
นิยายสปินออฟ EX5 บท "แสงสายัณห์สีชาด" พาร์ท 6: เปิดศึก
. พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดินั้นไม่ต่างอะไรจาก “สงครามกลางเมือง” ในจักรวรรดิวอลลาเคียก็ว่าได้
เนื่องจากทั้งประเทศกลายเป็นสนามรบให้พี่น้องเชื้อพระวงศ์เข่นฆ่ากัน กำลังรบโดยรวมของประเทศย่อมอ่อนแอลงเป็นธรรมดา
เกิดเป็นความเสี่ยงว่าชายแดนอาจะถูกรุกรานโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ด้วยเหตุนี้ พิธีกรรมจึงมักเสร็จสิ้นลงในเวลาไม่เกิน 1 ปี
. ปัจจุบัน พริสก้า เบเนดิคต์ กำลังยืนสอดส่องสถานการณ์อยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก โดยมีกองทหารที่สวมชุดเกราะสีแดงอารักขาอยู่
พวกเขาคือ “แนวรบสีชาด” กองทหารส่วนตนของตระกูลเบเนดิคต์ ซึ่งมีประสบการณ์ต่อสู้ไม่สูงนัก แต่มีขวัญกำลังใจค่อนข้างดีและทำตามที่พริสก้าสั่งเสมอ
พริสก้าเรียกหาอาราเคียซึ่งปรากฏกายออกมากลางแนวรบสีชาด ทำเอาทหารบางคนสะดุ้งเพราะสัมผัสถึงตัวตนของเด็กสาวไม่ได้เลย
อาราเคียสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นอยู่เสมอเพื่อดึงดูดเหล่าเศษเสี้ยววิญญาณที่ชื่นชอบ “ความเป็นธรรมชาติ” และนำพวกมันมาเป็นอาหาร
ถึงแม้เจ้าเด็กหัวน้ำเงินลูกน้องวินเซนต์จะเคยล้อว่าเธอแต่งตัวโป๊ แต่นี่แหละคือวิธีการดึงความสามารถการรบของอาราเคียออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพ
. หนึ่งในทหารแนวรบสีชาดนำสารในรูปแบบม้วนกระดาษมาส่งมอบให้แก่นายหญิง แต่พอพริสก้าเปิดข้อความอ่าน เธอก็ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
พริสก้า: หึ่ม ใครกันที่ส่งสารนี้ให้เจ้า?
ทหาร: เคานต์เบลสเต็ตซ์ ฟอนดาลฟอน นักวางกลยุทธ์แห่งตระกูลก็อดวินขอรับ!
พริสก้า: เบลสเต็ตซ์… ตาแก่หงำเหงือกนั่น
ถึงจะไม่ใช่บุคคลที่พริสก้าชอบขี้หน้านัก แต่การที่เธอจดจำชื่อและหน้าตาของเขาได้ก็บ่งบอกว่าพริสก้าให้ค่าตาแก่คนนี้ขนาดไหน
หากเปรียบลาเมียเป็นดั่งดอกไม้มีพิษ เบลสเต็ตซ์ก็คือคนสวนที่หมั่นรดน้ำพรวนดินให้ลาเมียเติบโตมาเป็นดอกไม้พิษที่แสนงดงามและอันตราย
อาราเคีย: องค์หญิงคะ จดหมาย… บอกว่าไง?
พริสก้า: ไม่มีอะไรสำคัญ เรามีหน้าที่เป็นกองหลังระหว่างที่การจู่โจมปราสาทเริ่มขึ้น
อาราเคีย: กองหลัง…?
