webnovel arc7 chapter105

บทที่ 7 ตอนที่ 105 "หอรบโกลาหล(ส่วนกลาง)"

ตาเฒ่าโอลบาร์ตจ้องเขม็งมายังรอสวาลเนื่องจากคำพูดอวดอ้างก่อนหน้าที่ว่าเขาเคยสู้กับชิโนบิมาก่อนนั้นเป็นสิ่งที่โอลบาร์ตยอมปล่อยผ่านไปไม่ได้

โอลบาร์ต: ถ้าได้สู้กับชิโนบิมันก็ไม่ต่างอะไรจากชีวิตจบสิ้นแล้ว รู้ไหมน้อ? หากการสังหารล้มเหลว หมู่บ้านก็จะทราบเรื่อง แล้วส่งชุดต่อไปมาเรื่อยๆ จนกว่าเป้าหมายจะตาย เช่นนั้นแล้ว ไหงเจ้ายังมีชีวิตอยู่ล่ะ?

รอสวาล: เรื่องมันออกจะซับซ้อนอยู่หน่อยล่ะนะ ดูเหมือนว่าชิโนบิที่ฉันได้เจอเองก็มีปัญหาส่วนตัวอยู่ด้วย ไม่รู้คำเรียกที่ถูกต้องเหมือนกัน แต่รู้สึกจะเป็น “ชิโนบิแปรพักตร์” ล่ะ

โอลบาร์ต: …ชิโนบิที่ทอดทิ้งหมู่บ้าน ไม่มีพวกที่ทำแบบนั้นมาสักพักแล้วไม่ใช่รึไงน้อ?

รอสวาล: ไม่รู้หรอกนะว่า “สักพัก” คือเท่าไหร่ แต่น่าจะนานกว่านั้น เพราะว่าฉันได้เจอกับชิโนบิตั้งแต่เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนนู่นแล้ว

การ์ฟีล: หาา?

เนื่องจากการ์ฟีลไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับรอสวาล เขาจึงเคลือบแคลงใจว่าเมื่อ 40 ปีก่อนรอสวาลรุ่น L ควรจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำ

เพราะเท่าที่การ์ฟีลทราบ ในปัจจุบัน รอสวาล L เมเธอร์สพึ่งจะมีอายุแค่ประมาณ 30 ปีเท่านั้น

โอลบาร์ต: ――น่าจะเป็นชาสึเกะกับไรโซสินะน้อ? ชิโนบิแปรพักตร์ที่เจ้าพูดถึง

รอสวาล: โฮ่

โอลบาร์ต: ถ้าออกจากหมู่บ้านเมื่อประมาณ 40-50 ปีก่อนแล้วรอดไปได้ ก็คงมีแค่พี่น้องคู่นั้นแหละ คนอื่นถูกกำจัดทิ้งไปหมด ไม่เหลือใครเข้าเค้าอีกแล้วน้อ

รอสวาล: เอาล่ะ คงไม่จำเป็นต้องตอบว่าเดาได้ถูกหรือผิดก็ได้สินะ?

โอลบาร์ต: ไม่ต้องร้อก การก่อความหวั่นไหวในใจศัตรูคือกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมโอกาสสำเร็จในการสังหาร… เจ้าน่ะ อาจจะมีพรสวรรค์ที่จะเป็นชิโนบิก็ได้นะน้อ

รอสวาล: ขอบคุณสำหรับคำชม แต่คงต้องขอปฏิเสธ พรสวรรค์และเส้นทางที่ฉันต้องการน่ะ ได้เลือกมันไว้เนิ่นนานกว่าเมื่อ 40 ปีก่อนแล้วด้วยซ้ำ

โอลบาร์ต: คั่กคั่กคั่กคั่ก! งั้นเร้อๆ ――ถ้างั้นก็ไม่ทางเลือกสินะน้อ

. ร่างของโอลบาร์ตเลือนหายไปในพริบตา เพียงชั่วอึดใจเดียวชิโนบิเฒ่าก็ย่นระยะเข้ามาเตะใส่ลำคอของการ์ฟีลที่กำลังพักเหนื่อยอยู่ ทว่า――

รอสวาล: จากที่คุยกันเมื่อครู่ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้เล็งฉัน แต่เป็นเขา

โอลบาร์ต: ลดจำนวนศัตรูก่อน คือกฎเหล็กจริงไหมน้อ?

