
บทที่ 7 ตอนที่ 109 "หมาป่าดาบแห่งจักรวรรดิ"
. การ์ฟีลนึกย้อนถึงที่เพทร่าเคยเล่าให้เขาฟังว่าเธอเกลียดรอสวาลแทบจะทุกด้าน แต่อย่างหนึ่งที่ขนาดเพทร่ายังยอมรับว่ารอสวาลเก่งก็คือ “การสอน”
รอสวาล: การ์ฟีล นั่นชูริเคนล่ะ มันเคลือบพิษไว้ด้วย ถึงหลบไปมันก็จะระเบิด คำตอบที่ถูกคืออะไร?
การ์ฟีล: น่ารำคาญชิบหายเลย เอ็งเนี่ย!!
การ์ฟีลคำรามพลางกระทืบเท้าเสกเสาดินขึ้นมาป้องกัน ชูริเคนปักใส่เสาจากนั้นก็ระเบิดออกอย่างที่รอสวาลเตือนไว้
การ์ฟีล: ทางไหนวะ!
รอสวาล: ทางฉันนี่แหละ
โอลบาร์ตโผล่มาลอบโจมตีด้านหลัง แต่รอสวาลใช้ดาบไซปัดป้องมีดคุไนไว้ได้ ส่วนการ์ฟีลที่หันหลังกลับมากำหมัดต่อยสวนไปทันที
กำปั้นของการ์ฟีลสะบั้นมีดพับที่ปลายเท้าของโอลบาร์ตซึ่งเล็งเจาะกะโหลกรอสวาลได้ทันเวลา
. โอลบาร์ตอาศัยแรงปะทะดีดตัวถอยห่างออกไป การ์ฟีลคิดจะวิ่งตามแต่เขาก็หยุดเท้าไว้ก่อน แล้วสังเกตเห็นว่าโอลบาร์ตปาชูริเคนดักไว้อย่างที่ระแวง
รอสวาลเอ่ยปากชมการ์ฟีลที่เรียนรู้ได้ไวระหว่างการต่อสู้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่สายเจ้าเล่ห์ เน้นแต่อัดแหลกเหมือนอย่างเอมิเลียก็ตาม
การ์ฟีลเริ่มเป็นห่วงสถานการณ์ฝั่งเพื่อนๆ คนอื่น โดยเฉพาะฝั่งรัม เผ่าชูดราคและไฮน์เคล โอลบาร์ตสังเกตเห็นความลังเลนี้เลยพูดจายั่วโมโหว่าพรรคพวกฝั่งเขาเก่งกว่า
แต่รอสวาลเองก็จับไต๋ได้เหมือนว่าฝั่งโอลบาร์ตก็เริ่มหงุดหงิดที่ศึกนี้กลายเป็นศึกยืดเยื้อ
ในศึกสงครามจิตวิทยา ถ้าไม่มีรอสวาลอยู่ด้วย การ์ฟีลคงพลาดท่าให้โอลบาร์ตเต็มๆ รอสวาลจึงใช้โอกาสนี้ย้ำบทเรียนเรื่องการเลือกต่อสู้ในเวทีที่ตนถนัด
. โอลบาร์ต: ――ไม่ไหวๆ เพราะงี้แหละน้อถึงได้เกลียดพวกคนหนุ่ม พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ทันที ไม่เหมือนตาแก่ที่ตันไปหมดแล้ว
ตาเฒ่าบิดคอและส่ายข้อเท้าพลางปล่อยจิตสังหารออกมา เป็นสัญญาณว่าเขายอมรับการ์ฟีลเป็นคู่ต่อสู้เป็นครั้งแรก
การ์ฟีลสูดหายใจเข้าออก ตั้งสมาธิจดจ่อกับการไหลเวียนของโลหิตและพลังภายในร่าง
โอลบาร์ต: เหอ?
ทันใดนั้นเอง โอลบาร์ตก็ส่งเสียงประหลาดออกมา ทีแรกการ์ฟีลนึกว่านั่นคือลูกหลอกเพื่อขัดสมาธิคู่ต่อสู้ แต่แล้วเขาก็สังเกตได้ว่าฝั่งโอลบาร์ตนั่นแหละเสียสมาธิจนเปิดช่องว่างมากกว่าที่ผ่านมา
เซซิลุส: ――เดี๋ยวดิๆๆ ถอนตัวกลางคันมันขี้โกงนะ ทำแบบนี้มันไม่มีกาละเทศะเอาซะเลยนี่นา! นี่ไร้กาละเทศะพอๆ กับผมเลยเหรอครับ!?
