re zero IF-WRATH แปลไทย รูทโทสะพาร์ท 6 : ราชาผู้ล้างบาง

รูทโทสะพาร์ท 6 : ราชาผู้ล้างบาง

. “ฝีมือน่าเชยชม”

นั่นคือความคิดของฮาริเบลที่หรี่ตามองศพไร้หัวของชายชรา แขนขาเขาไม่กระตุก ศีรษะที่ร่วงอยู่บนพรมก็ไม่รู้ตัวว่าตาย ราวกับเป็นงานศิลปะมากกว่าซากศพ

สุบารุ: อุ…แหวะ…

ในทางกลับกันเด็กหนุ่มบนบัลลังก์ก็ปิดปากด้วยความคลื่นไส้ ถึงจะได้เห็นคนกลายเป็นศพมาหลายครั้งหลายครา แต่ภาวะจิตใจที่อ่อนไหวของเขาก็ยังไม่ชินชาเสียที

เซซิลุส: ออกคำสั่งเองแล้วแสดงท่าทีแบบนั้นมันเป็นการลบหลู่ผู้ตายหรือเปล่าครับ? คงไม่ขอให้ชินชากับศพ แต่เลี่ยงไม่สร้างมันเพิ่มจะดีกว่าไหมครับ?

สุบารุ: ชั้นเองก็ไม่ได้ชอบการฆ่าฟันเสียหน่อย… ไม่แน่นอน ถึงจะไม่กล้ามองตรงๆด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็ต้องมาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ นั่นแหละคือสิ่งที่ชั้นพอจะทำได้เพื่อชดเชย…

เซซิลุส: เสแสร้งใช่เล่นนะครับ

เพื่อนร่วมงานของเขา “เซซิลุส” พูดกับเจ้านายที่กำลังเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากอย่างไม่เกรงใจ แต่การที่ผู้เป็นนายไม่ได้มีโทสะก็เป็นหลักฐานว่าเด็กหนุ่มเองก็มองการกระทำของตนเป็นเรื่องเสแสร้ง

เซซิลุสหันเหความสนใจจากเด็กหนุ่มที่หน้าซีดเหมือนศพไปหาศพของชายแก่พลางกล่าวนำว่า “ยังไงก็เถอะ”

เซซิลุส: ความย้อนแย้งของบอสเนี่ยทำเอาแปลกใจนิดหน่อยนะครับ การสนทนาจบลงอย่างสันติแบบนั้น แล้วอยู่ดีๆก็สั่งให้ฆ่า ขนาดผมยังตกใจเลยครับ

เซซิลุสทำหน้างอนแก้มป่อง เป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นชายหนุ่มอายุหลัก 20 กระทำ แต่เพราะเขามีหน้าตาที่งดงามและดูเด็กกว่าวัยมันก็เลยออกมาเหมาะสมแปลกๆ

สุบารุ: ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ชั้นเองก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเขาสักหน่อย อย่างที่บอกเขาคนนั้นไปเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเชื่อใจ หน้าตาเขาก็ดูไม่เหมือนคนโกหกด้วย

เซซิลุส: ถ้างั้น ทำไมล่ะ?

สุบารุ: เพราะถึงจะดูเหมือนว่าไม่ได้พูดโกหกอยู่ก็ตาม แต่สุดท้ายคนปลิ้นปล้อนน่ะยังไงก็จะหลอกลวงกันอยู่วันยังค่ำ

เด็กหนุ่มนั่งชันเข่าบนบัลลังก์และกัดริมฝีปากตัวเอง ถึงแม้จะไม่รู้รายละเอียด แต่ทั้งเซซิลุสกับฮาริเบลต่างก็เชื่อว่าในอดีตเด็กหนุ่มได้เรียนรู้สิ่งนั้นผ่านประสบการณ์

การถูกหลอกให้ไว้ใจด้วยรอยยิ้มและท่าทีเป็นมิตร แต่สุดท้ายมือคู่นั้นก็แว้งกลับมาทำร้ายและปากอันเดียวกันนั้นก็พ่นคำเกลียดชังออกมาแทน

สุบารุ: ตัดดอกตูมออกก่อน แล้วก็รื้อทิ้งทั้งกิ่งก้าน ชั้นน่ะไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมถูกหลอกอีกเป็นครั้งที่สอง

