
บทที่ 7 ตอนที่ 110 "คำกล่าวฉลอง"
. เฟรเดริก้า บาวแมน ในร่างเสือดาวขนทองกำลังวิ่งฝ่าสนามรบด้วยความเร็วเป็น “ลำดับ 2” เพื่อไปส่งข้อมูลสุดแสนสำคัญให้แก่ฝ่ายกบฏ
การ์ฟีลฝากฝังข้อมูลในแก่เธอในสภาพบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ได้กำลังเสริมจากหน่วยรบมังกรบินช่วยพาไปรักษาตัวแล้ว
เฟรเดริก้า: ――มีสัญญาณความผิดปกติจากผืนดิน นายท่านกับน้องชายของดิฉันบอกมาค่ะ
เซรีน่า: …ฟังดูกว้างไปหน่อยนะ มีรายละเอียดไหม?
เฟรเดริก้า: ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ มีเพียงลางสังหรณ์จากพรคุ้มครองของน้องชาย แต่ว่า… ลางสังหรณ์ของน้องชายดิฉันน่ะ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ถูกต้องเสมอ
หลังเฟรเดริก้าวิ่งแจ้นกลับไปรายงานข้อความที่ค่ายบัญชาการ เซรีน่า ดราครอยก็กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้สั่งการแทนวินเซนต์ที่ไม่อยู่แล้ว
เนื่องจากเฟรเดริก้าที่คืนร่างอยู่ในสภาพโป๊ ชูลท์จึงนำเสื้อคลุมสีแดงของทหารจักรวรรดิยศแม่ทัพมาให้เธอสวม
อูตาคาตะเองก็อยู่ที่นั่น เธอกล่าวชมเชยเฟรเดริก้าและรำพึงที่ไม่ได้ไปร่วมต่อสู้กับพวกมิเซลด้า
. เซรีน่าไตร่ตรองข้อความจากเฟรเดริก้าและประเมินว่ามันตรงคำพูดของวินเซนต์ที่จากไปพร้อมกับนักอ่านดาราและฝากฝังให้เธอคุมทัพกบฏแทน
เฟรเดริก้า: ก่อนจะจากที่นี่ไป ท่านอาเบลได้บอกอะไรท่านเซรีน่าไว้หรือเปล่าคะ?
เซรีน่า: ――บอกว่า “บทสรุปใกล้มาถึงแล้ว” เพียงแต่ว่า มันจะเป็นบทสรุปไม่แน่นอน ที่ไม่เอนเอียงต่อทั้งฝ่ายนครหลวงจักรวรรดิและฝ่ายกบฏ
ชูลท์จ้องมองท้องฟ้าที่แยกเป็นสองสีและแสดงความเป็นห่วงต่อพริสซิลล่า อัล และไฮน์เคล สองพื้นที่ดังกล่าวนั้น กระทั่งเฟรเดริก้าก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้
เซรีน่า: ไปต่อไม่ถูกเลย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาให้ลังเล ――ดูสิ
พอเฟรเดริก้าหันหลังไปดู เธอก็เห็นแม่ทัพเทวะ “มนุษย์โลหะ” โมโกร ฮากาเนะ ที่หลอมรวมกับปราการกำลังหันหลังกลับและรีบรุดหน้าไปทางนครหลวงจักรวรรดิ
เฟรเดริก้า: นั่นกำลัง… ไปที่พระราชแก้วผลึกงั้นเหรอ?
