webnovel arc7 chapter106

บทที่ 7 ตอนที่ 106 "หอรบโกลาหล(ส่วนสุดท้าย)"

พอเบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอนรู้สึกตัวถึงความผิดปกติ ประตูสู่ห้องบัลลังก์ก็ “ปิดตัว” แน่นสนิทไปแล้ว

นายเหนือหัวแห่งพระราชวังแก้วผลึกมีสิทธิ์ในการสั่ง “ปิดตัว” เพื่อแยกห้องบัลลังก์ออกจากโลกภายนอก หากเจ้าตัวไม่อยากให้ใครรบกวน

นอกจากเบลสเต็ตซ์แล้ว อีกคนที่อยู่หน้าห้องบัลลังก์กับเขาก็คือนักอ่านดารา “อูบิรูค”

เบลสเต็ตซ์: ท่านอูบิรูค ที่ข้างในห้องบัลลังก์…

อูบิรูค: ผมอ่ะไม่ใช่พวกใจร้ายใจดำ จะบอกความจริงให้เลยแล้วกัน องค์จักรพรรดิเสด็จมาถึงแล้วครับ ทั้งตัวจริงและตัวปลอมกำลังสนทนาแบบประจันหน้ากันอยู่เลย

เบลสเต็ตซ์: …เหลือเชื่อจริงๆ

อูบิรูค: เหลื่อเชื่อ? อะไรที่ทำใจเชื่อได้ยากเหรอครับ? สงสัยว่าพาองค์จักรพรรดิตัวจริงมาที่นี่ได้ไงหรือเปล่าครับ? เรื่องนั้น ตัวผมอ่ะ ก็แค่ตามเสียงกระซิบแห่งดวงดาวมาเท่านั้นเอง…

เบลสเต็ตซ์: ต่อให้ต้องเดินฝ่ากลางสนามรบ ก็จะเลือกเส้นทางที่พ้นภัยจากลูกหลง ต่อให้พวกทหารจะเฉือดเฉือนกันอยู่ข้างๆ ทั้งคมดาบและเลือดที่สาดกระเซ็นก็จะมาไม่ถึงตัว อย่างงั้นสินะ?

อูบิรูค: ครับผม ถูกต้องตามน้านเลยครับ แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ

ถึงจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่เบลสเต็ตซ์เคยเห็นอูบิรูคเดินฝ่าวงดาบและห่ากระสุนได้แบบไร้รอยขีดข่วนมากับตาแล้ว

ชายแก่จึงรู้ซึ้งดีว่าโลกนี้มันมีขุมพลังที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์อยู่

และพลังอันแสนมีประโยชน์ที่ว่าก็ทำให้วินเซนต์ วอลลาเคีย ทั้งตัวจริงและตัวปลอมไม่คิดจะปล่อยอูบิรูคให้หลุดมือไป ทั้งหมดก็เพื่อ…

เบลสเต็ตซ์: เพื่อช่วยชี้นำไปสู่การป้องกัน “มหาภัยพิบัติ” ที่จะมาถึงสักวันหนึ่ง

อูบิรูค: อะอ้าว ไม่ใช่เพราะชื่นชมความเป็นมนุษย์ของผมหรอกเหรอ?

เบลสเต็ตซ์: ผู้ที่ถูกเรียกตัวมารับใช้ที่พระราชวังแก้วผลึกเพราะความเป็นมนุษย์คงจะมีแค่แม่ทัพชั้นเอกกอซเพียงคนเดียว ทุกคนที่เหลือน่ะถูกเรียกมารับใช้เพราะความสามารถ ตัวฉันเองก็เช่นกัน

. วินเซนต์ วอลลาเคีย ทั้งสองคนมีความเห็นแบบเดียวกันคือการเก็บเฉพาะเพียงคนที่มีความจำเป็นไว้ข้างกาย

โดยไม่สนว่านิสัยจะดีหรือชั่วอย่างไร และไม่สนว่าจะชอบขี้หน้าคนๆ นั้นหรือไม่

กระทั่งเบลสเต็ตซ์ก็ยอมว่าตัวเขาเป็นเพียงฟันเฟืองชิ้นหนึ่ง ซึ่งถ้าหากสึกหรอใช้งานไม่ได้เมื่อไหร่ เขาก็จะยอมรับการปลดระวาง