หนุ่มน้อยคนหนึ่งวิ่งฝ่ากลางสนามรบอย่างรวดเร็วจนฝุ่นปลิวว่อน เขากำลังวิ่งไล่มังกรที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า แต่สิ่งที่ทำให้โอลบาร์ตประหลาดใจที่สุดดูจะเป็นเจ้าหนุ่มน้อย
โอลบาร์ต: …ไหงเจ้าเซซิถึงได้ตัวกะเปี๊ยก? ――นี่เจชิ แอบดูดสีของข้าไปใช้งั้นเรอะ?
ความประหลาดใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ ตามด้วยความพิโรธ ในชั่วขณะที่ “ตาเฒ่าใจมาร” เปิดช่องว่างนั้น รอสวาลก็ไม่ปล่อยให้โอกาสมันเสียเปล่า
รอสวาลจ้วงดาบไซไปโดนหัวไหล่ของโอลบาร์ตที่เสียจังหวะ ตาเฒ่ารีบใช้วิชาดำดินมุดหนีทันที ทว่า…
รอสวาล: การ์ฟีล!
การ์ฟีล: รู้แล้วโว้ย! ――หือ?
การ์ฟีลพยายามใช้ “พรคุ้มครองแห่งวิญญาณปฐพี” ตรวจจับตำแหน่งใต้ดินของโอลบาร์ต แต่เขากลับขนลุกเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ไม่เกี่ยวข้องกันแทน
คราวนี้เป็นฝ่ายการ์ฟีลที่เปิดช่องว่างระหว่างต่อสู้แบบไม่ควรบ้าง รอสวาลระแวงว่าจะโดนโอลบาร์ตโจมตีสวนมา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำอะไรเลยเช่นกัน
รอสวาล: สัมผัสของผู้เฒ่า หายไปงั้นเหรอ?
จริงอย่างที่รอสวาลว่า การ์ฟีลสัมผัสถึงตัวตนของโอลบาร์ตไม่ได้เลย แถมเขายะงหายตัวไปเร็วเกินจนไม่น่าใช่การอำพรางกลิ่นอายเสียด้วย
การ์ฟีล: ความรู้สึกนี้…มันอะไรกัน…
รอสวาล: การ์ฟีล ผู้เฒ่าล่ะ――
การ์ฟีล: แปลกชะมัด รู้สึกไม่ดีเลย มันเหมือนกับ [สายลมแห่ง “อายเฮีย” ทำให้น้ำเน่าเสีย]
ในเมื่อรอสวาลสัมผัสถึงมันไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงนี้จึงไม่น่าเกี่ยวข้องกับ “มานา”
มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่การ์ฟีลผู้ถือครอง “พรคุ้มครองแห่งวิญญาณปฐพี” สัมผัสได้เป็นคนแรก
การ์ฟีล: ผืนดินของสนามรบเรอะ? …ไม่สิ ผืนดินของวอลลาเคียกำลังคลุ้มคลั่ง?
การ์ฟีลได้ยินเสียงกรีดร้องของผืนดินกำลังแพร่ขยายไปทั่วอย่างน่าขนลุกเต็มสองหู
การ์ฟีล: รอสวาล! รีบบินไปบอกทุกคนตอนนี้เลย! ――ทั้งหมดทั้งมวลของวอลลาเคียกลายเป็นศัตรูของเรา!