ลูกเตะสังหารของโอลบาร์ตถูกขัดขวางไว้โดย “ไซ” อาวุธดาบหายากจากนครรัฐคารารากิ ซึ่งการ์ฟีลพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

การ์ฟีล: โอ้ววววว!

การ์ฟีลอาศัยจังหวะที่โอลบาร์ตขาติดจนลอยเคว้งอยู่กลางอากาศตะปบแขนขวาเล็งใส่กลางลำตัวตาเฒ่าแบบเต็มกำลัง

แต่แล้วโอลบาร์ตก็ยังอุตส่าห์บิดตัวหลบกลางอากาศ แล้วสลัดตัวจนเท้าหลุดจากดาบไซไปได้ พอได้โอกาสตาเฒ่าก็รีบถอยห่างจากทั้งสองโดยทันที

รอสวาล: อย่าพึ่งใจร้อนไป

การ์ฟีล: หวา!?

การ์ฟีลที่คิดจะตามเข้าไปซ้ำโอลบาร์ตถูกรอสวาลขัดขวางด้วยการใช้ดาบไซแทงเสื้อเพื่อดึงตัวเขาเอาไว้ก่อน

แล้วพอรู้ตัวอีกที มีดลับสีดำก็พุ่งเฉี่ยวจมูกของการ์ฟีลไป มันคือมีดคุไนที่โอลบาร์ตแอบปาสวนมาระหว่างที่เขากระโจนตัวหนี โดยเล็งมาจากจุดบอดสายตา

. การ์ฟีลรู้สึกสมเพชตัวเองเป็นอย่างมากที่เขาต้องมาถูกรอสวาลช่วยชีวิตไว้ถึงสามครั้งติดๆ กัน และเจ็บใจที่เขาไม่สามารถทำอะไรศัตรูที่ดูถูกการต่อสู้ของคาฟม่าได้เลย

รอสวาล: ――การ์ฟีล อย่าได้มองรูปแบบของความแข็งแกร่งผิดไป

การ์ฟีล: หา?

รอสวาล: นายน่ะแข็งแกร่ง เพราะงั้นศัตรูถึงได้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ในรูปแบบที่นายถนัดไง พอเข้าใจไพ่ในมือตัวเองเมื่อไหร่ จุดอ่อนส่วนใหญ่ของนายก็จะเลือนหายไปเอง

ภาพรอสวาลที่ใช้ดาบไซคู่เป็นอาวุธราวกับนักรบนั้น มันช่างไม่คุ้นตาการ์ฟีลเอาเสียเลย

สาเหตุที่รอสวาลจำเป็นต้องต่อสู้แบบนี้ก็คงเพื่อปกปิดตัวตนในฐานะจอมเวทแห่งพระราชสำนักของราชอาณาจักรลูกุนิก้า ดังนั้นแล้ว…

รอสวาล: อย่างเดียวที่ฉันทำได้คือช่วยหยุดการโจมตี… คนที่เป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะแม่ทัพชั้นเอกแห่งจักรวรรดิก็คือนาย การ์ฟีล

การ์ฟีล: …

รอสวาล: จริงอยู่ว่าเรามันเข้ากันไม่ได้ เพราะว่านายน่ะเป็นคนตรงไปตรงมาล่ะนะ ในเมื่อเป็นอย่างงั้น ฉันจะช่วยอุดช่องโหว่นั้นให้เอง ยังไงฉันก็…

การ์ฟีล: ――นิสัยห่วยแตก

รอสวาล: งั้นเหรอ ฉันนิสัยห่วยแตกสินะ แต่ก็หวังพึ่งได้ใช่ไหม?

การ์ฟีล: เหอะ! จัดมาเลย

. นับตั้งแต่ที่รอสวาลปรากฏตัวออกมา ในที่สุดโอลบาร์ตก็ยอมรับว่านี่เป็นการต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้การ์ฟีลไม่คิดจะให้ความร่วมมือดีๆ เลย

โอลบาร์ต: สองคนร่วมมือกัน แบบนั้นสิถึงจะเริ่มเรียกได้ว่าเป็นสองต่อหนึ่ง… คนหนุ่มจอมอวดดีสองคนก่อนหน้านี้กลายเป็นตัวยุ่งยากไปเสียแล้ว

รอสวาล: ถ้างั้น ในเมื่อรู้ตัวว่าเสียเปรียบ คิดจะยอมแพ้ไหม?