เบลสเต็ตซ์ไม่พอใจต่อการกระทำของอูบิรูคเล็กน้อย ที่เขาไปพาตัวจักรพรรดิตัวจริงมาเจอกับจักรพรรดิตัวปลอม

ทว่า เดิมทีเบลสเต็ตซ์ก็ไม่เคยเชื่อใจอูบิรูคแต่แรก เพราะงั้นมันคงเรียกว่าถูกหักหลังไม่ได้

อูบิรูค: จะช่วยตอบคำถามของท่านเสนาบดีให้หนึ่งข้อแล้วกันครับ… ผมอ่ะ ไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนหรอกนะ

เบลสเต็ตซ์: ――จุดยืนงั้นรึ?

อูบิรูค: แน่นอนว่าเป็นจุดยืนในฐานะผู้ที่ปรารถนาจะขับไล่ “มหาภัยพิบัติ” และรักษาความสงบสุขของจักรวรรดิวอลลาเคีย

เบลสเต็ตซ์: ――เพื่อการนั้นแล้ว การเผชิญหน้าหลังประตูบานนี้คือสิ่งจำเป็นงั้นหรือ?

อูบิรูค: อื้อ ใช่เลยครับๆ ตัวตนของผมทั้งหมดอ่ะมีอยู่เพื่อการนั้นเลยครับ ――ทั้งการเต้นของหัวใจนี้ ทั้งการหดขยายของปอด ทั้งการไหลเวียนขึ้นลงของโลหิต ทุกสิ่งทุกอย่างเลย

เบลสเต็ตซ์ยืนมองอูบิรูคเอามือกุมหน้าอกและแสดงแววตาน่าขนลุกเหมือนคนเสียสติออกมาอยู่เงียบๆ จากนั้นก็พึมพำออกมาสั้นๆ

เบลสเต็ตซ์: ――ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อกันนะ?

ขอเพียงแค่วินเซนต์ วอลลาเคีย ปรารถนาจะทำหน้าที่จักรพรรดิอย่างแท้จริง เบลสเต็ตซ์ก็ไม่สนแม้ว่าหลังจากนี้ตัวเขาจะถูกจับประหารอย่างทารุณหรือถูกเผาดวงวิญญาณจนมอดไหม้

. ด้วยการนำทางของอูบิรูค สาวกของ “ผู้สังเกตการณ์” ผู้เชี่ยวชาญในการเดินหมากนอกเหนือจากบนกระดาน ในที่สุดวินเซนต์ก็สามารถประจันหน้ากับตัวปลอมของเขาได้เสียที

สำหรับคนอื่น ใบหน้าของจักรพรรดิบนบัลลังก์นั้นคือ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” ไม่ผิดแน่นอน

แต่สำหรับวินเซนต์ที่รู้จักตัวจริงเบื้องหลังผู้ที่สวมรอยเป็นตัวเขามายาวนาน ใบหน้าของอีกฝ่ายมันไม่ต่างอะไรจากหน้ากากคุณภาพต่ำ

กระนั้น หน้ากากก็ยังเป็นหน้ากาก มันสามารถปกปิดอารมณ์ที่แสดงออกผ่านสีหน้าของจักรพรรดิตัวปลอมได้ ดังนั้น วินเซนต์จึงต้องตรวจสอบความรู้สึกของอีกฝ่ายผ่านคำถาม

วินเซนต์: ――ที่ลงทุนร่วมมือกับเบลสเต็ตซ์และขับไล่ข้าออกไปมันช่วยทำให้ความปรารถนาเป็นจริงขึ้นมาหรือเปล่า?

จักรพรรดิตัวปลอมเว้นช่วงไปอึดใจหนึ่ง มันเป็นการเว้นช่วงที่นานเกินกว่าจะเป็นการลังเล แต่ก็สั้นเกินกว่าจะเป็นการครุ่นคิด

วินเซนต์(ปลอม): ――เปล่าเลย ยังหรอก เราผู้นี้ยังมิบรรลุเป้าประสงค์ดังที่มุ่งหมาย

วินเซนต์: ――ยังมิบรรลุเป้าประสงค์ดังที่มุ่งหมาย งั้นหรือ?