เซรีน่า: มันยิ่งเหมือนที่ชายคนนั้นพูดเข้าไปทุกที ถึงจะยังไม่เข้าใจคำพูดของน้องชายเธอที่บอกว่าวอลลาเคียจะกลายเป็นศัตรูก็เถอะ ――ไปแจ้งทุกคน ว่าทันทีที่พบความผิดปกติที่พระราชวังแก้วผลึก ให้หยุดการสู้รบโดยทันที จงเตรียมใจว่าการต่อสู้นี้ การหลั่งเลือดนี้ และการสูญเสียชีวิตครั้งนี้อาจจบลงด้วยความไม่แน่นอน
. ตัดไปอีกฝั่งหนึ่ง เสียงปะทะกันของดาบมังกรฟ้า ขวาน และมีดพร้าดังกังวานไปทั่ว
ปกติแล้วเพทร่าคิดว่าตัวเธอนั้นกล้าหาญหากเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน แต่สายตาของทหารถือขวานที่คอยจดจ้องมาทางเธออยู่เสมอแม้ระหว่างการต่อสู้ก็ทำให้เพทร่าขนลุก
ในขณะที่เพทร่ากำลังช่วยดูอาการของออตโต้ที่เจ็บหนักเพราะรับแรงระเบิดของศิลามนตรา มีเดียมกับอัลก็กำลังประสานกันโจมตีศัตรูอยู่ที่ด่านหน้า
มีเดียม: ฮึ่ยย่าห์! อัลจิน!
อัล: รับทราบ คุณหนูมีเดียม
เพทร่าแอบรู้สึกผิดหวังต่อฝีมือของอัลเล็กน้อย เพราะเธอนึกว่าอัลจะโผล่มาช่วยพลิกสถานการณ์ แต่การประสานของเขาก็มีเดียมทำได้เพียงยื้อการต่อสู้ออกไป
เพทร่า: ถ้าเป็นคุณการ์ฟหรือเอมิลี่ล่ะก็…
ในมุมมองของเพทร่า ฝีมือของอัลนั้นแข็งแกร่งกว่าเธอหรือออตโต้ที่ไม่ใช่สายต่อสู้ก็จริง แต่เขาดูจะแกร่งสู้เผ่าชูดราคคนไหนไม่ได้เลย
ในทางกลับกัน ศัตรูก็ดูไม่ใช่ทหารจักรวรรดิที่เก่งกาจไปกว่าเอมิเลีย การ์ฟีล หรือเก้าแม่ทัพเทวะ แต่เพทร่ากลับรู้สึกกลัวเขาเหลือเกิน
ท็อดด์: น่ารำคาญจริงนะ แกเนี่ย
คำพูดของท็อดด์ทำให้เพทร่าสะดุ้งโหยง แต่ที่จริงเขาจงใจกล่าวถึงอัลไม่ใช่ตัวเธอ
อัล: อ๊ะ! เหวอ! จบเห่!
อัลใช้ดาบมังกรฟ้าปัดขวานที่เล็งสับคอตน แล้วฟันสวนกลับไปสองสามที
ที่ผ่านมาอัลตั้งรับการโจมตีแบบฉิวเฉียดน่าหวาดเสียวจนเพทร่าเผลอกรี๊ดไป 5 รอบได้แล้ว ออตโต้เองก็รู้สึกกังวลและอยากหาทางช่วยอัลเช่นกัน
. ท็อดด์กระโจนตัวถอยไปตั้งหลัก จากนั้นก็โบกมือข้างที่ไม่ได้ถือขวานไปทางพวกอัล แล้วพริบตาต่อมาก็มีลูกไฟปรากฏขึ้นกลางอากาศและพุ่งไปหาทั้งสอง
อัล: เฮ้ยๆๆๆ!
มีเดียม: อุหวาา!