. “ลาเมีย ก็อดวิน” เป็นบุตรสาวของอดีตจักรพรรดิรุ่นที่ 76 ไดรเซ็น วอลลาเคีย
ในพิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิรุ่นที่ 77 ลาเมียเป็นตัวเต็งรองลงมาจากองค์ชายวินเซนต์ แต่เธอได้พ่ายแพ้การต่อสู้ตัดสินกับองค์หญิงพริสก้าและถูก “ดาบตะวัน” แผดเผาเป็นเถ้าถ่าน
ด้วยเหตุนี้ ดวงตาที่ปกติปิดอยู่เสมอของเบลสเต็ตซ์จึงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจต่อภาพที่ไม่ควรจะเป็นไปได้ตรงหน้าเขา
ลาเมียที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แตกต่างไปจากความทรงจำของเบลสเต็ตซ์อยู่เล็กน้อย ใบหน้าของเธอขาวซีดและมีรอยแตก ส่วนลูกตาก็กลายเป็นสีดำสนิทและมีม่านตาสีทอง
ลาเมีย: เบลสเต็ตซ์ ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไงค้า~? ผู้ชนะ “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” คือท่านพี่วินเซนต์เหรอ? หรือพริสก้า? คงไม่บอกว่าเป็นท่านพี่พาลาดิโอ้ใช่มั้ย? หลังฉันตายไป มันคงเป็นฝันร้ายสำหรับใครก็ตามที่เหลืออยู่หากต้องดวลกับสองคนนั้นล่ะเนาะ
เบลสเต็ตซ์: ――หลังฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ไป ผู้ขึ้นครองบัลลังก์คือฝ่าบาทวินเซนต์ อาเบลุกซ์ขอรับ ทรงครองราชย์มานาน 9 ปีจนถึงตอนนี้
ลาเมีย: แต่ก็ตายแล้วนี่ คำตอบมันก็นอนอยู่แทบเท้านั่นใช่ไหม?
ลาเมียกล่าวถึงศพหน้าตาเหมือนพี่ชายของเธอที่นอนอยู่กลางห้อง หารู้ไม่ว่านั่นคือแม่ทัพจิชา โกลด์ที่จำแลงรูปลักษณ์
. เบลสเต็ตซ์: ด้วยความเคารพขอรับ ฝ่าบาทลาเมีย ขออนุญาตถามอะไรเสียหน่อย
ลาเมีย: มีอะไรงั้นหรือ เบลสเต็ตซ์? นายเคยเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของฉันนี่นา หากมีคำถามล่ะก็ จะช่วยตอบให้ละกันค่า~
เบลสเต็ตซ์: กลับมาด้วยเหตุใดกันขอรับ? เท่านั้นไม่พอ บัลลังก์แห่งนั้นเป็นของจักรพรรดิแห่งวอลลาเคียได้เพียงผู้เดียว ――ฝ่าบาทน่ะ ขาดคุณสมบัติขอรับ
เบลสเต็ตซ์เคยสนับสนุนให้ลาเมียได้ครองบัลลังก์อย่างเต็มที่ เขาควรจะภูมิใจที่ภาพฝันนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมา
ทว่า สิ่งเดียวสุมอยู่ในอกของชายแก่กลับมีแต่เพียงความพิโรธและความรังเกียจอันมากล้นเท่านั้น
เบลสเต็ตซ์: โปรดตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วย ฝ่าบาท พวกเราน่ะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ขอรับ
ลาเมีย: เพี้ยนเหลือเกินค่า~ เบลสเต็ตซ์ ไม่ว่าจะรักเพียงแค่ไหน ประเทศนี้ก็ไม่มีทางตอบรับความทุ่มเทของนายหรอก
พอได้รับคำตอบจากลาเมียที่สีหน้าที่ไม่มีเปลี่ยน เบลสเต็ตซ์ก็ชี้แหวนที่เขาสวมอยู่ไปทางเธอทันที แหวนวงนั้นคือ “มีทิเออร์” ประจำตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี
เบลสเต็ตซ์: ――จงเตรียมใจ!
ลูกไฟถูกยิงออกมาจากอัญมณีที่เปล่งประกายบนนิ้วมือของเบลสเต็ตซ์และเข้าไปปะทะลาเมียที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เต็มๆ
ลาเมีย: โง่เง่าจริงค่า~ เปลวเพลิงอะไรจะมาสู้เปลวเพลิงแห่งราชวงศ์วอลลาเคียได้
ทว่า ลูกไฟก็ถูกผ่าครึ่งก่อนจะถึงตัวเป้าหมายจนไปเผาธงด้านหลังแทน และในมือของลาเมียที่ลุกจากบัลลังก์ก็มีดาบล้ำค่าเล่มสีแดงงดงามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความภาคภูมิแห่งวอลลาเคียอยู่
เบลสเต็ตซ์: ――“ดาบตะวัน” วอลลาเคีย
ลาเมีย: หากเป็นเชื้อพระวงศ์วอลลาเคีย ย่อมมีมันอยู่แล้วล่ะเนาะ?
