webnovel arc7 chapter108

บทที่ 7 ตอนที่ 108 "มหาภัยพิบัติที่จะกำลังมาถึง"

จุดจบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตามคำทำนายของ “นักอ่านดารา” คือสิ่งที่วินเซนต์เตรียมใจมาตลอด นับตั้งแต่ตอนที่เขารับรู้ถึงสถานะองค์ชายราชวงศ์วอลลาเคียของตน

พอถึงเวลาตามที่ลิขิตสวรรค์ประกาศล่วงหน้าไว้ องค์จักรพรรดิผู้ครองบัลลังก์ในขณะนั้นจะต้องตายและกลายเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมหาภัยพิบัติ

ที่จริงมันไม่มีชื่อของจักรพรรดิระบุไว้ในคำทำนาย แต่วินเซนต์มิอาจเชื่อใจให้พี่น้องคนอื่นของเขาแบกรับบทบาทแสนหนักหนานี้ไว้ได้

ดังนั้น วินเซนต์จึงขึ้นครองบัลลังก์เอง นำระบบ “เก้าแม่ทัพเทวะ” กลับมาใช้ เขาเปลี่ยนแปลงวอลลาเคียให้ดีขึ้นและตระเตรียมให้มันคงอยู่เช่นนั้นต่อไปหลังเขาตาย

เขาวางแผนทุกอย่างมาทั้งชีวิต ทว่า การกระทำสุดท้ายของ “จิชา โกลด์” กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของวินเซนต์

. ร่างกายของจิชาที่เปลี่ยนรูปลักษณ์โดยทักษะ “โน” ไม่กลับคืนเป็นร่างเดิมแม้กระทั่งหลังความตาย

วินเซนต์ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นใบหน้าและได้ยินน้ำเสียงของข้ารับใช้คนสนิทอีกแล้ว

วินเซนต์: ทำไมกัน?

ตอนที่กลับมาพบกันที่หน้าบัลลังก์ วินเซนต์ตั้งใจที่จะโน้มน้าวจิชาว่าการหาทางหลีกเลี่ยงมหาภัยพิบัติมันเปล่าประโยชน์

วินเซนต์ฝึกฝนจิชาให้สามารถรับช่วงดูแลจักรวรรดิต่อจากตนได้ ฝึกฝนให้คิดเหมือนเขา เพื่อที่จิชาจะได้ยอมแพ้อย่างสมเกียรติยามที่วินเซนต์นำทัพกบฏบุกมาถึงนครหลวง

แต่จิชากลับยอมเสี่ยงเดิมพัน ทั้งที่มหาภัยพิบัติมันอาจจะไม่สนใจ ให้ปล่อยให้ความตายของเขาสูญเปล่าก็ได้

การตายของเขาคือการใช้ชีวิตอย่างไม่คุ้มค่า มันคือสิ่งที่วินเซนต์เกลียด จิชา โกลด์ควรจะรู้เรื่องนั้นดี

วินเซนต์: ทำไมกัน?

ความสับสนก่อตัวไม่หยุดหย่อน วินเซนต์เกลียดที่ตัวเองเอาแต่ย้ำคำถามที่ไม่มีทางได้รับคำตอบเช่นกัน ทว่า…

??: ――เหตุผลน่ะไม่ใช่เพราะแผนมันห่วยแตกไม่ใช่เรอะ?

หลังสิ้นเสียงนั้น กระสุนลำแสงนัดที่สองก็ตรงดิ่งไปหาวินเซนต์ที่ยืนนิ่งอยู่

. ก่อนที่ลำแสงสีขาวจะเจาะทะลุหน้าอกของวินเซนต์ พระราชวังแก้วผลึกก็สั่นไหวอย่างรุนแรง

จากนั้นก็มีกำแพงโผล่มาขวางกั้นระหว่างวินเซนต์กับลำแสง เกิดเสียงสะท้อนของผิวน้ำดังขึ้นมายามที่ลำแสงกระทบกำแพงก่อนมันจะกระจายหายไป

วินเซนต์: ――แขนยักษ์ โมโกร ฮากาเนะ งั้นหรือ!