ลูกไฟจากวิญญาณที่เพทร่ายังไม่เข้าใจว่าท็อดด์ควบคุมได้อย่างไรเฉียดหัวพวกอัลที่จะกระโจนตัวหลบไปเผาต้นไม้ต้นหญ้าด้านหลังแทน
แต่กลายเป็นว่าเปลวเพลิงมันลุกลามเป็นวงล้อมที่ปิดกั้นทางหนีของออตโต้และเพทร่า
ท็อดด์: ไม่ชอบใจเลย
อัล: หา? ทำถึงขนาดนี้แล้วยังจะบ่นอะไรอีก ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมั่งสิ สิ่งแวดล้อมน่ะ กว่ามนุษย์จะหายใจได้สะดวกแบบนี้ พืชพันธุ์ต้องตรากตรำผลิตออกซิเจนขนาดไหน…
ท็อดด์: จนถึงตอนนี้ ควรจะฆ่าแกได้ตั้ง 6 ครั้งแล้ว แต่ดันฆ่าไม่ได้เลย กระทั่งเล่นงานตอนที่ไม่น่าจะหลบได้ก็แล้ว รู้สึกแย่ชะมัด
อัล: พูดว่าไงนะ วันนี้มันวันซวยชัดๆ เลย พับผ่าสิ
อัลเป็นประเภทที่ต่อสู้มุทะลุเหมือนไร้แผน แต่รอดจากการโจมตีถึงตายได้แบบปาฏิหาริย์ทุกครั้ง ตรงข้ามกับท็อดด์ที่เป็นสายวางแผนอย่างรัดกุมเหมือนออตโต้
. ออตโต้หันมาขยิบตาให้เพทร่าเหมือนพยายามจะส่งข้อความลับบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน ท็อดด์ก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ท็อดด์: เสียเวลานานเกินไปแล้ว
ท็อดด์ดีดนิ้วสั่งวิญญาณยิงลูกไฟขนาดเล็กไปที่พื้นดินและต้นไม้รอบตัวพวกเพทร่า ไฟที่ล้อมรอบอยู่ยิ่งลุกลามกว้างขึ้นและก่อเกิดเป็นควันดำ
มีเดียม: ร้อนๆๆๆๆ! ไหม้หมดแล้วๆ!
อัล: ใจเย็น คุณหนู! มาทางนี้ก่อนที่ผมเปียจะไหม้หมดเร็ว!
พอมีเดียมข้ามกองเพลิงมาทางฝั่งอัล เธอก็รีบกำมีดพร้าแน่นและหันกลับไปทางคนวางเพลิง ทว่า…
มีเดียม: อ้าว!?
อัล: เอาจริงดิ… ชิ
――ท็อดด์ไม่อยู่แล้ว เขาหายตัวไปกับเปลวเพลิงและควันดำ เดาไม่ถูกว่าหนีไปแล้วหรือตั้งใจแอบรอดูพวกอัลค่อยๆ ถูกย่างสดกันแน่
อัลเดาะลิ้นไม่พอใจและชูดาบมังกรฟ้าจ่อคอตัวเองไว้ตลอดเวลาพลางกวาดสายตาหาท็อดด์ แต่มีเดียมก็เร่งให้เขารีบย้ายที่ก่อนจะไหม้ตาย
ในขณะเดียวกันออตโต้ก็กุมมือของเพทร่าให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นการส่งสัญญาณ เพทร่าจึงวางมือซ้อนออตโต้อีกที
ออตโต้: ――ขอบใจนะ เพทร่าจัง
หลังเอ่ยจบ ออตโต้ที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารก็บิดตัวก้มลงกับพื้นและหลบขวานที่ฟันผ่ากลุ่มควันมาได้อย่างฉิวเฉียด กระนั้นท็อดด์ก็ยกขวานขึ้นเตรียมจามซ้ำทันที
เพทร่า: จิวาลด์!!
ท็อดด์: อึก
ตอนนั้นเองที่เพทร่ายิงเวทจิวาลด์ระดับต่ำจากห้านิ้วของเธอโดยเล็งใส่ใบหน้าของศัตรู หนึ่งในลำแสงเผาดวงตาข้างขวาของท็อดด์จนเขาต้องหันหนี
เพทร่ายอมแลกความรุนแรงจากการยิงเวทด้วยนิ้วเดียวเพื่อเสริมระยะโจมตีให้กว้างขึ้น และมันก็ทำให้ท็อดด์เสียจังหวะได้สำเร็จ
อัล: ไปเล๊ยย!!
มีเดียม: ฮึ่ยย่าาาห์!