โอลบาร์ต: คั่กคั่กคั่กคั่ก! ทั้งการหนีจากศัตรูและการหนีทัพล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าอับอายขายหน้าเสียยิ่งกว่าการตายแบบไร้ค่าเสียอีก อีกอย่างน้อ…

รอสวาล: อีกอย่างอะไร?

โอลบาร์ต: ――ถึงจะเป็นสองต่อหนึ่งก็ไม่คิดว่าจะแพ้หรอกนะ ข้าน่ะ

หลังเอ่ยจบ ชิโนบิเฒ่าก็หายวับไปจากสายตา เขาอาจจะปรากฏตัวออกมาจากทิศใดก็ได้ ทั้งซ้ายขวา ด้านบนหรือด้านล่าง ทำเอาการ์ฟีลเลือกตั้งรับไม่ถูก แต่แล้ว…

รอสวาล: ――ที่ใต้เท้า

การ์ฟีล: โอ้วววววว!!

การ์ฟีลถอยหลังมาครึ่งก้าวเพื่อหลบการโจมตีของโอลบาร์ตที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็ซัดกำปั้นเข้าใส่หัวเข่าของตาเฒ่าอย่างจัง อัดเขากระแทกใส่พื้นอย่างรุนแรง

นั่นคือครั้งแรกที่การ์ฟีลโจมตีโดนอีกฝ่าย จากนี้เป็นต้นไป ศึกตัดสินแบบถึงตายกับชิโนบิได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

. “ฮีโร่มักจะมาสาย” คือวลีที่สุบารุไม่ค่อยชอบนัก ยิ่งถ้าเป็นเหตุการณ์ในชีวิตจริง ที่ไม่ใช่เกม มังงะหรือเรื่องแต่ง

ถ้าหากฮีโร่สามารถแก้ไขสถานการณ์หายนะได้ทันที เขาก็ควรจะรีบลงมือถอนรากถอนโคนปัญหาแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรีรอให้มากความ ทว่า…

สุบารุ: แล้วไหงพวกเราถึงมาช้าสุดเลยล่ะเนี่ย น่าสมเพชชะมัด!

สุบารุที่นั่งอยู่บนหลังอาชาลมกรดสีแดงเข้มมองดูสถานการณ์รบรอบกายด้วยความเจ็บใจที่เขากลายเป็นฮีโร่ที่มาสายแบบที่ตัวเองเกลียด

แต่มันก็ทำให้เขาเข้าถึงหัวอกของฮีโร่ในเรื่องแต่งที่เคยอ่าน การมาช้าจะทำให้ฮีโร่โทษตัวเองถึงความยากลำบากของพวกพ้องและนำความโกรธนั้นมาเป็นแรงผลักดัน

สุบารุ: เล่นมันเลย เบียทริซ!

เบียทริซ: เอล ชามัค!!

เมฆดำจากเวทมนตร์ของเบียทริซก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของเหล่าทหารจักรวรรดิและช่วงชิงพลังในการต่อสู้ออกไป

จากนั้นหน่วยรบเพลอาเดสก็เข้าไปจัดการพวกทหารที่ยืนแน่นิ่งด้วยการปลดอาวุธ ถอดชุดเกราะ หักแขนหรือขาสักข้าง แล้วปล่อยทิ้งไว้

ทั้งหมดนั้นเป็นไปตามเป้าประสงค์ของ “บอส” ประจำหน่วยรบ นัตสึกิ สุบารุ ผู้ปรารถนาที่จะลดจำนวนคนตายให้น้อยลงที่สุด

. สุบารุ: ――ชั้นน่ะ เกลียดจักรวรรดิวอลลาเคีย

เขาเกลียดจักรวรรดิที่บังคับให้ผู้คนต่อสู้กัน เกลียดที่บังคับให้ฆ่ากัน และเกลียดที่บังคับให้ต้องเป็นนักรบ

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ปราการที่ 4 ของกำแพงเมืองรูปทรงดาวห้าแฉกก็อยู่ในระยะมองเห็นของสุบารุแล้ว

กุสตาฟ: ชวาร์ซ เราถึงกำแพงปราการแล้ว จากนี้ไปต้องตัดสินใจว่าจะบุกเข้านครหลวงจักรวรรดิหรือไปช่วยเหลือยอดปราการอื่นดี

สุบารุ: คุณกุสตาฟคิดเห็นยังไงบ้าง!? เราควรจู่โจมหรือจู่โจมแบบหนักดี!