เด็กหนุ่มเริ่มบีบไหล่ของตัวเอง จากนั้นก็ใช้เล็บมือเฉือนผิวหนังจนเลือดไหล

เหล่าลูกน้องคนสนิทรู้ดีว่านั่นคือพิธีกรรมที่เขาใช้ทำให้ตัวเองใจสงบจึงไม่มีใครห้าม พอสาแก่ใจกับความเจ็บปวดแล้วเด็กหนุ่มก็ลุกจากบัลลังก์

สุบารุ: รบกวนเก็บกวาดศพให้เรียบร้อยแล้วเอาไปฝังหน่อยครับ แล้วก็ส่งตัวแทนไปที่ร้านของชายคนนี้ด้วย ริบสินทรัพย์ทุกอย่างมาให้หมด ถ้าพวกเขายอมว่าง่าย อย่าปฏิบัติตัวแย่ๆ ล่ะ แต่ถ้าไม่ยอมทำตามก็ล้างบางทั้งวงศ์ตระกูลและเผาร้านของมันไปเลยครับ พอยึดครองเสร็จแล้ว ก็ให้พวกเขาได้ทักทายผู้รับผิดชอบคนใหม่ซะ หลังจากนั้นค่อยมาตัดสินใจว่าจะเก็บเอาไว้หรือทำลายทิ้ง

เด็กหนุ่มออกคำสั่งให้ทุกคนในห้องได้ยิน คำสั่งของเขาไม่ได้เจาะจงตัวบุคคลว่าให้ใครทำ เขาไม่สนใจขั้นตอนแต่เน้นไปที่ผลลัพธ์ มุ่งเน้นในความสำเร็จของกลุ่มมากกว่าตัวบุคคล

แม้จะมีใครัสักคนล้มเหลว งานก็จะสำเร็จลุล่วงด้วยฝีมือคนอื่นอยู่ดี ――ราวกับว่าเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานขององค์กรในอุดมคติ

แต่แท้จริงแล้วเด็กหนุ่มตาขาวคนนี้ถือครองความปลอดภัยของ “ครอบครัว คนรัก ความมั่งคั่ง ชีวิต” และอีกหลายอย่างของเหล่าลูกน้องไว้เป็นประกัน เขาถึงได้ถูกเรียกและเป็นที่เกรงกลัวในนาม “ราชาผู้ล้างบาง”

ฮาริเบล: บอสครับ ลืมเสื้อคลุมน่ะ

สุบารุ: อ้อ ขอบคุณมากครับ

ฮาริเบลสวมเสื้อคลุมสีดำให้เด็กหนุ่มที่กำลังเดินไปที่ประตู และทันใดนั้นเองหนวดหมาป่าของเขาก็สัมผัสจิตสังหารจากเด็กหนุ่มตรงหน้าได้ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะฮาริเบลมายืนอยู่ข้างหลังเขา

สุบารุ: …คุณฮาริเบล ชั้นไม่อยากจะฆ่าคุณเลยน้า~

ฮาริเบล: ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นก็ไม่ต้องฆ่าสิ ใช้งานผมให้ดีก็พอ

สุบารุ: แต่ว่า การที่เครื่องมือที่ควบคุมไม่ได้หันมาแว้งกัดตัวเองนี่แหละที่เลวร้ายที่สุด จริงไหมครับ? …ถ้าตายเพราะอะไรแบบนั้น มันก็เป็นความพ่ายแพ้ที่บัดซบที่สุดเลย

เด็กหนุ่มสวมมือเข้าในเสื้อคลุมพลางพึมพำและครุ่นคิดหาวิธีฆ่าเสนาธิการของตัวเอง เขาไม่ได้ล้อเล่น หากเป็นไปได้เด็กหนุ่มก็อยากจะฆ่าฮาริเบลจริงๆ

เพียงแต่ว่าน้ำพักน้ำแรงที่ต้องทุ่มเท การเตรียมแผนการที่ไม่เพียงพอ และปัญหาที่จะเกิดหลังเขาตายทำให้เด็กหนุ่มใจเอนเอียงไปทางไม่อยากฆ่าเสียมากกว่า

เซซิลุส: บอสครับๆ ของบรรณาการที่เขาเอามาด้วยนี่เอาไปไว้ไหนดี?

สุบารุ: บรรณาการเหรอ… ของข้างในเป็นอะไร?