โมโกร: ปกป้อง ชายบนบัลลังก์ ฝ่าบาท สั่งการฉัน

สิ่งที่ปกป้องวินเซนต์ไว้คือแขนขวาของแม่ทัพโมโกร ฮากาเนะ ผู้ที่ตัวตนแท้จริงคือ “มีทิเออร์” พระราชวังแก้วผลึก

ผู้เดียวที่สามารถสั่งการโมโกรที่ควรจะปกป้องปราการที่ 3 อยู่ให้กลับมาปกป้องวินเซนต์ได้ มีเพียงจิชา โกลด์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เมื่อครู่ เขาอ่านออกกระทั่งว่าวินเซนต์จะถูกหมายหัวต่อ

วินเซนต์: ――อึก โมโกร ฮากาเนะ! พาข้าออกไป!

โมโกร: แก เป็นใคร ฉัน ฝ่าบาท สำคัญกว่า

วินเซนต์: จักรพรรดิตายไปแล้ว! หากข้าตายไปด้วย ความตายของเขาจะสูญเปล่า!

โมโกร: พระศพ――

วินเซนต์: ไม่จำเป็น! อย่าไปสนคนตาย!

หลังสั่งการเสร็จ วินเซนต์ก็กระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือยักษ์ เพื่อให้โมโกรพาเขาออกไปนอกห้องบัลลังก์

. สายลมกรรโชกปะทะกับใบหน้าของวินเซนต์ทันทีที่ออกมาด้านนอก

โมโกรที่รวมร่างกับปราการกลายเป็นคนยักษ์ที่ตัวสูงกว่า 50 เมตร วินเซนต์เห็นวิวจากด้านบนว่าบ้านเมืองบางส่วนถูกโมโกรย่ำยีจนเละตอนที่เขาวิ่งตรงดิ่งกลับมา

การต่อสู้ที่ยอดปราการยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนยังคงล้มตายโดยเปล่าประโยชน์ แต่วินเซนต์จะไม่ยอมให้การตายของจิชาต้องสูญเปล่า

วินเซนต์: ข้าจะตายไม่ได้เด็ดขาด

โมโกร: อันตราย

เสียงของโมโกรดังก้องราวกับลมกรรโชก เจ้ายักษ์หันหลังให้กับพระราชวังแก้วผลึกเพื่อปกป้องวินเซนต์ที่อยู่บนฝ่ามือ

การโจมตีจากลำแสงสีขาวกระหน่ำมาจากหลายทิศทาง ศัตรูไม่ได้มีหลายคน ไม่มีทางที่แผ่นดินวอลลาเคียจะมีผู้ใช้เวทมนตร์ที่แม่นยำขนาดนี้อยู่หลายคน

สมองที่ด้านชาของวินเซนต์กลับมาทำงาน เขานึกถึงชายคนหนึ่งที่มีความสามารถโจมตีมาจากรอบทิศทางราวกับภาพลวงตา

ระหว่างที่โมโกรพยายามปกป้องเขาจากกระสุนรอบทิศ วินเซนต์ก็สังเกตเห็นว่าเงาของศัตรูบินผาดโผนไปมาด้วยความเร็วสูง ซึ่งเป็นลักษณ์เด่นของ “นักขี่มังกรบิน”

ทว่า ในปัจจุบันไม่ควรจะหลงเหลือนักขี่มังกรบินคนใดที่สามารถบินเร็วได้ขนาดนี้หลงเหลืออยู่อีกแล้ว นี่คือทักษะ “เหินเวหาสุดขั้ว” ของนักขี่มังกรบินที่เก่งกาจที่สุด

แสงสีขาวเข้าปะทะกับร่างยักษ์ของโมโกรจนแตกออก เศษชิ้นส่วนปลิวมาบาดแก้มของวินเซนต์ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ศัตรูบินผ่านมาตรงหน้า

ผมสีน้ำตาลเทา ดวงตาที่เป็นสีดำทมิฬเหมือนราตรีมีประกายสีทองอยู่ นอกจากนั้นใบหน้าที่ไร้สีสันของเขายังมีรอยแตกอยู่ด้วย

ถึงจะแตกต่างจากเดิมไปเล็กน้อย แต่วินเซนต์จดจำใบหน้านั้นได้ดี

วินเซนต์: ――บัลรอย เทเมกริฟ! ทำไมเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่ได้!?