หลังเว้นช่วงไปอึดใจหนึ่งแบบเดียวกัน วินเซนต์ก็เอ่ยตอบจักรพรรดิตัวปลอมพลาง “หลับตาลงสองข้าง” ด้วยการฝืนธรรมชาติของตัวเอง

. วินเซนต์ฝึกฝนตัวเองมาตลอดชีวิตเพื่อที่จะสามารถลืมตาไว้ข้างหนึ่งได้ตลอดเวลา

เขารักษาสติไว้ตลอดแม้ยามที่นอนพัก เพื่อที่จะไม่ปล่อยให้ความประมาทเพียงชั่วพริบตาเดียวนำไปสู่ความตาย

นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่วินเซนต์ปล่อยให้ความมืดปกคลุมดวงตาทั้งสองข้างของเขาพร้อมกัน ที่วินเซนต์ทำเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะแสดงเจตนารมณ์ของตนออกมา

วินเซนต์: โกหกทั้งเพ

ตั้งแต่ที่ย่างก้าวเข้ามาในห้องบัลลังก์ นี่คือครั้งแรกที่วินเซนต์แสดงความจงเกลียดจงชังต่อบุคคลที่ทรยศหักหลังเขาออกมาผ่านน้ำเสียง

วินเซนต์ถอดหน้ากากโอนิที่สวมอยู่ออก เปิดเผยใบหน้าที่เหมือนกับจักรพรรดิบนบัลลังก์ สองจักรพรรดิจดจ้องกันแบบไม่ละสายตา

วินเซนต์: ――ในตอนนี้มันมีวิธีที่จะดับเปลวเพลิงได้อยู่

มันได้เวลาที่จะยุติอุบายทั้งหลายและพูดคุยกันด้วยตรรกะ ถึงเวลาที่จะจบเรื่องที่ลุกลามใหญ่โตเพราะแรงจูงใจอันโง่เขลานี้ลงแล้ว

วินเซนต์: ข้าน่ะ――

เพราะถึงอย่างไรทั้งสองก็มีอุปสรรคร่วมที่ต้องเผชิญ ซึ่งก็คือ “มหาภัยพิบัติ”

วินเซนต์(ปลอม): ――ฝ่าบาท

ทว่า คำพูดเพียงคำเดียวของจักรพรรดิตัวปลอมก็ทำให้วินเซนต์ชะงักไป เขารู้สึกราวกับว่าตนถูกทรยศเป็นครั้งที่สอง

เพราะว่ามันคือคำที่อีกฝ่ายไม่ควรเอ่ยขึ้นมา ตราบใดที่ยังคงจำแลงกายด้วยรูปลักษณ์และน้ำเสียงนั้น

จักรพรรดิตัวปลอมใช้จังหวะที่ตัวจริงกำลังอ้ำอึ้งไปชั่วขณะลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วเอ่ยต่อว่า…

วินเซนต์(ปลอม): ――จุดเดียวที่ทำให้ท่านพลาดไปก็คือมุมมองจากเบื้องบนของกระดานหมากนั่นแหละ

หลังเอ่ยจบ จักรพรรดิตัวปลอมก็เคลื่อนย้ายจากหน้าบัลลังก์มาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของวินเซนต์ภายในชั่วพริบตา

. ในขณะเดียวกันนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอันไม่พึงประสงค์ไปทั่วสนามรบ

รัม: ――เอล ฟูล่า

ปกติแล้ว รัมถนัดการใช้เวทสายลมเฉือนคอศัตรูแบบเน้นความแม่นยำเข้าโจมตีจุดตายมากกว่าการใช้เวทมนตร์สายโจมตีใหญ่ๆ

ทว่า ศัตรูของเธอในตอนนี้เป็นตุ๊กตาหินที่ไม่มีจุดอ่อนบนร่างกายที่ชัดเจนแบบมนุษย์ ต่อให้หัวหรือแขนขาจะขาดไป พวกมันก็ใช้ส่วนที่เหลืออยู่โจมตีสวนเข้ามา

ดังนั้น รัมจึงได้ปรับแผนการด้วยการใช้ร่ายเวทวายุไปเคลือบลูกธนูของชนเผ่าชูดราค

เผ่าชูดราค: ――ยิงได้!!