. ลาเมียกระโจนตัวเข้ามาหาเบลสเต็ตซ์ที่เบิกตากว้าง หากดาบในมือเธอคือดาบตะวันของจริง ตัวตนชายแก่จะถูกแผดเผาจนไม่เหลือซาก
ทว่า เบลสเต็ตซ์ก็ขยับไปไหนไม่ได้ ร่างกายของเขาไม่ได้ฝึกฝนมาให้ต่อสู้ และประกายแสงเจิดจ้าตรงหน้ามันก็งดงามเหลือเกิน งดงามจนเขายอมรับในจุดจบนี้
ลาเมีย: ลาขาดนะ เบลสเต็―― อ่อออก!!
ทันใดนั้นเองประตูห้องบัลลังก์ก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมกันกับมีขวานศึกเล่มใหญ่บินเข้ามาอัดกระแทกร่างของลาเมียจนกระเด็นหายไปทางหลังห้อง
เบลสเต็ตซ์: ใครกัน…
อาวุธที่กระแทกลาเมียคือขวานประดับที่เอาไว้ให้ชุดเกราะหน้าห้องบัลลังก์ถือ แต่ถึงจะเป็นของตกแต่งก็ได้รับการดูแลอย่างดีให้พร้อมใช้งาน
ชายร่างยักษ์ผู้ขว้างขวานเดินตึงตังเข้ามาคว้าปกเสื้อของเบลสเต็ตซ์ไว้ทันที เขาไว้เครา ร่างกายกำยำ สวมชุดเกราะ มีใบหน้าดุดันและพูดจาเสียงดัง
กอซ: ไอ้ข้ารับใช้เจ้าเล่ห์ เบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอน! คิดแล้วเชียวว่าฉันถึงคิดถูกแล้วจริงๆ ที่คัดค้านให้แกขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดี!!
เบลสเต็ตซ์: แม่ทัพเอก กอซ ราลโฟน…
กอซ: แกจะถูกตัดสินความผิดต่อหน้าปวงชน! แน่นอนว่าแม่ทัพเอกจิชาที่ร่วมวางแผนก่อกบฏก็มีความผิดเท่าเทียมกัน! ไม่สำคัญว่าแรงจูงใจคืออะไร การวางแผนต่อต้านฝ่าบาทและพรรคพวกเป็นความผิดฐานร้ายแรง!
เบลสเต็ตซ์: …
กอซ: เดิมที! ก็จงอย่าได้ดูถูกพวกเรา! เหล่าแม่ทัพ! ต่อให้ต้องประสบความทุกข์ยากเพียงแค่ไหน พวกเราก็จะผนึกกำลังกันบดขยี้ “มหาภัยพิบัติ”!!
. กอซ ราลโฟน แม่ทัพเทวะลำดับห้า ได้ช่วยให้วินเซนต์หลบหนีออกมาจากนครหลวงได้ เบลสเต็ตซ์กับจิชาจึงต้องจับเขาล่ามโซ่ขังเอาไว้ที่ห้องใต้ดินคฤหาสน์ของเขาก่อน
กอซเฉลยให้เบลสเต็ตซ์ฟังว่าเด็กสาวคนหนึ่ง(เรม)ที่ถูกกักตัวไว้ที่คฤหาสน์เช่นกันเป็นคนช่วยปล่อยเขาออกมา
เด็กสาวเผ่าโอนิคนนั้นเป็นผู้ใช้เวทรักษาที่หาตัวได้ยากในจักรวรรดิ เบลสเต็ตซ์จึงตั้งใจเก็บเธอไว้เป็นตัวเลือก “มเหสี”
ทางด้านกอซนั้นทราบเพียงแค่ว่า “มหาภัยพิบัติ” จะเริ่มต้นขึ้นหลังวินเซนต์ตายไปแล้ว เขาจึงตั้งใจจะบังคับให้เบลสเต็ตซ์กับจิชาคายตำแหน่งของวินเซนต์ออกมา
กอซ: มะ… ไม่จริง… ฝ่าบาท… ฝ่าบาทททท!!
และทันทีที่กอซกวาดสายตาไปเห็นศพกลางห้อง เขาก็เผลอปล่อยเบลสเต็ตซ์จากมือและเข่าทรุดลงทันที กอซร่ำไห้และร้องตะโกนเสียงดัง
กอซ: …ฝ่าบาท! …กอซ ราลโฟนผู้นี้มาช้าเกินไป! ช่างโง่เง่าเหลือเกิน! ช่างโง่เขลาเหลือเกิน! หนทางเดียวที่จะชดใช้ได้ …คงมีแต่ความตายเพียงเท่านั้น!
