
บทที่ 7 ตอนที่ 103 "การนับถอยหลังของดวงดาว"
การสู้รบภายนอกคฤหาสน์ก่อให้เกิดทั้งแรงสั่นไหว แสงสีขาวที่สาดส่องไปทั่วฟ้าและเปลวเพลิงโลกันตร์ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำให้เรมตัดสินใจไม่อยู่เฉยอีกต่อไป
เรม: ถ้าจะลงมือ ก็ไม่มีเวลาไหนเหมาะกว่านี้แล้ว
ยามที่ศึกตัดสินเริ่มขึ้น เรมยังคงถูกจองจำไว้ที่คฤหาสน์ของเบลสเต็ตซ์ แต่ว่าเธอไม่ได้เจอหน้าเจ้าของคฤหาสน์มาหลายวันแล้ว
กระนั้นไม่ว่าจะได้พูดคุยกับเขาหรือไม่ เรมก็คงไม่มีทางจะโน้มน้าวเบลสเต็ตซ์ได้ เพราะถึงอย่างไรทั้งคู่ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกันในศึกนี้
ที่จริงแล้วเรมไม่ได้เกลียดชังเบลสเต็ตซ์หรือมาเดลินเลย เพราะฝั่งเธอเองก็มีวินเซนต์และพริสซิลล่าที่เป็นคนยุ่งยากพอกัน
ดังนั้นสิ่งที่เธอกำลังจะทำต่อไปนี้จึงมิได้มาจากความเกลียดชังหรือความคิดทรยศ
. ตั้งแต่ที่ศึกเริ่มขึ้น คฤหาสน์เบลสเต็ตซ์ก็เพิ่มระดับมาตรการเฝ้าระวัง เรมถูกสั่งให้รออยู่แต่ในห้องตัวเองตลอดเวลาจากที่เคยเดินไปไหนมาไหนได้
เคราะห์ยังดีที่ทหารยามมองเรมเป็นแค่สาวขาพิการคนหนึ่ง พวกเขาเลยเฝ้าระวังแบบค่อนข้างหละหลวม
ที่จริงขาของเรมหายดีเกือบหมดแล้ว แต่เธอเลือกที่จะตีเนียนว่าต้องใช้ไม้เท้าพยุงต่อไป ทั้งหมดก็เพื่อหลอกพวกทหารยามให้ประมาท
ว่าแล้วเรมจึงใช้จังหวะที่ทหารยามเผลอแอบไต่ออกไปทางหน้าต่างบนเพดาน
. คฤหาสน์เบลสเต็ตซ์นั้นรายล้อมด้วยกำแพงสูงรอบด้าน ทางออกเดียวคือประตูใหญ่ด้านหน้า
ทว่า เรมไม่สามารถหนีออกไปโดยที่ทิ้งฟล็อปกับคาชัวไว้ได้ เธอจึงเลือกดำเนินแผนสำรอง ซึ่งก็คือการตามหาเหล่าองค์ชายรัชทายาท(ตัวปลอม)ที่ถูกจับมา
ถึงแม้เธอจะปล่อยตัวพวกเขาไม่ได้ อย่างน้อยเรมก็อยากร่วมมือกับคนที่กล้าลุกฮือขึ้นต่อต้านจักรวรรดิไว้ก่อน
ทว่า ระหว่างที่เรมกำลังย่องอยู่บนหลังคา ก็เกิดเหตุการณ์ที่มังกรเมฆาบินลงมาสู่ผืนดิน อาราเคียเปลี่ยนหมู่เมฆเป็นสีแดงเพลิง และโมโกร ฮากาเนะที่หลอมรวมกับปราการลุกขึ้นยืนพอดี
เรมมองไม่เห็นเหตุการณ์เหล่านั้นก็จริง แต่เธอสัมผัสได้ถึงอันตรายจนเผลอลื่นเกือบตกหลังคา โชคดีที่เธอยังคว้าขอบไว้ได้ทัน
พอตั้งสติได้เรมก็เหลือบไปเห็นว่าเธอมาโผล่ตรงพื้นที่ของคฤหาสน์ที่ปกติถูกจำกัดไม่ให้เข้า แถมที่สุดโถงทางเดินที่ควรจะเป็นทางตันดันมีประตูตั้งอยู่อีกต่างหาก
เรม: ประตูลับเหรอ? นี่มันอะไรกัน?