ลูกธนูเสริมสายลมหมุนควงด้วยความเร็วสูงไปเจาะทะลุร่างของตุ๊กตาหินจนตัวแตกสลาย แถมลูกศรที่ความเร็วยังไม่ตกยังทะลุไปโดนตุ๊กตาหินตัวด้านหลังได้อีก

รัม: ฟูล่า

คราวนี้รัมร่ายเวทวายุที่มีรูปแบบต่างออกไป ก่อเกิดเป็นสายลมที่พื้น พัดพาเอาลูกศรที่ตกอยู่ลอยกลับมาหาเหล่าพลธนูถึงมือ ขั้นตอนข้างต้นถูกทำซ้ำวนเวียนไปมา

รัม: ฟูล่า… เอล ฟูล่า… ฟูล่า… เอล ฟูล่า…

. การมาเสริมทัพของรัมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโจมตีของเผ่าชูดราคให้สูงขึ้น จนเริ่มชิงความได้เปรียบบนสนามรบหน้าปราการที่ 3 มาได้

มิเซลด้าบุกเดี่ยวเข้าตะลุยกลางวงตุ๊กตาหินด้วยดาบสั้นสีดำในมือสองข้าง ทั้งที่สนามรบเต็มไปด้วยลูกธนูที่บินว่อนของพวกเดียวกัน

ทาริตต้า: ท่านพี่น่ะหลบเองได้อยู่แล้ว! อย่าหยุดยิง! ใส่จิตวิญญาณของพวกเราลงไปในสายลมของรัมเลย!

ระหว่างที่ลูกศรของเผ่าชูดราคช่วยเปิดทาง ซีคูร์ก็นำทัพบุกทะลวงต่อไป โดยมีชายสวมผ้าปิดตาเป็นแนวหน้าช่วยเคลียร์ทางอีกแรง

จามาล: หลีกไปๆๆ หลีกไป! ไม่ยอมปล่อยให้ตุ๊กตาหินกระจอกๆ อย่างพวกเอ็งอาละวาดไปมากกว่านี้ได้หรอกโว๊ยยย!!

. สถานการณ์เหมือนทุกอย่างกำลังราบรื่นดี แต่แล้วตอนนั้นเองที่สถานการณ์ในสนามรบเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงสุดประหลาด

ซีคูร์: ถอยทัพ!!

กองทหารรีบกระจายตัวกำลังออกตามคำสั่งของซีคูร์ เพื่อหลบการโจมตีจากการเหวี่ยงแขนของแม่ทัพโมโกร ฮากาเนะ ซึ่งหลอมรวมเข้ากับปราการ

รัม: ――อะไรน่ะ?

มันเริ่มมาจากการที่รัมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเป็นคนแรก จากนั้นผู้คนบนสนามรบที่ปราการ 3 ก็ทยอยเห็นสิ่งที่ว่ากัน จนมันนำไปสู่จุดเริ่มต้นของเรื่องประหลาด…

จามาล: ――อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย! อย่าหันหลังให้ศัตรูสิวะ! เป็นแม่ทัพชั้นเอกไม่ใช่รึไงวะ!?

อยู่ดีๆ แม่ทัพโมโกร ฮากาเนะก็หันหลังให้เหล่าทัพกบฏที่ตะโกนด่าทอใส่ จากนั้นก็เริ่มก้าวเท้าขนาดยักษ์ของมันเพื่อมุ่งหน้ากลับไปทางนครหลวงจักรวรรดิ

. ทางฝั่งเอมิเลียนั้นไม่สามารถปลุกมาเดลิน เอสชาร์ตให้ตื่นได้ เธอจึงทำได้เพียงมองดูการต่อสู้ของตัวตนเหนือสามัญสำนึกทั้งสอง

ศึกระหว่าง “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา และ “อัสนีสีฟ้า” เซซิลุส เซ็กมุนต์

เจ้าหนุ่มน้อยพุ่งตัวด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด หลบกรงเล็บของมังกรแล้วใช้ดาบน้ำแข็งฟันโจมตีใส่บริเวณลำคอที่เปิดโล่ง

[เมโซเรย์อา: ――อ้ายยย]

เมโซเรย์อาร้องเจ็บเสียงหลงเหมือนไม่ใช่มังกร แต่ดาบน้ำแข็งที่ใช้ฟันก็แตกออกเช่นกัน สาเหตุอาจจะเป็นเพราะความหนาของเกล็ดมังกรเมฆา หรือไม่ก็เซซิลุสเหวี่ยงดาบเร็วเกินไป