กุสตาฟ: กระผมไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ แต่จะช่วยแนะนำข้อดีและข้อเสียให้ ――หากตรงเข้านครหลวงจักรวรรดิและมุ่งหน้าไปที่พระราชวังแก้วผลึกเลย ก็จะจบเรื่องได้เร็วขึ้น แต่ถ้าหากไปช่วยเหลือยอดปราการอื่น ก็จะลดความเสียหายต่อทั้งฝั่งเราและฝั่งศัตรูลงได้ ตามนี้เลย

ถึงแม้ว่าภายนอกกุสตาฟจะมีร่างกายกำยำเฉกเช่นนักรบ แต่เขาก็เป็นที่ปรึกษาชั้นดีที่สุบารุหวังพึ่งได้เสมอในการช่วยออกความเห็นสำหรับการตัดสินใจ

สุบารุ: เลือกยากชะมัดเลย! แต่ถึงจะยากก็เถอะ… คุณกุสตาฟ! นำเฮียอินคนถือธงกับกำลังพลครึ่งหนึ่งไปสนับสนุนการต่อสู้อื่น! ไวซ์! แบ่งครึ่งกำลังรบที่เหลือแล้วตั้งมั่นอยู่ที่นี่! ฝากด้วยนะ!

กุสตาฟ: ――กระผมรับทราบแล้ว

เฮียอิน: เชื่อมือได้เลย พี่น้อง! เราลงเรือลำเดียวกันอยู่แล้ว!

ไวส์: ก็ต้องลงเรือลำเดียวกันอยู่แล้วสิฟะ ไอ้จิ้งเหลน! ถ้านายขอมา ข้าก็จะรับฟัง…

สุบารุ: ――ถ้าเป็นพวกเราล่ะก็ ทำได้แน่!

นอกจากคำปรึกษาอย่างชาญฉลาดของกุสตาฟแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวกลุ่มนี้ไว้ด้วยกันก็คือความเป็นผู้นำของสุบารุนี่แหละ

. อิโดร่า: ชวาร์ซ แล้วพวกเราที่เหลือจะเอาไงดี!?

สุบารุ: ชัดเจนอยู่แล้ว! จากนี้ไปพวกเราจะสร้างเอนทรี่(ทางเข้า)แบบสุดอลังที่กำแพงตรงโน้น! ――ลุยเลย ทันซ่า! ฝากเธอจัดการหน่อย!

ทันซ่า: ――หากท่านชวาร์ซเห็นงามด้วยแล้วล่ะก็

เงาร่างเล็กของเด็กสาวมนุษย์กวางพุ่งตัวมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองตามคำสั่งของสุบารุด้วยความเร็วดุจกระสุนปืน

――ในบรรดาสมาชิกหน่วยรบเพลอาเดส เธอคนนี้นี่แหละคือ “แอทแทคเกอร์(หน่วยโจมตี)” ที่แกร่งที่สุด

ทันซ่า: ――ย้าาาา!!

รองเท้าเกี๊ยะของทันซ่าปักเข้าใส่กำแพงเมือง แล้วพริบตาต่อมากำแพงก็แตกสลายจนร่างของเด็กสาวพุ่งทะลุไปยังอีกฟากฝั่ง แรงสะเทือนส่งผลให้ปราการที่ 4 พังทลายลง

สุบารุ: บุกเข้าไป บุกเข้าไป บุกเข้าไปเล๊ยยยย!!

หน่วยรบเพลอาเดส: โอ้ววววว!!