เซซิลุส: ข้างในเป็น… อ้อ ศิลามนตราแหละครับ ไปรู้รสนิยมของบอสมาจากไหนกันเนี่ย? ใส่ใจกันขนาดนี้แต่สุดท้ายโดนตัดหัว รู้สึกสงสารยิ่งกว่าเดิมอีกแฮะ

สุบารุ: ที่เลือกตัดหัวน่ะมันคุณเซซิลุสเองนะ…

เด็กหนุ่มถอนหายใจให้ท่าทางร่าเริงไม่ทุกข์ร้อนของเซซิลุส

สุบารุ: ศิลามนตราน่ะรบกวนส่งไปเก็บที่ห้องของชั้นทีนะ ส่วนที่เหลือทุกคนอยากจะเอาไปทำอะไรก็เชิญตามสบายเลย

เซซิลุส: ครับๆ แน่นอน แล้วก็นะ บอสครับ

สุบารุ: …มีอะไรเหรอครับ?

เด็กหนุ่มตอบด้วยเสียงไม่พอใจ ส่วนเซซิลุสเอานิ้วชี้ที่ขอบตาตัวเอง

เซซิลุส: ขอบตาดำน่าดูเลยล่ะครับ ไปนอนพักข้างองค์หญิงสักหน่อยดีไหมครับ?

เด็กหนุ่มเดาะลิ้นไม่พอใจเสียงดัง และถึงแม้ว่าเซซิลส์จะขำแบบไม่ทุกข์ร้อนแต่บรรยากาศในห้องโถงก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที เนื่องจากว่าราชาอาจจะสั่งให้ลูกน้องคนอื่นฆ่าเซซิลุสเพราะยั่วโมโหก็เป็นได้

หากเป็นตามนั้นจริง คงต้องผนึกกำลังของทั้งปราสาทหลังนี้ร่วมกับฮาริเบลเพื่อต่อกรกับเซซิลุส

สุบารุ: ――ไว้จะลองคิดดู

แต่โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ได้ใจร้อนและเดินออกจากห้องไป เหล่าทหารพากันโล่งใจ ส่วนเซซิลุสที่อ่านบรรยากาศไม่เป็นและเอาแต่โบกไม้โบกมือก็ทำให้ฮาริเบลอดไม่ได้ที่จะปวดหัว

ฮาริเบล: การรับผิดชอบดูแลกลุ่มแบบนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ผมถนัดเหมือนกันล่ะน้า…

ฮาริเบลถือเป็นสมาชิกที่อาวุโสที่สุด งานคุ้มกันนั้นเป็นหน้าที่ของเขาเอง แต่จะภายในหรือภายนอกคฤหาสน์ก็ไม่ค่อยมีคนที่เป็นภัยต่อเด็กหนุ่มนัก บ้างก็เกรงกลัว บ้างก็ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขาด้วยซ้ำ

ฮาริเบลคอยเฝ้ามองดูเด็กหนุ่มประเมินค่าทุกสิ่งด้วยสายตาของเขา ความมั่งคั่งในห้องโถงต้อนรับนี้เองก็มีไว้เพื่อขับไล่ศัตรูบางประเภท เด็กหนุ่มต้องทำงานอย่างหนักเพื่อคงสภาพทรัพย์สินนี้เอาไว้

แต่ถึงจะลดจำนวนศัตรูเพียงใดก็เลี่ยงการปะทะกับศัตรูอีกจำพวกมิได้อยู่ดี

สุบารุ: คุณฮาริเบล… รบกวนช่วยดูคุณเซซิลส์ไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเกินการควบคุมด้วยล่ะครับ

ฮาริเบล: คร้าบๆ ไว้ใจได้เลย บอสจะไปหาองค์หญิงหรือเปล่าครับ?