อัลก้มตัวลงเพื่อให้มีเดียมใช้แผ่นหลังของเขาเป็นแท่นเหยียบพุ่งตัวไปใช้มีดพร้าคู่ฟันใส่ท็อดด์ที่กำลังเสียสมดุลอย่างไร้ปรานี
ทว่า ท็อดด์กลับใช้หน้าผากของเขารับมีดพร้าเอาไว้จนเกิดเสียงดังกังวาล มันคงเป็นเสียงกระทบกันของมีดพร้ากับแผ่นโลหะกำบังศีรษะที่ใส่เอาไว้ใต้ผ้าโพกหัว
ท็อดด์: แม่งเอ๊ย…
ผ้าโพกหัวที่เปื้อนเลือดหลุดจากหน้าผากที่แตกจนเลือดไหลไม่หยุดของท็อดด์ เขาจ้องมาทางออตโต้กับเพทร่าเหมือนสงสัยว่าทำไมตนถึงลอบโจมตีพลาด
ออตโต้: ――ไม่บอกหรอก ผมน่ะไม่ใช่พ่อแม่หรือพี่น้องของคุณสักหน่อยครับ
คำตอบของออตโต้ที่ยังนอนอยู่บนพื้นทำให้ท็อดด์เปี่ยมล้นด้วยโทสะ แต่แทนที่เข้ามาเอาคืนอย่างมุทะลุ เขากลับเดาะลิ้นและใช้ฝ่ามือปาดเลือดทิ้ง ก่อนที่จะใช้ควันดำอำพรางตัวในการถอยหนีไป
. เพทร่ายังคงระแวงว่าท็อดด์แค่ถอยกลับแบบหลอกๆ แต่ออตโต้ก็ช่วยปลอบใจว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่พวกที่จะสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกในสถานการณ์เสียเปรียบ
เพทร่า: เฮ้อ เชื่อไม่ค่อยลงเลยค่ะ จะบอกว่ามีแต่ฝั่งเราที่สู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกเหรอคะ?
อัล: เข้าใจความรู้สึกของคุณหนูนะ แต่ฝ่ายนู้นต่างหากที่หนีไปโดยไม่ข่มขู่ทิ้งท้ายไว้เลย พวกเราเป็นฝ่ายชนะ พวกเราเป็นฝ่ายชนะ ――พวกเราเป็นฝ่ายชนะแล้ววว!!
มีเดียม: ชนะแล้ววว!!
คำตะโกนสรรเสริญของอัลและมีเดียมทำให้เพทร่าเบาใจลงบ้าง พอได้โอกาส อัลจึงถามออตโต้ว่าเขารอดมาจากการโจมตีสุดท้ายได้อย่างไร
สรุปคือออตโต้รู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาคือเป้าหมายของท็อดด์ ที่เหลือก็แค่ใช้ “ชาแนล” หรือพรคุ้มครองแห่งประกาศิตฟังเสียงฝีเท้าผ่านพวกสัตว์/แมลงใต้ดิน
โดยมีเพทร่าใช้เวทตะวันช่วยเสริมให้ออตโต้สามารถแยกแยะเสียงเพื่อประเมินทิศทางของศัตรูและกะจังหวะหลบได้ถูก
ถึงแม้จะปราบศัตรูไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี แถมในตอนที่ฟังเสียงฝีเท้าจากพวกสัตว์ ออตโต้ดันได้ข้อมูลใหม่เพิ่มมาที่ทำให้เขาอยากรีบกลับไปที่ค่ายบัญชาการ
ออตโต้: ดูเหมือนว่าทั้งสนามรบกำลังจะมีอันตรายเพิ่มขึ้นมาอีก นอกเหนือจากมังกรแท้และท้องฟ้าที่ลุกไหม้ครับ แถมมันยังอยู่ตรงหน้าเลยด้วย
ด้วยความบังเอิญน่าเหลือเชื่อ ออตโต้ ซูเวน และการ์ฟีล ทินเซล ได้รับข้อมูลเดียวกันเป็นเวลาพร้อมกันผ่านพรคุ้มครองของพวกเขา
. ย้อนไปก่อนหน้านี้ ระหว่างที่เรมกำลังรักษาอาการของแม่ทัพกอซ ราลโฟนที่ได้กินข้าวหนึ่งมื้อทุกสองวัน กอซก็ได้แจ้งข้อมูลเรื่อง “มหาภัยพิบัติ” ให้เรมทราบ
กอซ: ยัยหนู การรักษาของเจ้าช่วยได้มากเลย! เดิมทีก็อยากเชิญไปที่บ้านของเราเพื่อแนะนำตัวกับภรรยาและลูกในฐานะผู้มีพระคุณอยู่หรอก แต่ตอนนี้ต้องรีบไปหาฝ่าบาท! บุญคุณนี้จะตอบแทนแน่นอน!!
