re zero IF-WRATH แปลไทย รูทโทสะพาร์ท 5 : หัวหรือก้อย

รูทโทสะพาร์ท 5 : หัวหรือก้อย

. สุบารุ: ที่บ้านเกิดของชั้นมีสำนวนที่ว่า “คนที่จมน้ำน่ะจะคว้ากระทั่งเส้นฟาง” อยู่

ชายชราวัย 60 ปีคนหนึ่งกำลังก้มหน้าแทบติดพรมแดงที่พื้นและฟังเสียงพูดนั้น เขาหายใจเร็วเหมือนคนพึ่งวิ่งมา หัวใจเต้นดังจนหูตัวเองได้ยินเสียง

ตลอดชีวิตอันยืนยาวและอาชีพการงานที่รุ่งเรือง เขาได้พบปะผู้คนมากมาย บางครั้งก็ต้องปะทะกัน ถึงจะไม่ชอบโอ้อวดแต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองเกิดมามีสติปัญญาหลักแหลมและใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์พร้อมกว่าคนทั่วไป

――ชายแก่ถึงได้แทบไม่เชื่อสายตาที่ตอนนี้ตัวเขากำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานของตนเอง

สุบารุ: รู้จักไหมว่าเส้นฟางคืออะไร? ที่นี่ก็น่าจะมีฟางอยู่เหมือนกันนะ… แบบว่า ฟางข้าวสาลีหรืออะไรทำนองนั้นน่ะ แล้วคนที่จมน้ำเนี่ย ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเปล่าประโยชน์แต่ก็จะยอมคว้าอะไรก็ได้ไว้สุดชีวิต ประมาณนี้แหละ

ซิกรุม: …

สุบารุ: ถ้าให้สรุปง่ายๆ สำนวนนี้ก็หมายถึงคนที่ใกล้ตายเนี่ยจะยอมทำทุกอย่างเพื่อดิ้นรนเอาตัวรอด ในมุมมองพวกเขามันคงจะต่างออกไปล่ะนะ พวกเขาคิดว่ายังมีโอกาสโต้กลับอยู่ แต่ความจริงแล้วฟางเส้นนั้นมันไร้ค่า

เสียงเหนือหัวเขาพูดจาฉะฉานและนุ่มนวล ถึงสิ่งที่พูดมาล้วนแต่จะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ชายแก่ก็จำเป็นต้องตั้งใจฟัง เพราะอยากจะหลีกเลี่ยงโทสะของอีกฝ่ายที่มีข่าวลือน่าสยดสยองเป็นภูเขาเลากา

เขาพึ่งมามีชื่อเสียงเมื่อสองปีก่อนในฐานะหัวหน้าขององค์กร [เพลอาเดส] ที่ขยายเครือข่ายขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ผู้ใดที่ต่อต้านเขาจะถูกตามล้างบางทั้งครอบครัวและคนสำคัญ

เด็กหนุ่มไร้นามผู้แสนโหดร้ายและประสบความสำเร็จอย่างน่ากลัวคนนี้ถูกขนานนามว่า [ราชาผู้ล้างบาง]

ชายแก่กำลังคุกเข่าอยู่ที่ศูนย์บัญชาการขององค์กรที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาของสี่ประเทศมหาอำนาจเพื่อควบคุมโลกใต้ดิน

ในห้องโถงรับแขกที่เขาอยู่นี้เต็มไปด้วยภาพวาดราคาแพงและของตกแต่งหรูหราที่ล้นหลาม ส่วนตัวราชาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่งดงามเหมือนสมบัติและชำเลืองมองมายังแขกของเขา

สมบัติในห้องนี้ต่อให้เอาเงินทั้งชีวิตของคนทั่วไปมาคูณหมื่นก็ยังเทียบไม่ติด นี่คือการแสดงอำนาจของผู้เป็นราชา เป็นภาพที่ไม่ว่าผู้ใดมาเห็นก็ต้องรู้สึกว่าตนเองจะไม่ได้กลับไปเห็นแสงตะวันอีก

ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่ที่กำแพงของห้องโถงเองก็มีทหารและนักรบรับจ้างชื่อดังหลายสิบคนยืนเรียงรายอยู่ และในบรรดายอดฝีมือเหล่านั้น ผู้ที่ทำให้ชายแก่รู้ซึ้งในอำนาจของราชาที่สุดก็คือสองคนที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของบัลลังก์

――“จอมพิศมัย” ฮาริเบล ผู้แข็งแกร่งที่สุดจากนครรัฐคารารากิ และ “อัสนีสีฟ้า” เซซิลุส เซ็กมุนต์ ผู้แข็งแกร่งที่สุดจากจักรวรรดิเทวาวอลลาเคีย

สุบารุ: คุณซิกรุม?

ทันทีที่ถูกเรียกชื่อ หัวใจของซิกรุมก็หยุดเต้น รอยยิ้มหายออกไปจากใบหน้าของราชา ดวงตามืดมนของเขาจดจ้องมาระหว่างที่เอาแขนเท้าคาง

ซิกรุมปากสั่นทั้งๆที่เขาต้องรีบหาข้ออ้าง แต่แล้วราชาผู้ล้างบางกลับห่อไหล่ลง

สุบารุ: อ้อ คงจะทำให้เบื่อสินะ ขอโทษด้วย คุยอยู่ดีๆออกนอกเรื่องนี่เป็นนิสัยเสียของชั้นเลย เป็นตั้งแต่เมื่อก่อนละ ถ้าไม่พูดจาอ้อมค้อมก่อนก็รู้สึกเหมือนว่าจะเข้าประเด็นหลักไม่ได้น่ะ…

ซิกรุม: มะ…ไม่หรอก …เรื่องนั้น…ฉันน่ะ…

สุบารุ: ชั้นกำลังพูดอยู่นะ

ซิกรุม: …

มือขวาของราชาชูนิ้วป้องปากสั่งให้เงียบ ส่วนมือซ้ายก็ชี้ตรงมาที่ชายแก่ ในช่วงสิบวินาทีที่เงียบงันนั้นซิกรุมได้แต่กลืนข้อแก้ตัวลงคอและเหงื่อไหลโชก

สุบารุ : …โทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจจะขู่ให้กลัว ก็แค่… เห็นไหมว่าสองคนนี้กับคนอื่นๆ ที่จ้างมาเนี่ยเป็นผู้ติดตามของชั้น แต่ว่าคุณน่ะไม่ใช่ จริงไหม? เพราะงั้นก็เลย ว่าไงดีล่ะ… เผลอวางตัวแบบที่คุ้นชินไปหน่อย ขอโทษด้วยละกัน

ราชาผู้ล้างบางตอบกลับอย่างสุภาพและให้ความเคารพ แต่ก็พร้อมจะใช้มาตรการรุนแรงกับอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ

ดวงตาสีดำของเด็กหนุ่มหรี่ลงเพื่อจับจ้องมายังผู้ฟัง เขามองทะลุปรุโปร่งไปถึงความคิดและสังเกตทุกการกระทำ เพื่อที่จะถามคำถามง่ายๆว่า “แกเป็นฝ่ายเดียวกับชั้นหรือว่าเป็นศัตรู?”

ซิกรุมอยากจะยืนยันกลับไปว่าเขาไม่ใช่ศัตรู แต่เพราะพึ่งถูกสั่งห้ามมิให้พูดไป เขาเลยไม่กล้าที่จะโต้ตอบสักอย่าง ความกลัวกัดกินหัวใจของชายแก่ ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีรู้สึกเหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์

องค์กรใต้ดินแสนเหี้ยมโหดนี้เติบโตลุกลามอย่างรวดเร็วเหมือนโรคร้ายที่รักษาไม่หาย พอติดโรคเข้าก็มีทางรอดชีวิตเดียวคือต้องยอมจำนนเพื่ออาศัยอยู่ร่วมกัน ชายแก่ที่หลีกเลี่ยงโรคร้ายมิได้จึงมาที่นี่เพื่อให้คำตอบว่าเขายอมจำนน