บัลรอย: ไม่ต้องมาชวนคุย คุณชายหน้ากากโอนิ

ตัวตนที่แท้จริงของศัตรูผู้สังหารจักรพรรดิตัวปลอมก็คือ “บัลรอย เทเมกริฟ” อดีตแม่ทัพเทวะลำดับเก้า ผู้มีฉายาว่า “มือปืนกระสุนมนตรา”

. โมโกร: บัลรอย ตายแล้ว แก ตัวปลอม

โมโกรที่ก่อนหน้านี้ตั้งรับอยู่ตลอดเปิดฉากโต้ตอบด้วยการแกว่งแขนซ้ายแหวกอากาศเล็งโจมตีใส่บัลรอยอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ปกติคนเรามักหลงคิดว่าสิ่งที่ตัวใหญ่จะโจมตีเชื่องช้า แต่ส่วนใหญ่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาจากการมองดูอยู่ไกลๆ

ทว่า ความเร็วของโมโกรก็ยังเทียบไม่ติดกับบัลรอยที่มีผืนเวหาเป็นอาณาเขต นักขี่มังกรบินสามารถเคลื่อนไหวได้รอบทิศทาง แถมบัลรอยยังเป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแขนงวิชา

นอกจากนี้ บัลรอยยังเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ซึ่งหาได้ยากในจักรวรรดิ แถมเขาไม่ได้มีดีแค่เวทซุ่มยิงขณะบินกลางเวหา

บัลรอยสามารถใช้เวทสายลมห่อหุ้มมังกรบินคู่เพื่อปรับเพิ่มลดความเร็วและลดแรงกระแทก จนพวกเขาสามารถบินได้อย่างอิสระเหนือคู่หูนักขี่มังกรบินคู่อื่น

ข้อเสียเดียวของนักขี่มังกรบินคือการฝึกฝนแบบจับคู่ที่ยาวนาน เนื่องจากมังกรบินจะไม่ยอมให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่หูขี่หลังมันเด็ดขาด

แต่การที่บัลรอยมีมังกรบินที่สามารเข้าขากับเขาได้ดีเช่นนั้นอยู่ด้วยก็แปลว่า…

วินเซนต์: เจ้ามังกรบินตัวนั้นเองก็กลับคืนชีพกลับมาจากความตายเช่นกันงั้นหรือ!?

. วินเซนต์เริ่มไตร่ตรองความเป็นไปได้ที่ว่าการคืนชีพของบัลรอย เทเมกริฟและมังกรบินคู่หูจะเกี่ยวเนื่องกับ “มหาภัยพิบัติ”

แต่ถึงแม้บัลรอยจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็เป็นเพียง “เก้าแม่ทัพเทวะ” นั่นแปลว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหนือไปกว่า “โมโกร ฮากาเนะ” ที่อยู่กับวินเซนต์

แค่บัลรอยเพียงคนเดียวจึงไม่น่าจะใช่ “มหาภัยพิบัติ” ตามลิขิตสวรรค์

โมโกร: สั่นไหว อดทน

วินเซนต์: ไม่กังขา เอาเลย!

หลังวินเซนต์ตอบรับ โมโกรก็จ้วงแขนซ้ายลงไปที่พื้นแล้วแหวกถนนของนครหลวงออกมาเขวี้ยงใส่ศัตรู

ไม่นานมานี้วินเซนต์พึ่งได้เห็นชาวเคออสเฟลมใช้เศษซากอาคารมาปาโจมตี แต่สิ่งที่โมโกรทำอยู่เป็นผลจากการพละกำลังของเขาเองล้วนๆ

โมโกร: บดขยี้

โมโกรหวดแขนซ้ำใส่ชิ้นส่วนเมืองที่ตนถางออกมา ทำให้มันแตกกระจายเป็นกระสุนนับไม่ถ้วนที่แต่ละนัดมีขนาดใหญ่กว่าร่างกายมนุษย์

ต่อให้เป็นบัลรอยที่ฝึกฝนริวโฮมา หากโดนเข้าสักนัดก็จะเสียจังหวะถึงเป็นอันตรายได้

. บัลรอย: คาริยอน!

มังกรคู่หูตอบรับคำสั่งด้วยการบินแหวกห่าฝนเศษซากเมือง โดยที่บัลรอยคอยใช้กระสุนแสงยิงทำลายเศษหินที่ขวางทาง

บัลรอยและคาริยอนมุ่งหน้าไปยังจุดที่กระสุนซากเมืองเบาบางที่จุด แต่โมโกรที่จงใจเหลือจุดอ่อนตรงนั้นไว้ก็ง้างแขนซ้ายรอเรียบร้อยแล้ว

แขนยักษ์ที่หมุนควงของโมโกรแหวกนภาของนครหลวง หวดลงไปรุนแรงจนโลกาสั่นไหว การดวลของเก้าแม่ทัพเทวะทั้งสองที่ไม่เคยสู้กันมาก่อนตอนที่บัลรอยมีชีวิตอยู่กำลังรู้ผลแพ้ชนะ