เบลสเต็ตซ์: มะ…แม่ทัพเอกกอซ! ได้โปรดใจเย็นก่อน! ชายคนนั้นน่ะ…
กอซ: จะให้ใจเย็นได้อย่างไรกัน!! แกนะแก เสนาบดีเบลสเต็ตซ์! สาแก่ใจพวกแกหรือยังล่ะ!? ที่ได้ช่วงชิงชีวิตของฝ่าบาทและทำลายจักรวรรดิ――
เบลสเต็ตซ์: คนที่ตายไปคือแม่ทัพเอกจิชาครับ!
. เบลสเต็ตซ์ตัดสินใจตะโกนจนเรียกสติกอซให้ใจเย็นลงได้สำเร็จ และแน่นอนว่าเบลสเต็ตซ์ไม่ได้ลืมตัวตนของอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ ผู้ที่น่าจะรู้เรื่อง “มหาภัยพิบัติ” มากกว่าพวกเขาสองคน
ลาเมีย: ――อยู่ดีๆ ก็โดน แย่จังเลยค่า~ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เกิดมาและตายไปเลยที่ถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้
กอซ ราลโฟน เป็นผู้ได้รับความเคารพนับถือจากทหารใต้อาณัติมากมาย แถมพละกำลังของเขายังมหาศาลพอที่จะขยี้ร่างของศัตรูได้อย่างง่ายดาย
กระนั้นลาเมียก็ยังรอดมาได้ ――ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รอดมาในสภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก
ลาเมีย: หึ ร่างกายนี้… เหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ช่วยได้เยอะเลย
ร่างกายซีกขวาของลาเมียที่ถูกขวานผ่าจนแหกค่อยๆ ประสานกลับเป็นดังเดิมยามที่เธอเอียงคอ
เบลสเต็ตซ์รีบใช้จังหวะนั้นอธิบายให้กอซเข้าใจถึงสถานการณ์ประหลาดเกี่ยวกับลาเมียที่คืนชีพมา รวมถึงชวนลาเมียคุยเพื่อถ่วงเวลาและล้วงข้อมูลเพิ่มเติม
กอซ: มันใช่เวลาไหมเนี่ย!! ฝ่าบาทลาเมีย! กระผมกอซ ราลโฟน แม่ทัพใต้อาณัติขององค์จักรพรรดิบาทวินเซนต์ วอลลาเคียขอรับ! ได้โปรดยอมถูกมัดตัวไว้แต่โดยดีด้วย!
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะคุย กอซจึงเริ่มเดินเข้าไปหา แม้จะไร้อาวุธ แต่แขนของกอซก็หนาราวกับท่อนซุง พละกำลังของเขาเหนือระดับที่ลาเมียจะวัดได้แม้ว่าเธอจะมีดาบตะวันก็ตาม
ลาเมีย: ไม่เอาด้วยหรอก แบบนั้นน่ะ พึ่งลืมตาตื่นมาแท้ๆ ไม่อยากถูกพันธนาการไว้อีกเลยค่า~
กอซ: เช่นนั้น คงต้องใช้กำลัง…
ลาเมีย: ――อีกอย่าง ว่าไหมค้า~?
ตอนนั้นเอง เงาดำผุดขึ้นมาจากพื้นข้างกายลาเมียคนแล้วคนเล่า แถมแต่ละคนยังมีลูกตาสีดำ ม่านตาสีทองและรอยแตกบนใบหน้าแบบลาเมียเป๊ะ
――และที่เลวร้ายที่สุดคือ กอซกับเบลสเต็ตซ์สามารถจดจำใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นได้ทุกคน
ลาเมีย: ――เอาแต่ยึดติดกับจักรวรรดิที่ยังไงก็จบสิ้นอยู่ดี น่าสมเพชเหลือเกินค่า~
เหล่า “เชื้อพระวงศ์” ข้างกายลาเมียชูมือขึ้นฟ้าตามเธอและอัญเชิญ “ดาบตะวัน” ออกมาอย่างพร้อมเพรียง
. การต่อสู้ระหว่าง “ลำดับแปด” โมโกร ฮากาเนะ กับ อดีต “ลำดับเก้า” บัลรอย เทเมกริฟ และ “ลำดับเก้า” คนปัจจุบัน มาเดลิน เอสชาร์ต ที่ข้างพระราชวังแก้วผลึกยังคงดำเนินต่อไป