เรม: อา… เอ่อคือว่า… ค่ะ
กอซ: หากเป็นไปได้ ก็ออกจากที่นี่ไปรวมตัวกับหน่วยทหารเสีย! หากเป็นแม่ทัพเอกโมโกร ฮากาเนะหรือแม่ทัพโทคาฟม่า อิรูลุกซ์ล่ะก็ไม่ทำอะไรไม่ดีแน่นอน! หลีกเลี่ยงแม่ทัพเอกคนอื่นซะ! คุยไม่ได้แน่นอน!
กอซทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะเดินจตึงตังไปขู่ทหารยามให้พาตัวเขาไปที่พระราชวังแก้วผลึก ในหมู่ทหารยามความเห็นแตกเป็นสองฝั่ง ยังมีบางคนที่พยายามขวางทางกอซอยู่ดี
ทว่า กอซที่ท่อนบนเปลือยเปล่า ไร้อาวุธ ไร้ชุดเกราะและขาดสารอาหารมาหลายวันกลับสามารถต่อยพวกทหารยามที่ขัดขวางจนกระจุยได้ในหมัดเดียว
. หลังจาก “อัศวินราชสีห์” ปราบผู้ต่อต้านจนหมดและวิ่งออกจากคฤหาสน์ของเบลสเต็ตซ์ไปพร้อมกับทหารที่ย้ายข้าง เรมก็รักษาเพียงคนที่เจ็บหนักแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องของคาชัว
เรม: คุณคาชัว ฉันเองค่ะ นี่เรมค่ะ ได้โปรดออกมาเถอะค่ะ
คาชัว: …ยังไงก็ไม่ออกไปหรอก ตะ… แต่เสียงที่ดังเมื่อกี้…มันอะไรกัน?
เรม: เข้าใจความรู้สึกนะคะ แต่คนที่เสียงดังเขาออกไปแล้ว พวกเรามาคุยกันดีกว่าว่าควรเอายังไงต่อดี
คาชัว: ――ฉะ ฉันไม่ได้เหตุผลให้ออกไปจากที่นี่ กะ…ก็เป็นตัวประกันนี่นา
เรม: ไม่มีทหารเหลืออยู่กักตัวแล้ว ไม่มีเหตุผลให้ต้องเป็นตัวประกันแล้วนี่คะ
หลังโน้วน้าวอยู่สักพัก ในที่สุดคาชัวก็ยอมเปิดประตูห้องมาเจอหน้า เรมใช้จังหวะนั้นรีบเข็นรถเข็นของคาชัวออกมาทันทีโดยไม่ฟังคำประท้วงของเจ้าตัว
คาชัว: เอ๋!? ดะ…เดี๋ยวสิ นี่หล่อน!? รอเดี๋ยวสิ! ฉันน่ะมีคนที่ต้องรออยู่ที่นี่นะ…
เรม: เรื่องนั้นน่ะรู้ดีค่ะ แต่รออยู่ที่นี่มันอันตรายค่ะ ถึงจะรอคู่หมั้นอยู่ แต่อย่างน้อยย้ายไปรอที่ปลอดภัยกันดีกว่า
คาชัว: ปลอดภัยเหรอ ที่ไหนในนครหลวงจักรวรรดิจะปลอดภัยกว่าที่นี่――
ตอนนั้นเองที่คาชัวกับเรมเงยหน้าขึ้นไปเห็นปราการรูปร่างมนุษย์ที่เดินคร่อมคฤหาสน์เพื่อมุ่งหน้าไปยังพระราชวังแก้ว มันเหยียบย่ำทำลายเมืองยิ่งกว่าที่ทัพกบฏทำได้เสียอีก
. เหตุการณ์นั้นทำให้คาชัวยอมทำตามที่เรมแนะนำแต่โดยดี ทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปที่ห้องพักของฟล็อป โอคอนเนลต่อ
ทีแรกเรมกังวลว่าฟล็อปจะยังอาการไม่สู้ดี แต่พอไปเคาะเรียก ฟล็อปก็มาเปิดประตูรับโดยที่กำกระจกไว้ในมือ เนื่องจากเสียงดังก่อนหน้านี้ เขาเลยหยิบของใกล้ตัวมาเป็นอาวุธฉุกเฉิน
ฟล็อปเชิญสองสาวเข้ามาในห้อง เรมแนะนำตัวคาชัวให้ฟล็อปรู้จัก ส่วนฟล็อปก็เล่าว่ามาเดลินมาทักทายเขาก่อนที่จะออกไปสู้รบ
ทางฟล็อปเองก็เห็นพ้องกับการหนีออกจากคฤหาสน์แม้ว่าเบลสเต็ตซ์จะไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาแย่นัก
ฟล็อป: ที่จริงแล้วถูกฝากฝังให้ส่งข้อความด้วยล่ะ ถ้าเกิดดันหมดสติไปที่นี่แล้วพลาดโอกาสบอกไปล่ะก็ คงไม่มีหน้ากลับไปเจอโลกภายนอกกับน้องสาวอีก
เรม: ข้อความ… จากใครกัน?