ทว่า ก่อนที่การโจมตีจะไปถึง ก็เกิดการระเบิดอย่างหนักหน่วงขึ้น ขนาดแรงปะทะที่ตามมายังรุนแรงจนแทบจะฉีกร่างวินเซนต์เป็นชิ้นๆ

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน วินเซนต์ก็มิเคยหลับตาลงทั้งสองข้าง เขาจึงได้เห็นเหตุการณ์เข้าเต็มตา

วินเซนต์: แขนของ…โมโกร…

แขนซ้ายควงสว่านของโมโกรถูกบางอย่างขัดไว้ด้วยการแทงเสย จากนั้นก็ถูกขยี้ทิ้งโดย “เท้าหน้า” จนบัลรอยรอดจากห่าฝนกระสุนหินมาได้

[เมโซเรย์อา/มาเดลิน: โอ้วววววว!! นี่แก! จงอยู่ให้ห่างจากคู่ครองของมังกรผู้นี้น้าาาา!!]

กรงเล็บและหางของมังกรแท้แหวกทะลุร่างที่หลอมรวมกับปราการของโมโกรอย่างง่ายดายจนเขาเริ่มสูญเสียมวล สมกับเป็นการโจมตีของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

วินเซนต์: “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา… ที่อยู่ด้านในตอนนี้คือมาเดลิน เอสชาร์ตงั้นหรือ!?

. มังกรเมฆากระหน่ำโจมตีจนเศษชิ้นส่วนหลุดออกจากร่างโมโกรมากมาย ทั้งสวนของพระราชวังแก้วผลึกและอาคารบ้านเรือนที่เรียบร้อยถูกบดขยี้จนเละ

แขนซ้ายของโมโกรที่ขาดไปก่อนหน้าร่วงไปใส่อ่างเก็บน้ำด้านหลังพระราชวังแก้วผลึก ซึ่งเป็นศูนย์กลางแหล่งจ่ายน้ำของทั้งนครหลวงที่ดึงน้ำมาจากน้ำพุบนภูเขา

อ่างเก็บน้ำเริ่มร้าวจนน้ำไหลซึมออกมา แรงดันน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขื่อนก็แตกออกจนน้ำโคลนไหลท่วมนครหลวง

สิ่งสำคัญสุดตอนนี้คือการอพยพประชาชน และทหารจักรวรรดิกับทัพกบฏที่กำลังต่อสู้กันอยู่

โมโกร: ――ล้มเหลว

ทว่า ตอนนั้นเองที่แขนขวาของโมโกรถูกมังกรเมฆาขย้ำจนขาดตั้งแต่ส่วนข้อมือขึ้นไป ไม่น่าใช่การโจมตีที่จงใจ แต่เป็นลูกหลงจากการตะลุมบอน

เนื่องจากฝ่ามือของโมโกรที่เดิมทีเป็นกำแพงเมืองไม่มีที่ให้ยึดเกาะ ร่างของวินเซนต์จึงปลิวหลุดออกมาและหมุนควงกลางอากาศ

ดวงตาของวินเซนต์เหลือบไปเห็นรูขนาดใหญ่ที่ห้องบัลลังก์พระราชวังแก้วผลึก มันทำให้เขานึกถึงศพของจิชาที่ตนสั่งให้ทิ้งเอาไว้

บาดแผลจากการตัดสินใจนั้นคงสลักอยู่บนดวงวิญญาณของเขาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่มันคงไม่มีความหมายอะไรหากวินเซนต์ร่วงลงพื้นไปตายตอนนี้

??: ――เกือบไปแล้ว!

วินเซนต์: อึก!?

วินเซนต์พยายามจัดท่าแขนขาเพื่อลดความเสียหาย แต่เขากลับร่วงไปใส่ผ้าผืนใหญ่ที่กางเอาไว้

หากจะมีใครสักที่สามารถคาดเดาตำแหน่งที่วินเซนต์จะร่วงลงมาล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำล่ะก็…

อูบิรูค: ――อาวล่ะ! ช่วงเวลาแห่งลิขิตสวรรค์มาถึงแล้วล่ะ!