มันคือการต่อสู้ระหว่างปราการร่างมนุษย์ มังกรอาภรณ์เมฆา และนักขี่มังกรบินผู้เก่งกาจที่สุด ซึ่งจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ
ในขณะที่น้ำโคลนจากอ่างเก็บน้ำที่แตกออกกำลังไหลท่วมนครหลวงลูปุกาน่า “นักอ่านดารา” อูบิรูคก็เอ่ยปากชวนวินเซนต์มาร่วมกันยับยั้งมหาภัยพิบัติอย่างเริงร่า
มิหนำซ้ำ พอลองสำรวจดีๆ วินเซนต์ก็พบว่าเบาะรองรับฉุกเฉินที่อูบิรูคใช้รับเขาตอนตกลงมาจากฟ้า ต้องเตรียมการล่วงหน้าอย่างดีเหมือนรู้ตำแหน่งอย่างชัดเจน
วินเซนต์อดไม่ได้จนต้องกระชากคอเสื้ออูบิรูคมาล้วงถามเพิ่มทันที
วินเซนต์: นี่เจ้า รู้มากถึงเพียงใดกัน! ――อุบายของจิชา …ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น ความตายของใครจะนำพา “มหาภัยพิบัติ” มา เจ้ารู้มากถึงเพียงใดกัน? เจ้ารู้ว่าความตายของข้า…
อูบิรูค: ใช่ครับ ผมอ่ะพูดไว้อย่างงี้ ――ความตายของ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” คือสัญญาณเริ่มต้นของมหาภัยพิบัติที่จะนำมาความพินาศมาสู่จักรวรรดิ
วินเซนต์: วินเซนต์ วอลลาเคียก็คือข้า
อูบิรูค: เปล่าเล๊ย เปล่าเลย! ฝ่าบาท! ผิดแล้วครับ ผิดแล้วคร้าบ ขอพูดให้เสียงดังฟังชัดอีกที “ผิดแล้วล่ะครับ” ฝ่าบาท
วินเซนต์: …
อูบิรูค: แม่ทัพเอกจิชา โกลด์บรรลุบทบาทของวินเซนต์ วอลลาเคียได้อย่างไร้ข้อกังขา คนที่ปั้นเขาจนเป็นเช่นนั้นได้ก็คือตัวฝ่าบาทเองนี่ครับ
วินเซนต์: ข้าน่ะ…
“ข้าไม่ได้เก็บจิชา โกลด์ไว้ข้างกายเพื่อเหตุผลนั้น”
เดิมทีวินเซนต์เพียงแค่ต้องการให้จิชาเป็นผู้รับช่วงดูแลจักรวรรดิในยามที่ไร้จักรพรรดิ เมื่อถึงคราวที่มหาภัยพิบัติมาเยือน
เขาต้องการให้จิชาร่วมมือกับจักรพรรดิที่คู่ควรองค์ใหม่เพื่อปกป้องดูแลจักรวรรดิวอลลาเคียต่อไป
. ที่วินเซนต์ยังสงสัยอยู่คือทำไมอูบิรูคถึงให้ความร่วมกับอุบายของจิชาขนาดนั้น
เดิมทีนักอ่านดาราเป็นเพียง “หุ่นเชิด” ของผู้สังเกตการณ์ที่สนใจเพียงแต่การเติมเต็มลิขิตสวรรค์ มันจึงน่าแปลกที่อูบิรูคยอมเสี่ยงเดิมพันกับแผนที่ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่ของจิชา
วินเซนต์: ทำไมกัน ตอบมาซะ
อูบิรูค: อืม~ ผมอ่ะ กลัวว่าตอบไปแล้วฝ่าบาทจะโมโหน่ะสิครับ
วินเซนต์: ตอบมา
อูบิรูค: ที่จริง ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือแม่ทัพเอกจิชา คนไหนผมก็ยอมได้หมดครับ ถ้าได้ผลก็ดี ถ้าไม่ได้ผลก็แย่หน่อย… ถ้าหาก “มหาภัยพิบัติ” ไม่เกิดขึ้นหลังจากที่แม่ทัพเอกจิชาตายไปในรูปลักษณ์ของฝ่าบาทล่ะก็ พอถึงตอนน้าน ก็คงต้องเป็นตัวฝ่าบาทเอง…
วินเซนต์มองสำรวจรอบตัวอีกครั้งแหละพบว่ามีกลุ่มคนแปลกหน้าต่างเพศต่างวัยจำนวนโหลหนึ่งช่วยกันกางผ้าใบที่รองรับเขาก่อนหน้านี้
คนกลุ่มนี้คงจะเป็น “นักอ่านดารา” ซึ่งก็คือสมุนของผู้สังเกตการณ์เช่นเดียวกับอูบิรูคไม่ผิดแน่