ระหว่างที่วิ่งไปวิ่งมาก่อนหน้า เซซิลุสแอบหยิบอาวุธน้ำแข็งเพิ่มเติมจากไอซิเคิลไลน์มาเหน็บใส่เสื้อไว้ เขาเลยยังมีอาวุธสำรองมาฟันซ้ำใส่เมโซเรย์อาอย่างต่อเนื่องทั้งที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ

การกระหน่ำโจมตีของดาบน้ำแข็ง หอกน้ำแข็ง ขวานน้ำแข็งและค้อนน้ำแข็งทะลวงเกล็ดของมังเมฆาโดยที่มันไม่สามารถต่อต้านอะไรได้

. หากเป็นแบบนี้ต่อไป เซซิลุสคงจะสามารถปราบเมโซเรย์อาลงได้โดยไม่ต้องให้มาเดลินขอให้หยุด แต่มังกรแท้อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เซซิลุสสามารถออมมือให้ได้

เอมิเลียรู้ดีว่ามาเดลินต่อสู้ไปเพื่อบุคคลสำคัญ เมโซเรย์อาเองก็ลงมาช่วยมาเดลินเพื่อตอบรับความรู้สึกนั้น หากเมโซเรย์อาตายไปก่อนที่มาเดลินจะตื่นมันคงไม่ดีแน่

เซซิลุส: อา อย่างงี้นี่เอง! ที่โคนปีกคือจุดอ่อนสินะครับ!

เซซิลุสหลบการโจมตีจากปีกและหางมังกร จากนั้นก็ไต่ร่างมังกรเพื่อไปแทงใส่บริเวณโคนปีกจนเลือดสีฟ้าไหลหยดลงมาย้อมพื้นหิมะขาวเบื้องล่างเป็นครั้งแรก

เซซิลุส: ถ้ามังกรแท้สูญเสียปีกไป มันจะต่างอะไรจากมังกรปฐพีกันนะ? ตลอดชีวิตที่ยืนยาวนี่เคยฝึกฝนการต่อสู้บนพื้นดินบ้างหรือเปล่า?

[เมโซเรย์อา: ――มังกรผู้นี้น่ะ!!]

เซซิลุสถีบตัวจากด้านข้างของมังกรเพื่อพุ่งตัวกลับขึ้นไปยังบริเวณโคนปีก แต่เมโซเรย์อาก็พลิกตัวกลางอากาศหลบไปได้ แล้วตะปบแขนใส่เจ้าหนุ่มน้อยที่ลอยเคว้งอยู่

ต่อให้เซซิลุสจะรวดเร็วแค่ไหน แต่ถ้าหากร่างกายมนุษย์ของเขาโดนอุ้งเท้ามังกรอัดกระแทกเต็มๆ ก็คงถึงตายอยู่ดี

ทว่า เซซิลุสกลับใช้ส้นเท้ารับแรงกระแทกจากแขนมังกรแล้วออกวิ่งด้วยความเร็วสูงจากข้อศอกไปยังบริเวณปลายเล็บก่อนที่จะกระโจนตัวออกไปยังกำแพงน้ำแข็ง

. เซซิลุส: แม่คนสวย!

เอมิเลีย: อ๊ะ ค่ะ!

เอมิเลียสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าเซซิลุสต้องการจะขออะไร เธอจึงร่ายเวทเสกอาวุธน้ำแข็งอันใหม่ให้แก่เจ้าหนุ่มน้อย

เซซิลุสหยิบอาวุธขึ้นมาและงอเข่าตั้งท่าเตรียมตั้งรับ เนื่องจากการเว้นระยะห่างชั่วคราวนั้นมันเปิดโอกาสให้เมโซเรย์อาโจมตีสวนใส่เซซิลุสด้วยเช่นกัน

เอมิเลียสัมผัสได้ว่าการแลกดาบครั้งต่อไปนี้แหละคือสิ่งที่จะตัดสินผลแพ้ชนะของศึกนี้

เซซิลุส: เอ๋?

ทว่า แทนที่จะโจมตีเข้ามา เมโซเรย์อากลับหยุดบินไปชั่วขณะ ดวงตาสีขาวของมันจดจ้องไปยังจุด “จุดเดียว”

จุดที่ว่าไม่ใช่ทั้งเซซิลุสที่หักหน้ามันหรือเอมิเลียที่อุ้มร่างของมาเดลินอยู่ ――แต่เป็นตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าจุดที่เมโซเรย์อาบินอยู่เสียอีก

เอมิเลีย: …มีอะไรบางอย่างกำลังบินอยู่?