ฟล็อป: ในมุมมองของผม เขาเป็นหมาป่าดาบแห่งจักรวรรดิผู้ยอมเสี่ยงเดิมพันครั้งใหญ่โดยการตีตราตัวเองเป็นผู้ทรยศเลยล่ะ
. ก่อนที่คนพิการทั้งสามจะหนีออกจากคฤหาสน์ ฟล็อปก็เตือนความจำเรมว่าที่นี่ยังมีพวกกบฏที่อ้างว่าเป็น “องค์ชายรัชทายาท” และถูกจับตัวมาอยู่ด้วย
เดิมทีเรมไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น แต่ครั้นจะทิ้งพวกเขาไว้ทั้งที่ “มหาภัยพิบัติ” ใกล้เข้ามามันก็กระไรอยู่
ระหว่างที่เรมกำลังช่างใจ คาชัวก็ช่วยเสนอตัวเลือกว่าเอากุญแจห้องขังไปแขวนให้พวกเขาเลือกเองว่าอยากหนีหรือเปล่าก็พอ
ฟล็อป: ถ้างั้น ก่อนอื่นก็ไปตามหาตำแหน่งของกุญแจอาคารแยก… รอกันก่อนดีกว่า
ฟล็อปที่กำลังจะผลักบานประตูห้องออกไป อยู่ดีๆ ก็กลับคำพูดพร้อมปิดประตูดังเดิม ทำเอาเรมกับคาชัวงงไปหมด
เท่านั้นไม่พอฟล็อปยังชูนิ้วขึ้นมาแนบปากไว้เหมือนบอกใบ้ให้ “อย่าส่งเสียงดัง” แล้วค่อยๆ แง้มบานประตูให้เรมเห็นสิ่งที่อยู่ด้านนอก
เรม: อา…
ตอนนี้คฤหาสน์ของเบลสเต็ตซ์เต็มไปด้วยร่างของอะไรบางอย่างซึ่งไม่ใช่พวกทหารยาม แค่รีแอคชั่นของเรมก็ทำเอาคาชัวไม่กล้ามองตามแล้ว
ฟล็อป: …ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะหน้าขาวซีดกันหมดเลยนะเนี่ย? นอนไม่พอหรือไงกันนะ?
ภาพของกลุ่มคนน่าขนลุกในเครื่องแบบทหารจักรวรรดิที่มีรอยแตกบนใบหน้าด้านนอกทำเอามุกตลกผิดเวลาของฟล็อปฝืดสนิทเลยทีเดียว
. ฟล็อปประเมินว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นที่ใช้รูปลักษณ์ของมนุษย์เพียงเท่านั้น เรมจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของกอซก่อนหน้านี้
เรม: อย่าบอกนะ ว่านั่นคือ “มหาภัยพิบัติ”…? สัมผัสถึงชีวิตไม่ได้เลย อย่างกับว่า…
คาชัว: มะ…ไม่ได้จะบอกกันว่าเป็นคนตายใช่มั้ย? แบบนั้นมันคือฮอลโล่ไม่ใช่เหรอ บ้าบอสิ้นดี
ฟล็อป: อย่าด่วนสรุปไปสิ ภายนอกพวกนั้นอาจจะแต่งตัวเหมือนทหารจักรวรรดิ แต่ใบหน้า ศีรษะ กับชุดเกราะมันขาดรุ่งริ่งไปหมด เป็นไปได้ว่าจะยังคงบาดแผลจากสมัยยังมีชีวิตอยู่ไว้… ว่าไหม?