. อูบิรูคถามวินเซนต์ว่าเขาคิดจะทำยังไงต่อ แต่ยังไม่ได้ให้คำตอบ ชิ้นส่วนของโมโกรก็หลุดร่วงมากระแทกพื้นในจุดที่ห่างออกไป ชัดเจนว่าโมโกรสู้ 2 ต่อ 1 ไม่ไหว
อูบิรูค: [แม่มด] แห่งราชอาณาจักร [ราตรีร่ำไห้] แห่งนครรัฐ [การล่มสลาย] แห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ [มหาภัยพิบัติ] แห่งจักรวรรดิ… สี่หายนะที่จะทำลายโลก เวลามันใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว กระทั่งในตอนนี้ก็ด้วย
อูบิรูคชี้นิ้วไปทางพระราชวังแก้วผลึกแล้วขยายความเหตุผลที่เขาร่วมมือกับแผนของจิชาเพิ่มเติม
สรุปคือ อูบิรูคเชื่อมั่นในตัววินเซนต์ เชื่อว่าเขาจะสามารถปกปักรักษาจักรวรรดิวอลลาเคียจากความพินาศที่มาจากมหาภัยพิบัติได้ เพราะงั้นได้เสี่ยงเดิมพันกับอุบายของจิชา
วินเซนต์: ――จิชา โกลด์ เจ้านี่มันช่าง…
ตอนนั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ตามด้วยอะไรบางอย่างร่วงลงมาใส่ผ้าที่กางไว้รับตัววินเซนต์ก่อนหน้านี้ เพียงแต่คราวนี้ไม่มีใครช่วยกางผ้าไว้ให้
กอซ: มองไม่ผิดจริงด้วยว่ามีผ้ากองไว้อยู่! เสนาบดีเบลสเต็ตซ์! ยังไม่ตายใช่ไหม!
เบลสเต็ตซ์: ลำบากคนแก่เหลือเกิน แต่พอยังไหว… อุก
อูบิรูค: อ้าว แม่ทัพเอกกอซนี่นา? แล้วก็เสนาบดีเบลสเต็ตซ์เองก็ปลอดภัยเหมือนกัน
เบลสเต็ตซ์: คุณยังอยู่อีกเหรอ นึกว่าจะหนีไปแล้วเสียอีก…
กอซ: แก! “นักอ่านดารา” ที่เป่าหูแม่ทัพเอกจิชากับเสนาบดีเบลสเต็ตซ์นี่! เพราะแกแท้ๆ ฝ่าบาทถึงได้… ฝ่าบาททททท!!
แม่ทัพกอซ ราลโฟนที่อุ้มเสนาบดีเบลสเต็ตซ์กระโดดออกรูที่กำแพงห้องบัลลังก์ลงมาข้างล่างอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน
. กอซที่ตามเรื่องราวช้ากว่าชาวบ้านมีปากเสียงกับอูบิรูคโดยทันที แต่ความวุ่นวายก็ยังไม่จบแค่นั้น
เซซิลุส: อุหวา!? ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งแปลกตา! หลังเจ้ามังกรบินชิ่งจากผม ก็มาได้ตุ๊กตายักษ์เป็นตัวแทนงั้นเหรอครับ! จริงอยู่ว่ามันดูดี แต่ใช้เป็นตัวแทนของผมไม่ได้หรอกน้า!
หนุ่มน้อยผมน้ำเงินวิ่งฝุ่นตลบมาแจมแบบไม่ได้รับเชิญเพิ่มอีกคน แต่นอกจากขนาดตัวแล้ว วินเซนต์รู้สึกคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของเขามาก
เพราะเจ้าเด็กน้อยคือ “เซซิลุส เซ็กมุนต์” แม่ทัพเทวะลำดับหนึ่ง ชายผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวอลลาเคียในฐานะกำลังรบสุดแกร่ง
เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเซซิลุสกลับกลายเป็นเด็กในวัยที่ไม่ต่างอะไรจากตอนที่วินเซนต์รับเขามาเป็นบริวารครั้งแรกเลย
วินเซนต์: เพราะงั้นสินะ เจ้าถึงได้ตัวหดลง… เดาได้แต่เพียงว่าเป็นฝีมือของโอลบาร์ต ดันคลูเคน แต่หากเป็นเช่นนั้น
ตอนที่เมืองเคออสเฟลม โอลบาร์ตไม่รู้ว่าจิชาแอบปลอมตัวเป็นวินเซนต์ แต่ที่น่าสงสัยคือจิชาอยาก “ย้อนวัย” เซซิลุสไปเพื่ออะไร?