พอมองตามสายตาของเมโซเรย์อาไป เอมิเลียก็สังเกตเห็นเงาดำของอะไรบางอย่างบินอยู่กลางหมู่เมฆ แต่ยากที่จะมองออกว่าคืออะไร

[เมโซเรย์อา: ――ไม่จริงน่า]

มังกรเมฆากลับมากระพือปีกอีกครั้ง แต่แทนที่จะดวลตัดสินกับเซซิลุสต่อ มันกลับหันหลังให้เขาแล้วบินจากไปด้วยความเร็วดุจลูกธนู

เซซิลุส: อ้าววว!? เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวก่อนๆ เอางี้เลยจริงดิ!?

เจ้าหนุ่มน้อยแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมาเป็นครั้งแรก แต่ด้วยนิสัยดื้อด้าน เซซิลุสจึงเสริมแรงไปที่เข่าแล้วดีดตัวพุ่งตามหลังเจ้ามังกรไป

ความรุนแรงของการดีดตัวทำให้กำแพงน้ำแข็งถึงกับพังทลายลง เซซิลุสพุ่งตัวเป็นเส้นตรงความเร็วที่เหนือกว่ามังกร เขาเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ขึ้น… ใกล้ขึ้น…

เซซิลุส: ――อา ไปไม่ถึงสินะเนี่ย?

สุดท้ายแรงดีดตัวก็หมดกำลังลง เพราะถึงอย่างไรเซซิลุสก็แข่งความเร็วการบินกับมังกรไม่ได้อยู่ดี แต่มังกรเมฆากลับเอาแต่จดจ่ออยู่กับการบิน ไม่สนใจที่จะหันกลับมาโจมตีเซซิลุสที่ลอยเคว้งอยู่ด้วยซ้ำ

เซซิลุส: ――จะกลับเข้าไปในนครหลวงจักรวรรดิเหรอ?

. ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดไปทั่วสนามรบนั้นมีส่วนที่สำคัญอยู่สองจุด หนึ่งในนั้นก็คือที่ห้องบัลลังก์ของพระราชวังแก้วผลึก

ในขณะที่สองจักรพรรดิจ้องหน้ากันอยู่ในระยะประชิดจนขนตาแทบชนกันได้ วินเซนต์ก็เตรียมการที่จะเคลื่อนไหวก่อน ทว่า เขาก็ช้ากว่าอีกฝ่าย

วินเซนต์: ――อึก

กระดูกหักไหปลาร้าฝั่งซ้ายของวินเซนต์ถูกกระแทกด้วย “พัดเหล็ก” ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของข้ารับใช้คนสนิท

วินเซนต์(ปลอม): มันไม่เหมือนการเล่นหมากกระดาน นี่แหละคงเป็นเหตุผลที่ท่านไม่ใช่นักรบแหละน้า

ในขณะที่วินเซนต์เอาแต่ใช้มันสมองประเมินตัวเลือกความเป็นไปได้มากมาย นักรบนั้นสามารถลงมือได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้หัวคิด แต่ใช้วิชาที่ผ่านการขัดเกลามาแบบถึงเลือดถึงเนื้อ

จักรพรรดิตัวปลอมบิดแขนของวินเซนต์เพื่อแย่งสิ่งหนึ่งออกมาจากมือเขา จากนั้นวินเซนต์ก็ถูกอีกฝ่ายบังคับให้สวมบางอย่างบนใบหน้า

ทีแรกเขานึกว่าโดนสวมผ้าปิดตา แต่แท้จริงแล้วมันคือหน้ากากโอนิที่ตนสวมอยู่ก่อนนี้นั่นแหละ

วินเซนต์: ――นี่เจ้า

ที่เบื้องหน้าของวินเซนต์ จักรพรรดิตัวปลอม แม่ทัพ “จิชา โกลด์” ฉีกยิ้มด้วยใบหน้าที่ไม่ใช่ของเขา

จิชา: …

――แล้วในพริบตาต่อมา ลำแสงสีขาวก็เจาะทะลุกำแพงของห้องบัลลังก์เข้ามาทะลวงหน้าอกของ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” ผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวรรดิ

. จบตอน