คาชัว: ว่าไหมอะไร ไม่รู้ด้วยหรอก!
ตอนนั้นเองเรมก็ได้ยินเสียงของทหารยามที่กอซซัดจนร่วงคนแล้วคนเล่าร้องทรมานแว่วมาจากที่ไกล ชัดเจนว่าศัตรูไม่ใช่พวกที่เจรจากันได้
เรมรู้สึกผิดที่เธอไม่ได้ย้ายพวกทหารยามที่นอนเจ็บเข้าไปในห้องก่อน คาชัวจึงเรียกสติเธอว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรแบบนั้น เดี๋ยวจะตายกันหมด
. หลังตั้งสติได้ ทั้งสามก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่อาคารแยกเพื่อปล่อยตัวพวกองค์ชายรัชทายาทตัวปลอมเพราะอย่างน้อยก็ควรมีพรรคพวกเพิ่มไว้
แต่เนื่องจากไม่มีเวลาหากุญแจอีกแล้ว เรมจึงคิดจะใช้ดาบที่เก็บมาพังแม่กุญแจแทน ปัญหาต่อมาก็คือรถเข็นของคาชัวที่ยังไงก็ส่งเสียงดัง
คาชัว: ฉัน…ฉันน่ะ… ทิ้งฉันไว้แล้วไปเปิดอาคารแยกได้เลย ระ…รออยู่คนเดียวก็ได้…
เรม: ทิ้งไว้คนเดียว… แต่แบบนั้นมัน
คาชัว: ล็อคกุญแจห้องไว้ก็พอ! แค่เงียบไว้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นคนตายล่ะก็ ซ่อนอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรโง่ๆ ยังจะปลอดภัยกว่า อ๊ะ นี่ไม่ได้จะบอกว่าพวกเธอทำอะไรโง่ๆ หรอกนะ
ในเมื่อคาชัวร้องขอมาเช่นนั้น ฟล็อปกับเรมจึงตัดสินใจว่าจะไปเปิดอาคารแยกกันแค่สองคน แล้วค่อยกลับมารับคาชัวทีหลังพร้อมกำลังเสริม
ทั้งสองย่องผ่านระเบียงเพื่อสำรวจศัตรูน่าขนลุกและเส้นทางที่จะนำพาไปยังอาคารแยกด้านหลังคฤหาสน์ อากาศอบอวลด้วยกลิ่นเลือดของทหารยามที่ถูกฆ่า
ฟล็อป: …ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
เรม: คนเป็นล่ะมั้งคะ
ฟล็อป: ไม่หรอก การกำจัดพวกทหารยามเป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จำนวนคนมันน้อยเกินกว่าจะค้นหาแบบทั่วถึง น่าจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนกว่านั้นอยู่
เคราะห์ดีที่พวกศัตรูไม่ได้มีประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์หรือพฤติกรรมเดาทางยาก ทั้งสองจึงไปถึงอาคารแยกได้แบบไม่เจอปัญญาอะไร
. ปัญหาใหม่คือที่หน้าอาคารแยกมีศัตรูยืนอยู่สามตัว พวกนั้นคงมาตามหาอะไรที่นี่เหมือนกัน ดังนั้นพวกเรมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากลงมือทันที
ฟล็อปเสนอตัวเป็นคนล่อความสนใจแล้วให้เรมใช้จังหวะนั้นเก็บทั้งสามคน ระหว่างที่ฟล็อปอ้อมไปข้างหลัง เรมก็เตรียมดาบออกมาใช้
ที่จริงเรมไม่เคยใช้ดาบมาก่อน และประสบการณ์ทำร้ายคนอื่นครั้งเดียวของเธอก็มีแค่ตอนที่หักนิ้วของสุบารุเท่านั้น แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว
ฟล็อป: ว่าไง ทุกท่าน สบายดีกันไหมเอ่ย? ผมเป็นพ่อค้าเร่ที่ไม่มีของขาย เป้าหมายตอนนี้ก็แค่อยากขาย “หน้า” ให้พวกคุณนั่นแหละครับ!