สุบารุ: อื้ม

ทั้งสองเดินลึกเข้าไปในปราสาทที่ถูกเรียกว่า “แพนเดโมเนี่ยม” จนไปถึงหน้าห้องที่มีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุด แค่จำนวนตัวล็อคและรูกุญแจมหาศาลบนประตูก็ทำให้คนที่เห็นเป็นครั้งแรกตัวสั่น

มีรูกุญแจมากกว่า 50 รู แต่กุญแจดอกจริงกลับไม่มีอยู่บนโลก แค่นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งที่อยู่ภายใน

นอกจากนี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความระมัดระวัง ความหวงแหนและความหมกมุ่นของผู้ที่สร้างประตูที่ไม่สามารถเปิดได้ด้วยวิธีการปกติบานนี้ขึ้นมา

สุบารุ: ――พัค

พัค: พอถูกเรียกแล้วก็โผล่มา เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว~

แมวสีเทาโผล่ออกมาจากอากาศตามเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม ถึงรูปลักษณ์กับนิสัยจะเป็นเช่นนี้ แต่แมวที่เกาะไหล่เด็กหนุ่มก็คือมหาวิญญาณนามพัค

พัค: ไง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มาหาลิอาเหรอ?

สุบารุ: ดอร์(ประตู) เปิดหน่อยสิ

พัค: หืมๆๆ อะไรกัน น้ำเสียงแบบนั้นน่ะ ถ้าทำคุณพ่ออารมณ์เสีย เดี๋ยวก็ไม่ให้เจอลูกสาวหรอก ช่วยเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่มีลูกสาววัยออกเรือนหน่อยเถอะ

สุบารุ: พัค

เสียงเรียกของเขาทำให้พัคหยุดลูบหนวดแมวและชำเลืองดูขอบตาดำของเด็กหนุ่ม พัคถอนหายใจและเกริ่นนำว่า “ไม่ไหวๆ”

พัค: อดทนมาจนเกือบถึงขีดจำกัดอีกแล้วสินะ ช่วยไม่ได้ เห็นแก่ความทุ่มเทนั้น จะยอมปล่อยผ่านก็แล้วกัน

พอพัคประสานมือสองข้างยื่นไปทางประตูด้วยท่าทางพอใจ แสงอ่อนๆก็ปรากฏตามรูกุญแจนับไม่ถ้วนแล้วกลายเป็นกุญแจน้ำแข็งที่บิดเปิดทุกรูอย่างพร้อมเพรียง

――การสร้างกุญแจที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาคือวิธีเดียวที่จะเปิดประตูบานนี้ได้

ฮาริเบล: ใช้จุดบอดได้แจ่มจริงๆ พอเห็นว่ามีรูกุญแจอยู่คนทั่วไปก็จะต้องตามหากุญแจมาไขก่อนเป็นสามัญสำนึก แต่ถ้าพยายามจะลอกเลียนวิธีนี้ก็งานเข้าเหมือนกัน

พัค: มีตัววัดระดับคลื่นของเวทมนตร์อยู่ด้วย ถ้ามีใครที่ไม่ใช่ผมเลียนแบบวิธีการนี้ มันก็จะแจ้งเตือนทั้งผมและพวกนายทันที อีกอย่างตัวผมก็อยู่เคียงข้างลิอาเสมออยู่แล้ว

ฮาริเบล: นั่นสิเนอะ

เด็กหนุ่มไม่สนที่ทั้งคู่คุยกันแล้วเอามือวางทาบประตู แต่แล้วเขาก็หันกลับมาจ้องฮาริเบล

สุบารุ: คุณฮาลิเบล ส่งแค่นี้ก็พอ

ฮาริเบล: เอางั้นเหรอ? นานๆ ทีผมก็อยากทักทายองค์หญิงบ้างเหมือนกันนะ…

สุบารุ: ไปได้แล้ว

ฮาริเบลยอมรับว่านั่นเป็นคำปฏิเสธที่ชัดเจน เขาจึงไม่คิดจะดื้อดึงและยอมถอยพลางหยิบไปป์คิเซรุมาคาบ

ฮาริเบล: ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็เรียกหาได้เสมอนะ

เด็กหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังของฮาลิเบลจนเขาเดินพ้นหัวมุมไป แทนที่จะเรียกว่าขี้ระแวง คำว่า “ขี้กลัว” คงจะเหมาะสมกับนายจ้างและผู้มีพระคุณของเขาคนนี้มากกว่า

ฮาริเบล : พอพูดไปแบบนั้น ไม่ว่ายังไงเขาก็คงไม่ยอมเรียกแหงเลยน้า

ควันสีม่วงถูกพ่นออกมาจากไปป์ ควันที่ไร้ที่ไปนั้นชนเข้ากับกำแพงและสลายหายไป ――ราวกับว่านั่นคือการอุปมาถึงอนาคตของพวกเขา

. ภาพประกอบวาดโดยคุณ のす