลทรอย ตอนเด็กเธอแค่สวมบทบาทเป็นน้องสาวไร้เดียงสาและเป่าหูให้บัลทรอยกลายเป็นหมากที่มีประโยชน์ต่อเธอในภายหลัง
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่มีพี่น้องถอนตัวจากพิธีกรรมถึง 10 คนจะเกินความคาดหมายของลาเมียก็ตาม
วอลลาเคียคือประเทศแห่ง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ผู้แข็งแกร่งถือสิทธิ์ในการย่ำยีและเอาเปรียบผู้อ่อนแออย่างเต็มที่
ดังนั้น บัลทรอยที่คิดจะใช้ความเห็นใจจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนในการปกป้องตนเองและพวกพ้อง จึงต้องพบกับจุดจบ
. ชายแก่: ฝ่าบาท เรากำราบพวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ชายแก่ผมหงอกคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่น แต่ก็ซ่อนดวงตาแสนชาญฉลาดเอาไว้หลังเปลือกตาที่หรี่เล็กเหมือนหลับตาสนิท
เขาไม่ใช่บริวารของบัลทรอย แต่เป็นนักวางกลยุทธ์ของลาเมีย ก็อดวิน
ลาเมีย: ทำได้ดีมาก เบลสเต็ตซ์ ทางเจ้าไม่พบปัญหาอะไรใช่ไหม?
เบลสเต็ตซ์: ไม่เลยขอรับ ท่านบัลรอยมีบริวารอยู่ที่คฤหาสน์น้อยมาก อย่างที่ท่านลาเมียชี้แนะ
ลาเมีย: หืม น่าสนใจ ถึงเราจะเป็นญาติกันก็เถอะ แต่เขาไม่คิดจะปกป้องตัวเองเลยแม้แต่น้อย
เบลสเต็ตซ์โค้งคำนับเงียบๆ ไม่พูดอะไรเกินจำเป็น ซึ่งนั่นเป็นคุณสมบัติที่ลาเมียชอบ
ปกติลาเมียนั้นไม่ชอบคนแก่และเกลียดชังความชรา คนแก่มักจะไร้ความสามารถ แถมยังชอบพูดมากอวดรู้ไม่หยุด เบลสเต็ตซ์จึงเป็นข้อยกเว้นที่ดี
ไม่ว่าตอนหนุ่มสาวจะแข็งแกร่งและชาญฉลาดเพียงใด พอคนเราแก่ตัวลง คุณสมบัติเหล่านั้นก็ย่อมสึกหรอลง
ด้วยเหตุนี้ ลาเมียจึงเห็นดีกับธรรมเนียมพิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ หากเลือกได้ เธอก็ขอเผาตัวเองตายแบบบิดาก่อนที่จะแก่ชราจนสูญเสียความงามกับเชาวน์ปัญญาดีกว่า
ลาเมีย: แต่ก่อนหน้านั้น ข้าก็จะครองราชย์ให้ได้นานที่สุดก่อนล่ะนะ
. บัลรอยตายไปแล้ว พี่น้องอีก 9 คนที่สูญเสียเสาค้ำจุนจึงไร้ทางเลือกอื่นนอกจากหวังพึ่งลาเมีย ที่เหลือก็เพียงแค่ปั่นหัวให้พวกเขาตกอยู่ใต้อาณัติของเธอ
บัลทรอยนั้นโง่เขลาไม่ต่างจากพี่น้องที่ถูกดาบแสงตะวันเผาไป แต่เขาก็ยังมีคุณค่าเพราะการตายของเขาสร้างข้อได้เปรียบให้แก่ลาเมีย
ก่อนจะเดินออกจากห้อง ลาเมียหันกลับมามองศพของบัลทรอยอีกครั้ง
ลาเมีย: ท่านพี่บัลทรอยที่รัก… อยากให้รู้ไว้ว่าข้าไม่ได้เกลียดท่านหรอกนะ ――แต่ท่านน่ะหลอกใช้ง่ายที่สุดเลย อ่อนไหวต่อแค่คำพูดพล่อยๆ ของน้องสาวผู้ไร้เดียงสา
ลาเมียออกจากคฤหาสน์เพื่อไปขึ้นรถมังกร ทิ้งให้เบลสเต็ตซ์เก็บกวาดและเตรียมดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป
เธอลืมใบหน้าของพี่ชายที่พึ่งฆ่าไปแล้ว ลาเมียฉีกยิ้มหวานและมุ่งความสนใจไปยังเป้าหมายต่อไป
ลาเมีย: เอาล่ะ การตัดกิ่งเสร็จสิ้นแล้ว ข้าอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ พริสก้า
. (อ่านต่อได้ในพาร์ทหน้า)