พอสุบารุตะโกนให้สัญญาณ หน่วยเพลอาเดสที่เหลืออยู่ก็บุกทะลวงเข้าไปในนครหลวงลูปุกาน่า

. เบียทริซยังคงรู้สึกทึ่งไม่หายต่อ “พาวเวอร์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน” ของหน่วยรบที่มีสมาชิกเป็นคนธรรมดาเสียส่วนใหญ่

เบียทริซ: ปราการแตกง่ายๆ เลย… แบบนี้มันบ้าบอเกินไปมั้ยยะ…

ทันซ่า: ――นี่แหละคือหน่วยรบเพลอาเดสค่ะ

เบียทริซ: หล่อนเนี่ย ท่าทางจะขี้อวดเอาเรื่องนะยะ!

ทันซ่า: ถึงจะโดนเรียกว่าขี้อวด แต่หน้าตาก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ

เบียทริซ: ไม่ได้หมายถึงสีหน้าย่ะ!

รุย: อู! อาอู!

เบียทริซดูจะไม่ค่อยพอใจต่อท่าทีของทันซ่านัก แถมรุยก็ยังช่วยร้องตะโกนประท้วงเหมือนเข้าข้างเบียทริซอีกต่างหาก สุบารุเลยต้องรีบห้ามมวยระหว่างเหล่าสาวน้อย

สุบารุ: เดี๋ยวก่อนๆ ใจร่มๆ! อย่าตีกันเองสิ! พวกเราเป็นทีมนะ! เป็นพวกพ้อง! เป็น “หมู่” เดียวกันน่ะ!

เบียทริซ: หมู่…?

ทันซ่า: รับทราบแล้วค่ะ ท่านชวาร์ซ

เบียทริซ: งื้อๆๆ ย่ะ

เนื่องจากไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกกลุ่มทาสดาบบนเกาะกินุนไฮฟ์ เบียทริซเลยได้แต่ร้องไม่เป็นคำด้วยความหงุดหงิด

. ทหาร: เตรียมตัวซะ ไอ้เวร!

ก่อนที่จะทันได้ไกล่เกลี่ยเหล่าสาวน้อย ทหารจักรวรรดิคนหนึ่งก็ชักดาบเล็งฟันใส่คอของสุบารุเนื่องจากเขาดูออกว่าใครคือผู้นำของกลุ่ม

รุย: อูอาอู!

ทว่า ในพริบต่อมา อาชาลมกรดที่พวกสุบารุนั่งอยู่ก็เคลื่อนย้ายข้ามมิติจนคมดาบพลาดเป้าหมายไป

อิโดร่า: อะ อะไรน่ะ…? อ่อกก

เนื่องจากอิโดร่าที่เป็นสารถีควบม้าพึ่งเคยเคลื่อนย้ายข้ามมิติเป็นครั้งแรก เขาจึงมีอาการคลื่นไส้แบบเดียวกันกับที่สุบารุเคยสัมผัส

เบียทริซ: ชามัค

ทหาร: หวา!? …อั่ก!?

แล้วพอเบียทริซร่ายเวทช่วงชิงการมองเห็นจากศัตรูไป ทันซ่าอาศัยจังหวะนั้นเตะตัดขาทหารจักรวรรดิจนล้มคะมำหมดสติทันที

ทันซ่า: ยอดเยี่ยมมากค่ะ

เบียทริซ: เธอเอง ก็ฝีมือไม่เลวนะยะ

. โชคดีที่บรรยากาศบาดหมางระหว่างสองสาวผ่อนคลายลง สุบารุใช้จังหวะนั้นตักเตือนรุยที่วาร์ปแบบกะทันหัน เนื่องจากอิโดร่าปรับตัวไม่ทัน

สุบารุ: นี่รุย! อย่าทำกะทันหันแบบนั้นสิ ท้องไส้อิโดร่าปั่นป่วนหมดแล้ว! แต่ก็ขอบคุณที่ช่วยไว้!

รุย: อา อู!