. เรมถูกบีบให้ตัดสินใจว่าจะไปหาองค์ชายรัชทายาทที่อีกอาคารตามแผนเดิมหรือลองเข้าประตูประหลาด ซึ่งอาจจะเป็นแค่ห้องเก็บสุราที่ทำให้เธอเสียเวลาเปล่า
สุดท้ายแล้ว สัญชาตญาณก็บอกให้เรมเลือกอย่างหลังทั้งที่มันเป็นตัวเลือกที่ไม่สมเหตุสมผล
เรมหย่อนตัวลงจากขอบหลังคาไปยังระเบียง มันเกิดเสียงดังเล็กน้อย แต่โชคดีที่พวกทหารยามถูกท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสถานการณ์สนามรบดึงความสนใจไปหมด
ประตูที่สุดทางเดินไม่มีการลงกลอนไว้แต่อย่างใด หลังแง้มบานประตูดู เรมก็พบบันไดลงไปยังชั้นใต้ดิน
เรมคลำทางลงบันไดไปพลางระแวงอยู่ในใจว่าเบลสเต็ตซ์แอบขังอสุรกายอะไรไว้ใต้ห้องนี้หรือเปล่า
เรม: ――มีใครอยู่ไหมคะ?
พอลงมาถึงห้องที่ทั้งมืดและแคบ เรมก็มองเห็นได้คร่าวๆ ว่ามีชายร่างใหญ่คนหนึ่งถูกล่ามโซ่เอาไว้กับกำแพงด้านในสุดของห้อง
ชายร่างยักษ์: ฝ่าบาท…
เรม: คุณคือ…?
ชายร่างยักษ์: ต้องปกป้อง… องค์จักรพรรดิ… วินเซนต์ วอลลาเคีย…
น้ำเสียงของชายร่างยักษ์เปี่ยมล้นไปด้วยความภักดีฉันท์บริวารผู้ซื่อสัตย์ มันทำให้เรมกล้าขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายขึ้น จนเธอเห็นว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
กอซ: …กอซ ราลโฟน
พอชายแปลกหน้าเอ่ยแนะนำตัว เรมคุ้นหูว่านั่นคือนามของหนึ่งใน “เก้าแม่ทัพเทวะ” ถัดจากนั้น “กอซ ราลโฟน” ก็คำรามออกมาราวกับราชสีห์
กอซ: ――ต้องปกป้องฝ่าบาทจาก “มหาภัยพิบัติ”
. หลังเซรีน่า ดราครอย นำทัพนักขี่มังกรบินมาช่วยเสริมกำลัง ทัพกบฏก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายที่ชิงความได้เปรียบในสงครามภาคอากาศ
แต่ในระหว่างที่สองแม่ทัพกำลังดูเชิงสถานการณ์ในสนามรบอยู่นั้น เซรีน่าก็ขอคำยืนยันจากวินเซนต์ว่าเขาคือผู้ที่ปล่อยข่าวลือเรื่อง “องค์ชายรัชทายาท” ใช่ไหม
เซรีน่า: คนที่ปล่อยข่าวลือเรื่อง “องค์ชายรัชทายาทผมดำ” ก็คือนาย แล้วไม่ใช่ว่าองค์ชายรัชทายาทคนนั้นคือผู้นำของกลุ่มที่กำลังอาละวาดอยู่นั่นหรอกเหรอ?
วินเซนต์: สรุปคือ เจ้าคิดว่าบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิคือผู้ที่ชักใยความโกลาหลของสนามรบอยู่เบื้องหลังงั้นรึ?