พริสก้า: หรือก็คือ พวกเรามีหน้าที่แค่ยืนดูระหว่างที่เจ้าพวกนั้นต่อสู้ยังไงเล่า
. อาราเคียแสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อตามทันว่าจดหมายมีเนื้อหาดูถูกพวกตน แต่พริสก้าเองก็พอเข้าใจว่าเหตุใดลาเมียถึงมั่นใจเพียงนั้น
นอกจากตระกูลเบเนดิคต์แล้ว ลาเมียยังไปเจรจาตั้งพันธมิตรกับอีก 4 ตระกูล รวมเป็นกำลังรบทั้งหมด 6 ตระกูลที่ล้อมรอบปราสาทตระกูลอาเบลุกซ์อยู่ในขณะนี้
วินเซนต์ อาเบลุกซ์คือภัยคุกคามสูงสุดในศึกนี้ กระทั่งพริสก้าเองจึงเห็นดีด้วยกับแผนการรวมหัวกระทืบตัวเต็งก่อนของลาเมีย
ตามตำราพิชัยสงครามกล่าวไว้ว่าฝ่ายโจมตีควรจะมีกำลังรบมากกว่าฝ่ายป้องกันสามเท่าถึงจะตีทัพฝ่ายป้องกันให้แตกได้
ทว่า ลาเมียมีกำลังรบใต้อาณัติมากถึง 5 เท่า หากเทียบกับตระกูลอาเบลุกซ์ แม้พริสก้าจะไม่อยากยอมรับ แต่ลาเมียก็เตรียมการมาอย่างดีจริงๆ
พริสก้า: …ที่เหลือก็ต้องรอดูว่าท่านพี่จะตอบโต้อย่างไร เมื่อตกอยู่ในอาณาเขตล่าของนางจิ้งจอกเช่นนี้
. “หน่วยตัดกิ่ง” คือกองทหารส่วนตัวของตระกูลก็อดวินซึ่งมีชื่อเสียงขึ้นมาสมัยที่ตระกูลก็อดวินได้เผชิญกับการก่อกบฏจนสูญเสียอาณาเขตไปมากในครั้งอดีต
การก่อกบฏต่อผู้นำที่อ่อนแอถือเป็นเรื่องปกติในประเทศนี้ คนนอกจึงมักจะเมินเฉยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยหากผู้นำไม่สามารถกำราบกบฏได้เอง
ผู้ที่กอบกู้สถานการณ์ครั้งนั้นก็คือลาเมียในวัยเพียง 9 ขวบ ที่สามารถโน้มน้าวให้ผู้นำตระกูลแกล้งป่วยใกล้ตาย แล้วเธอก็ใช้โอกาสนั้นในการยึดอำนาจตระกูล
ลาเมียก่อตั้งหน่วยตัดกิ่งขึ้นมาตอบโต้กองกบฏของเคานต์ทรยศ แถมยังสืบหาจนเปิดโปงตัวการที่เป่าหูเคานต์คนที่ว่าได้สำเร็จ
หน่วยตัดกิ่งเป็นหน่วยรบสุดแกร่งที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าและใช้กรรไกรตัดกิ่งขนาดยักษ์เป็นอาวุธ
พวกเขาเลื่องชื่อด้านความป่าเถื่อน ไม่สนใจเกียรติภูมิของนักรบ สามารถผ่าร่างของศัตรูอย่างเหี้ยมโหดด้วยกรรไกรยักษ์แบบตาไม่กระพริบ
ลาเมีย ก็อดวิน สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นกำลังรบเลือดเย็นที่ศรัทธาในตัวเธออย่างแรงกล้า
เด็กสาวจึงได้รับสมญานามว่า “เจ้าหญิงพิษ” และกลายเป็นตัวตนที่หน่วยตัดกิ่งเคารพบูชาว่าสมบูรณ์แบบ
. หน่วยตัดกิ่ง: บดขยี้วินเซนต์ อาเบลุกซ์! ท่านหญิงลาเมียจงเจริญ!
หน่วยตัดกิ่ง: ท่านหญิงลาเมียจงเจริญ!
หน่วยรบสติวิปลาสผู้มีความศรัทธาว่าการกระทำของพวกตนคือสิ่งถูกต้องพากันกู่ร้องออกมา จากนั้นก็เริ่มนำทัพบุกโจมตีปราสาทตระกูลอาเบลุกซ์
กลับกันหน่วยรบของตระกูลอาเบลุกซ์นั้นได้แต่ยืนแน่นิ่งราวกับว่าสิ้นหวังหรือยอมรับชะตากรรม
หน่วยตัดกิ่ง: เตรียมตัวให้พร้อม!
เซซิลุส: ใจสู้ใช้ได้เลย ไม่ได้เกลียดหรอกนะ ――ชอบด้วยซ้ำ!