สุบารุ: อื้อ ตอบได้ดี! อิโดร่าหายใจเข้าลึกๆ! ถึงจะเป็นครั้งแรก แต่นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราต้องทำแบบนี้

อิโดร่า: จะ…จะพยายามแล้วกัน…

พลังของรุยมีประโยชน์ในการหลบหลีกการโจมตีที่คาดไม่ถึง หากมันจำเป็นจริงๆ สุบารุก็คงต้องจำใจให้อิโดร่ายอมผ่านประสบการณ์เวียนหัวอีก

สุบารุ: เดิมทีชั้นเองก็รับแบบสองสามครั้งต่อเนื่องไม่ไหวเหมือนกัน… คุณกุสตาฟ! เฮียอิน! ไวส์! ฝากด้วยนะ!

กุสตาฟ: กระผมจะทำตามหน้าที่ให้เอง นายก็ทำส่วนของตัวเองไป

เฮียอิน: เอาโว๊ย! หน่วยรบเพลอาเดสจะกลับมาฉลองชัยกันแบบยิ่งใหญ่เฟ้ยยย!!

ไวส์: ชวาร์ซ ต่อให้ตายเราก็จะปกป้องที่นี่… ไปเอาบัลลังก์มาครองเลย!

หลังแลกเปลี่ยนคำพูดกับพวกพ้องเป็นครั้งสุดท้าย อิโดร่าก็ควบอาชาลมกรดนำพวกสุบารุเข้าไปยังส่วนตัวเมืองของนครหลวงลูปุกาน่าที่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครบุกเข้ามาได้

ตึกรามบ้านช่องของเมืองนี้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยจนให้บรรยากาศตึงเครียด

เบียทริซ: สุบารุ เอาไงต่อดียะ?

ทันซ่า: ท่านชวาร์ซ จะทำเช่นไรต่อไปคะ?

รุย: อูอาอู! อาอู อาาา อู!

สุบารุ: คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว! มุ่งหน้าไปที่พระราชวังแก้วผลึกแห่งนครหลวงจักรวรรดิเลย! ต้องไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิจอมอวดดีเพื่อกล่าวสวัสดีสักหน่อย!

สาวน้อยทั้งสามพยักหน้าตอบรับคำตอบของสุบารุ ในขณะที่อิโดร่าผู้เป็นเพียงบุตรชายเจ้าของโรงสีข้าวพึมพำออกมาว่า…

อิโดร่า: พาเด็กสี่คนไปลุยกลางสนามรบ… ตัวฉันนี่มันไร้พรสวรรค์การเป็นนักรบอย่างที่คิดเลย

. ในขณะเดียวกันกับที่นัตสึกิ สุบารุ พาหน่วยรบเพลอาเดสบุกทลายปราการเข้ามายังนครหลวงลูปุกาน่า

ณ ห้องบัลลังก์ของพระราชวังแก้วผลึกที่ประดับประดาด้วยธงหมาป่าดาบและพรมสีแดงโลหิต

วินเซนต์(ปลอม): ไม่นึกเลยว่าจะดื้อด้านถึงเพียงนี้

องค์จักรพรรดิที่นั่งรอคอยอยู่บนบัลลังก์ไม่ได้มีสีหน้ากังวลเลย แม้ว่าผู้บุกรุกจะย่างก้าวเข้ามาในห้องบัลลังก์ที่ไร้ทหารองครักษ์อยู่คุ้มกัน

วินเซนต์: ร่างแห 10 หรือ 20 ชั้นที่เจ้าหว่านออกไปน่ะ มันแทรกซึมไปได้ลึกถึงเพียงใดกันนะ?

แถมผู้บุกรุกคนดังกล่าวยังสวมหน้ากากปิดบังตัวตน ซึ่งเป็นของขวัญที่องค์จักรพรรดิในอดีตเคยมอบให้แก่ชนเผ่าที่ผูกมิตรด้วย

มันคือหน้ากากที่ทำเลียนแบบรูปลักษณ์ของ “เผ่าโอนิ” เผ่าพันธุ์ทรงพลังที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสังหารเหล่าตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก

ผู้บุกรุกที่สวมหน้าปิดบังตัวตนย่างก้าวเข้าไปหาองค์จักรพรรดิแบบไม่เกรงกลัว แล้วประกาศด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ว่า…

วินเซนต์: ไม่รู้สึกอารมณ์พรั่งพรูอย่างที่คาดหวังไว้เลย ――กำลังเงยหน้ามองบัลลังก์ที่ถูกช่วงชิงไปอยู่แท้ๆ

. จบตอน