เซรีน่า: เปล่าเลย ขออภัย แค่พูดเปรียบเปรยน่ะ ฉันไม่ได้เชื่อว่าองค์ชายรัชทายาทนั่นเป็นลูกของจักรพรรดิจริงๆ หรอก เพราะเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่มีบุตรอยู่เลย
พอเห็นเซรีน่ากล่าวด้วยความมั่นใจแบบแปลกๆวินเซนต์ก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย เซรีน่าจึงเอ่ยต่อว่า…
เซรีน่า: ――จะทำไมเสียอีก ก็ฝ่าบาทไม่เคยมีนางสนม ไม่เคยได้ยินว่าเขาใกล้ชิดกับสตรีนางใดเลยด้วยซ้ำ ฉันเองก็เคยลองยั่วยวนเขามาแล้ว แต่ถูกเมินเฉยท่าเดียวเลย พูดขนาดนี้น่าจะฟังดูมีน้ำหนักนะ
วินเซนต์: ――นี่เสียสติไปแล้วรึ?
เซรีน่า: แหงสิ พูดจริงแน่นอน
วินเซนต์: ข้าไม่ได้ถามว่าเจ้าพูดจริงหรือเปล่า แต่ถามว่าเจ้าเสียสติไปแล้วหรือเปล่า
เซรีน่า: ไม่ได้พูดเล่นนะ นี่แหละเหตุผลข้อสำคัญสุดเลยล่ะ การที่ฝ่าบาทไม่หลงเสน่ห์ฉันมันน่าหงุดหงิดก็จริง แต่มันก็มีนัยยะอยู่ว่า…
วินเซนต์: …
เซรีน่า: …ฝ่าบาทน่ะไม่สนใจสตรี หรือก็คือเขาไม่คิดจะสืบพันธุ์ไงล่ะ
วินเซนต์เลือกที่จะนั่งฟังอีกฝ่ายกล่าวหาตัวเองอยู่เงียบๆ เซรีน่าจึงเอ่ยต่อ
เซรีน่า: ก็จริงไหมล่ะ? ไม่ได้คาดหวังให้เป็นพ่อพันธุ์นักปั๊มเด็ก แต่นี่ฝ่าบาทไม่มีลูกเลย ป่านนี้ควรจะมีลูกสักคนแล้วแท้ๆ ต่อให้ฝ่าบาทจะเป็นประเภทชอบไม้ป่าเดียวกัน เขาก็น่าจะมีลูกตามหน้าที่ได้อยู่ดี เพราะงั้นเลยเหลือความเป็นไปได้อยู่สองทาง ไม่เป็นหมันก็…
วินเซนต์: จงใจที่จะไม่มีบุตร
เซรีน่าเห็นพ้องกับคำตอบที่วินเซนต์เสริม เพราะงั้นเธอถึงไม่เชื่อว่าองค์ชายรัชทายาทผมดำที่ว่าจะสืบเชื้อสายมาจากจักรพรรดิวินเซนต์จริงๆ
. ที่ถามมาทั้งหมดทั้งมวลนั้น เพราะเซรีน่าต้องการจะรู้ว่าหลังศึกนี้จบลง วินเซนต์ตั้งใจจะให้ใครนั่งบนบัลลังก์
เพราะไม่แน่ว่าวินเซนต์อาจจะมอบบัลลังก์ให้องค์ชายรัชทายาทคนที่ว่านั่น จากนั้นเขาก็อาจจะปกครองจากเงามืดหรือค่อยกำจัดรัชทายาทตัวปลอมทิ้งทีหลังก็ได้
วินเซนต์: ข้าไม่เคยคิดจะมอบบัลลังก์ให้แก่เจ้านั่นอย่างมิต้องสงสัย เจ้าประเมินผิดแล้ว
เซรีน่า: ถ้างั้น ที่ฉันเดาไว้นี่ผิดหมดเลยงั้นรึ?
วินเซนต์: มิได้ผิดไปหมด ที่ปล่อยข่าวลือเรื่อง “องค์ชายรัชทายาทผมดำ” ออกไปก็เพื่อที่จะหาตัวเจ้านั่นที่กำลังอาละวาดอยู่กลางสนามรบอย่างที่เจ้าว่ามานั่นแหละ ทว่า ลำดับความสำคัญมันผิดไป
เซรีน่า: ลำดับความสำคัญ?