ทันใดนั้นเอง อะไรบางอย่างก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทำเอาสายลมพัดผ่านแนวหน้าของหน่วยรบ
กองหน้าของหน่วยตัดกิ่งทิ้งอาวุธลงพื้น พวกเขารู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้งจึงพยายามเอามือประคองไว้ หารู้ไม่ว่าลำคอของพวกตนถูกผ่าแยกแบบเนียนกริบไปแล้ว
กองทัพแนวหลังวิ่งเข้ามาชนแนวหน้าที่อยู่ดีๆ ก็หยุดวิ่ง ส่งผลให้ศีรษะของหน่วยตัดกิ่งแนวหน้าสุดกระเด็นหลุดจากร่างกาย
. เซซิลุส: ในสนามรบ ความเร็วคือกุญแจสำคัญครับ ทั้งสัญชาตญาณไว ทั้งตัดสินใจเร็ว ทั้งฟันดาบได้รวดเร็ว ตัวผมถึงได้พิเศษมากเลยแหละนะ ――แต่ถึงงั้นก็เถอะ พวกนายเนี่ยเชื่องช้าเกินไปหน่อยไหม?
กว่าหน่วยตัดกิ่งจะรู้ตัวว่ามีนักดาบตัวอันตรายอยู่ในหมู่ศัตรู พวกพ้องของตนก็กลายเป็นศพไร้หัวจำนวนนับไม่ถ้วน
เซซิลุส: ฝ่าบาทนี่สุดยอดไปเลยครับ! เหมือนเขามองออกว่าถ้ามอบดาบเล่มที่อยากได้ให้ ตัวผมก็จะแสดงศักยภาพออกมาได้สองเท่าในสนามรบเลย!
หนุ่มน้อยผมสีน้ำเงินสะบัดเลือดที่เปรอะดาบคาตานะพลางหัวเราะอย่างร่าเริง เขาสวมกิโมโนและรองเท้าแตะโซริสไตล์คารารากิเป็นเอกลักษณ์
หน่วยตัดกิ่งรู้สึกขนลุกไปทั่ว แต่ก็ตั้งสติกลับมาจัดขบวนทัพใหม่ได้ แล้วชูอาวุธใส่หนุ่มน้อยตรงหน้าอีกครั้ง
หน่วยตัดกิ่ง: ตั้งสติไว้! ล้อมรอบแล้วฟันมันทิ้งซะ!
เซซิลุส: โอ้ว! ตั้งสติได้ไวเชียว! ดีมาก ผมหนักใจอยู่เลยว่าถ้าศัตรูตอนฉากสำคัญเป็นแค่พวกยืนนิ่งให้เชือดคงน่าเบื่อแย่ ถ้าศัตรูไม่ตายแบบอลังการหน่อย พระเอกจะดูดีได้ยังไงเนอะ?
หน่วยตัดกิ่ง: ไอ้เด็กนี่แม่งบ้าไปแล้ว! ใช่ บริวารของวินเซนต์ อาเบลุกซ์――
เซซิลุส: บ้าเหรอ? พูดจาโหดร้ายแท้ แต่ถ้าให้ตอบ ก็ใช่เลยครับ! ถูกเผงเลยล่ะ!
หนุ่มน้อยชูดาบขึ้นฟ้าและกวาดเท้าไปตามพื้น นั่นไม่ใช่การตั้งท่าต่อสู้เลย น่าจะเป็นการเก๊กเท่ตามประสาเด็กเสียมากกว่า
เซซิลุส: นามของผมคือ เซซิลุส เซ็กมุนต์! ข้ารับใช้คนสนิทของฝ่าบาทวินเซนต์ อาเบลุกซ์ ผู้ที่วันหนึ่งจะเป็นที่เลื่องลือในฐานะยอดนักดาบสุดแกร่งแห่งวอลลาเคีย! ผมคือบุปผาและตัวละครเอกของโลกใบนี้ ――เพราะงั้น ผมจะฟันพวกคุณทิ้งเพื่อเปิดทางสู่บัลลังก์ให้แก่ฝ่าบาท!
เซซิลุสคาดหวังว่าตนจะได้รับเสียงปรบมือหลังจากที่แนะนำตัวอย่างอลังการ แต่เขากลับได้รับเพียงความเงียบงัน
หน่วยตัดกิ่งที่อัดอั้นด้วยโทสะเพราะคำพูดดูแคลนเริ่มบุกเข้าใส่หนุ่มน้อยต่อ พร้อมหนีบกรรไกรเปิดปิดรัวๆ อย่างน่าหวาดหวั่น
เซซิลุส: สงสัยพลาดที่ไปแนะนำตัวก่อนทางนั้นหรือไงกันนะ?
หนุ่มน้อยไม่เข้าใจสาเหตุที่ศัตรูเดือดดาลเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ชักดาบออกมาเพื่อเตรียมปะทะกับกรรไกรเล่มยักษ์
. (อ่านต่อได้ในพาร์ทหน้า)