วินเซนต์: …

อูบิรูค: ไม่รู้หรอกนะว่าฝ่าบาทเป็นฝ่าบาทคนไหน ยังไงก็เถอะ “มหาภัยพิบัติ” กำลังจะมาถึงแล้วครับ! มาช่วยกันยับยั้ง “มหาภัยพิบัติ” ด้วยกันกับผมเถอะ!

“นักอ่านดารา” อูบิรูคชูแขนกล่าวเฉลิมฉลองอย่างร่าเริงที่ลิขิตสวรรค์ของตนกลายเป็นจริง ท่ามกลางฉากที่เป็นโมโกรร่างยักษ์กับมังกรเมฆา

. ตัดไปอีกทางหนึ่ง เบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอน ถือโอกาสย่างก้าวเข้าไปสำรวจห้องบัลลังก์ที่กำแพงห้องแตกเป็นรู

เบลสเต็ตซ์: ――ท่านจิชา งั้นหรือครับ?

ชายแก่พบศพของจักรพรรดิผมดำนอนตายอยู่ที่นั่นในสภาพที่หน้าอกถูกเจาะทะลุ เขาคงจะตายทันทีโดยไม่ทันได้เจ็บปวด

เบลสเต็ตซ์: เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่พวกเราทำลงไป นั่นคงนับเป็นจุดจบที่ปรานีมากแล้ว

ตั้งแต่วินาทีที่เขาทรยศองค์จักรพรรดิ เบลสเต็ตซ์ก็เตรียมใจที่จะต้องตายแบบทนทุกข์ทรมาน จิชาที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเองก็คงเตรียมใจไว้แบบเดียวกัน

เบลสเต็ตซ์: ดูเหมือนว่าคุณจะมองเห็นอะไรที่ต่างออกไปจากตัวฉันจากเรื่องราวของ “นักอ่านดารา” สินะครับ

ถึงแม้สุดท้ายจิชาจะทรยศต่อเบลสเต็ตซ์อีกที เขาก็ไม่คิดจะประณามการกระทำนั้น แต่ชื่นชมจิชาด้วยซ้ำ

จิชา โกลด์ได้แสดงพลังแห่งปัญญาออกมาและตายจากไปในฐานะประชาชนชาวจักรวรรดิผู้กล้าแกร่งตามคำจำกัดความใหม่ของวินเซนต์

. เบลสเต็ตซ์เหลือบออกไปสำรวจบริเวณรูกำแพงและเห็นแม่ทัพโมโกร ฮากาเนะกำลังเคลื่อนไหวอยู่

ระหว่างทางมาที่นี่ เบลสเต็ตซ์ได้เจอกับอูบิรูคที่ทิ้งคำพูดประหลาดเอาไว้ให้เขาครุ่นคิด

เบลสเต็ตซ์: “มหาภัยพิบัติ” แล้วก็ความพินาศที่มันจะนำพามา… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับจักรวรรดิที่ตัวฉันยังไม่รู้กัน?

??: ――ตายจริง ยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย? ถ้างั้น ฉันช่วยบอกให้ดีไหม?

เสียงคนแปลกหน้าที่ดังมาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เบลสเต็ตซ์หันกลับไปมองทางบัลลังก์ที่อยู่ด้านในสุดของห้อง ซึ่งมีใครบางคนนั่งอยู่

เบลสเต็ตซ์: ――ได้ไง

ทีแรกเบลสเต็ตซ์ตั้งใจจะประณามผู้ที่ล่วงเกินมานั่งบนบัลลังก์ของจักรพรรดิ แต่พอได้เห็นใบหน้าอีกฝ่าย ชายแก่ก็อ้ำอึ้งไปต่อไม่ถูก

ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของเบลสเต็ตซ์ทำให้เขามียศสูงเทียบเก้าแม่ทัพเทวะ หากจะมีใครที่เขาไม่กล้าประณามก็คงมีแค่จักรพรรดิกับตระกูลราชวงศ์

ลาเมีย: ไม่อยากจะเชื่อเลยค่าว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ เบลสเต็ตซ์ ――นี่ คนไหนเป็นผู้ชนะ “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” งั้นเหรอ? ท่านพี่วินเซนต์? หรือจะเป็นพริสก้ากันนะ?

เชื้อพระวงศ์ผู้เลอโฉมที่มีรอยแตกอยู่บนใบหน้า “ลาเมีย ก็อดวิน” อดีตองค์หญิงที่เบลสเต็ตซ์เคยรับใช้กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์

――ทั้งที่เธอควรจะตายไปเนิ่นนานแล้ว

. จบตอน