วินเซนต์: หากเทียบลำดับความสำคัญระหว่างการนำเจ้านั่นมาสู่แนวหน้ากับการควบคุมให้มันอยู่ในกำมือแล้ว อย่างหลังน่ะมิได้สำคัญเลย ――ถึงอย่างไร ความใจอ่อนของเจ้านั่นก็ทำให้มันมิอาจเสียสละผู้อื่นได้
เซรีน่าไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่วินเซนต์เอ่ยมานัก แต่เธอก็ได้คำตอบมาแล้วว่าเขาไม่คิดจะให้องค์ชายรัชทายาทผมดำได้ขึ้นครองบัลลังก์
วินเซนต์: หากละทิ้งความลังเลและความปรานีไป ก็จะสามารถใช้งานความใจอ่อนนั้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นั่นแหละคือเนื้อแท้ของเจ้าใช่ไหมเล่า? ――นัตสึกิ สุบารุ
วินเซนต์หวนนึกถึงบุคคลที่เซรีน่ากล่าวถึง ทั้งรูปลักษณ์ในยามปกติ ยามที่เขาแต่งหญิงและยามที่เขากลายเป็นเด็กน้อย
พอนึกถึงสุบารุที่คงใช้ความไร้เดียงสาและความใจอ่อนเข้าช่วยเหลือผู้คนในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยแล้ว วินเซนต์ก็รู้สึกรังเกียจอย่างแรงกล้า
มันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็น “ความเกลียดชัง” หรือ “ความพิโรธ” เลยทีเดียว
. ทหาร: ――ใครกัน!?
ระหว่างที่วินเซนต์กำลังเก็บซ่อนอารมณ์ไว้หลังหน้ากากนั้นเอง ทหารคุ้มกันก็ชี้อาวุธไปทางบุคคลร่างผอมบางที่ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกค่ายบัญชาการ
อูบิรูค: แหม ไม่คิดเลยว่าจะต้อนรับกันขนาดนี้ ตัวผมนี่เป็นที่ชื่นชอบเอาเรื่องนะครับเนี่ย
ทหาร: พูดบ้าไรวะ! นี่แกโผล่หัวมาจากที่ไหนกันเนี่ย!
อูบิรูค: ถ้าบอกว่า “ดวงดาวนำทางมา” มันจะฟังดูเว่อร์วังไปไหมน้า?
วินเซนต์: ――ลดอาวุธลงก็ได้ เจ้านั่นน่ะไม่เป็นอันตรายหรอก
ทหาร: ตะ…แต่ว่า…
วินเซนต์: ต่อให้เอาของมีคมให้ถือก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย เจ้านั่นน่ะเป็นเพียงตัวตลกที่มีพรสวรรค์ในการใช้คำพูดเท่านั้น
อูบิรูค: งื้อออ พูดจาโหดร้ายจังเลยน้า ผมอ่ะก็เสียความรู้สึกเป็นเหมือนกันนะ
พวกทหารพากันสับสนต่อคำสั่งของวินเซนต์ แถมชายแปลกหน้ายังทำแก้มป่องออกท่าทางงอน แต่ทางเซรีน่าเองก็รู้จักชายคนนี้ดี
เซรีน่า: ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ได้? แกน่ะเป็น “นักอ่านดารา” ของ――
อูบิรูค: ――ชื่อ “อูบิรูค” นะคร้าบ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ไฮเคาน์เตสดราครอย แต่ก็นะ…
ชายผู้พูดจานุ่มนวลนาม “อูบิรูค” ฉีกยิ้มหวานชวนหลงใหลแล้วเอ่ยอย่างร่าเริงต่อว่า…
อูบิรูค: ――ไว้ค่อยมาทำความรู้จักกันต่อหลังจากที่ “มหาภัยพิบัติ” ผ่านพ้นละกัน ถ้าคุณยังรอดอยู่ได้ล่ะก็เนอะ?
. จบตอน