แต่เมื่อได้มาอยู่ในห้องโถงแห่งนี้จริงๆมันกลับเลวร้ายกว่านั้น สายตาของราชาทำให้ซิกรุมรู้สึกราวกับว่าเขาถูกมัดมือมัดเท้าโยนลงน้ำแล้วปล่อยให้จมทั้งอย่างนั้น นี่มันมิใช่โรคร้าย แต่เป็น “คำสาป” ต่างหาก

ราชาผู้ลบล้างปกครองด้วยคำสาปที่ไม่มีวันหมดไป ภายในตัวของราชาเองมีความกลัวระดับขีดสุดที่ฝังรากลึกอยู่เหมือนคำสาป

แล้วทุกคนที่ได้พบเจอกับเขาก็ติดคำสาปนามว่า “ความกลัว” นั้นต่อเนื่องไป ทำให้เหมือนจมอยู่ในน้ำและไขว่คว้าเส้นฟางมายึดเกาะ

สุบารุ: เรื่องนั้น… ใช่แล้ว เรื่องเส้นฟาง เรื่องการดิ้นรนเพื่ออยู่รอด …อื้ม เพราะงั้นถึงได้เข้าใจดี ที่คุณซิกรุมมาคุยกับเราถึงที่นี่ ก็เพราะว่ามีผลลัพธ์ที่หวังอยู่สินะ?

ราชาผู้ล้างบางผายมือซ้ายออกเหมือนเป็นการอนุญาตให้อีกฝ่ายพูด

ซิกรุม: อา…

ในที่สุดชายแก่ก็รู้สึกได้ผ่อนคลายลง ลมหายใจหลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก

สุบารุ: คุณซิกรุม?

ซิกรุม: ปะ…เปล่าครับ…ขออภัยด้วย ข้อเสนอของทางนี้ก็เป็นไปตามจดหมายที่ส่งมาก่อนหน้าครับ จากนี้ไปก็ขอให้ทางเรากับสมาชิกองค์กรทุกท่านมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันไปเนิ่นนาน

ซิกรุมกล่าวแสดงจุดยืนโดยเลือกสรรค์คำพูดไม่ให้อ่อนน้อมถ่อมตนมากไป ราชาผู้ล้างบางหรี่ตาลงครุ่นคิด แต่สักพักเด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มที่เหมาะสมกับวัยออกมา

สุบารุ: มามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้เถอะครับ คุณซิกรุม เรื่องรายละเอียดรบกวนค่อยไปหารือกับผู้รับผิดชอบทีหลังนะครับ นี่แหละคือทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว

ซิกรุม: อา…

สุบารุ: จากนี้ไปองค์กรของเราก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ

ราชาผู้ลบล้างสรุปวาระประชุมธุรกิจด้วยการยกมือและส่งยิ้ม ซิกรุมค่อยๆ ยกร่างที่เมื่อยล้าจากการคุกเข่าขึ้นมาแล้วถอนหายใจ

ซิกรุม: ขอบพระคุณมากเลยครับ จากนี้ไปทางเราเองก็ขอฝากตัวเช่นกันครับ

สุบารุ: อื้ม

พอเห็นราชาพยักหน้า ซิกรุมก็โค้งคำนับและหันหลังเดินจากไป เขารู้สึกทั้งโล่งใจและประสบความสำเร็จเหมือนตัวลอย ใบหน้าของสมาชิกครอบครัวที่รอเขากลับไปเริ่มลอยขึ้นมาให้เห็น

แล้วทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงเบาๆ มันคือเสียงของเหรียญที่ถูกดีดจากบนมือแล้วตกลงไปบนพื้น

ซิกรุม: …?

สุบารุ: ก้อย

พอได้ยินคำสั้นๆ นั้นคำเดียว ทัศนวิสัยของชายแก่ก็เอนเอียง รู้ตัวอีกทีสายตาของเขาก็ตกลงมาอยู่ระดับเดียวกับพื้น

นั่นก็เพราะว่าศีรษะของเขาร่วงลงไปอยู่บนพรม แนบชิดกว่าตอนที่ก้มหน้าคุกเข่าเสียอีก

――และนั่นก็คือจุดจบของซิกรุม

. ภาพประกอบวาดโดยคุณ Harusabin