โอลบาร์ต: ตัวกะเปี๊ยกเดียวแต่เร็วแท้น้อ เจ้าหนุ่ม ไม่นึกเลยว่าข้าต้องทุ่มกำลังขนาดนี้ รู้สึกอย่างกับว่าร่างผุผังไปหมดเลยน้อ
แล้วพอพูดถึงได้ไม่นาน โอลบาร์ต ดันคลูเคนที่ควรจะเฝ้าปราการอยู่ก็ปรากฏตัวออกมาอีกคน เขาคงจะวิ่งไล่ตามเซซิลุสมาจนถึงที่นี่
เซซิลุส: อ้าวๆ นึกว่าสลัดจนหลุดไปแล้วซะอีก ไม่หลุดหรอกเหรอเนี่ย? ยอดไปเลยนะครับ ตาเฒ่า! อายุปูนนั้นแล้วยังอยากสร้างชื่อบนเวทีอยู่อีก ช่างน่านับถืออะไรเช่นนี้ครับ! ล้ำเลิศ!
โอลบาร์ต: หนวกหูแท้ ท่าทางว่าจะลืมไปหลายเรื่องเลยล่ะสิน้อ เจ้าหนุ่ม
เซซิลุส: ลืมอะไรเหรอ? พูดถึงอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลยครับ
โอลบาร์ต: หากเซซิตัวกะเปี๊ยกทั้งที่ไม่ใช่ฝีมือข้า แสดงว่าเป็นฝีมือเจ้าเจชิล่ะสิน้อ ข้าอาจจะชอบขโมยวิชาคนอื่น แต่พอเป็นคนโดนขโมยเองแล้วไม่ชอบใจเลยน้อ
เซซิลุส: อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เห็นแก่ตัวสุดๆ ไปเลยนะครับ! แต่ไม่ได้เกลียดหรอกครับ ออกจะชอบด้วยซ้ำ
. คนแล้วคนเล่า “เก้าแม่ทัพเทวะ” ที่ควรจะกระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าพระราชวังแก้วโดยมิได้นัดหมาย เป็นความบังเอิญอันน่าเหลือเชื่อ
วินเซนต์: …นี่มัน อะไรกัน
“นี่เองก็เป็นฝีมือของจิชางั้นหรือ?”
จิชา โกลด์ไม่เพียงแต่เอาตัวเข้าแลกเพื่อรักษาชีวิตวินเซนต์ แต่เขายังเตรียมการได้อย่างเหนือความคาดหมายของวินเซนต์
[จิชา: ――ขอประทานอภัยอย่างสูง แต่เกรงว่าจะทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะน้า]
นั่นคือคำตอบของจิชา ยามที่ถูกถามว่าเขาสามารถตายเพื่อวินเซนต์ได้หรือไม่
จิชาไม่สามารถตายเพื่อวินเซนต์ อาเบลุกซ์ ตายเพื่ออาเบล หรือตายเพื่อวินเซนต์ วอลลาเคียได้ แต่สิ่งที่จิชายอมเอาชีวิตเข้าแลกได้นั้นก็คือ――
วินเซนต์: ――จงฟัง! ต่อจากนี้ “มหาภัยพิบัติ” กำลังจะมาถึง! จากนี้ไปจงฟังคำสั่งของข้า!
วินเซนต์ปีนขึ้นไปบนเศษหินเพื่อประกาศให้เหล่าแม่ทัพจอมเห็นแก่ตัวทุกคนได้ยิน
นอกเสียจากอูบิรูคกับเบลสเต็ตซ์แล้ว คนอื่นที่นั่นล้วนแต่กังขาว่าชายสวมหน้ากากผู้นี้คือใคร
ในช่วงเวลานี้ วินเซนต์จึงได้ถอดหน้ากากโอนิที่จิชาสวมกลับคืนให้แก่เขาออก เพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
วินเซนต์: ข้าคือจักรพรรดิของพวกเจ้า วินเซนต์ วอลลาเคีย ――จ่าฝูงของหมาป่าดาบแห่งจักรวรรดิ
. จบตอน