ซอมบี้(?): ทำไมแกถึงได้…
ฟล็อป: หืม พูดได้หรอกเหรอเนี่ย? ถ้างั้นผมคงจะต้องปรับทัศนคติของตัวเองใหม่เสียแล้ว คิดว่าไงครับ?
ซอมบี้(?): อา ถ้างั้นก็เข้าใจผิดแล้วล่ะ มนุษย์ทุกคนในจักรวรรดิจะต้องตาย
ฟล็อป: อย่างงี้นี่เอง ――ว่าแล้วเชียว ต่อรองไม่ได้เลยสินะ!
เรม: ย้าากกก!!
พอฟล็อปตะโกนเสียงดังเหมือนให้สัญญาณ เรมก็ส่งเสียงปลุกใจตัวเองแล้วชักดาบออกมาฟันกลุ่มศัตรูที่หันหลังให้เธอ เรมฟันซ้ำต่อเนื่องไม่หยุดเพราะเธอไม่รู้ว่าศัตรูถึกแค่ไหน
ฟล็อป: คุณภรรยา! พอได้แล้ว! จัดการได้หมดแล้วครับ!
พอเสียงฟล็อปเรียกสติเธอกลับมา เรมก็พบว่าพวกศัตรูกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่แทบเท้าเธอไปแล้ว
ทางฝั่งฟล็อปเห็นชัดเจนว่าร่างของศัตรูแตกออกคล้ายกับหม้อดินหรือแก้ว เขาก้มลงใช้นิ้วจิ้มซากศัตรูดูและประเมินว่าเละเป็นชิ้นขนาดนี้ยังไงก็น่าจะตายแล้ว
. ทว่า ก่อนที่เรมจะทันได้เปิดประตูอาคารแยก เศษซากของศัตรูที่ใต้เท้าก็เริ่มกระดิกไปมาแบบแปลกประหลาด
ซอมบี้(?): ――ไม่ตายง่ายๆ หรอก ก็ตายไปแล้วนี่นา
พอเรมกับฟล็อปหันหลังกลับมาก็พบว่าเศษซากของศัตรูรวมกันกลับมาจนคืนร่างสมบูรณ์ใหม่ ทั้งสองยืนแน่นิ่งเพราะไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ
อย่างน้อยเรมอยากปกป้องฟล็อปเอาไว้ก่อน แต่ขาของเธอไม่ขยับดังใจ ทำให้เรมล้มลงต่อหน้าศัตรูแทน เหล่าศัตรูจึงได้จังหวะเข้าล้อมและชักดาบเตรียมรุมทึ้งทั้งสอง
??: ――เอล!
??: มีเนีย!!
ทันใดนั้นเองที่ผลึกสีม่วงเสียบร่างพวกศัตรูจากข้างหลัง จากนั้นร่างของพวกมันก็กลายเป็นลุกลามกลายเป็นผลึกสีม่วงทั้งหมด ก่อนที่จะแตกเป็นชิ้นแบบไม่กลับคืนร่างอีกตลอดกาล
สุบารุ: ――ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ เรม! ดาราเด่นเปิดตัวแล้ว!
ม้าตัวหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงของคฤหาสน์เข้ามา จากนั้นหนุ่มน้อยผมดำที่อุ้มสาวน้อยชุดเดรสไว้ในมือก็กระโจนตัวลงมาแล้วฉีกยิ้มยิงฟันให้เรม
เรม: ――นี่ใครเหรอคะ?
ทว่า สำหรับเรมแล้ว เธอจำไม่คุ้นเลยว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นใคร
. ตัดไปทางฝั่งคาชัว ห้องที่เธอซ่อนอยู่กำลังถูกศัตรูเคาะเสียงดัง คาชัวที่หวาดกลัวจึงถอยรถเข็นไปด้านในสุดและเริ่มภาวนา
คาชัว: ไม่นะ ไม่นะๆ อย่าเข้ามาๆๆ…
คาชัวคิดว่าตัวเองนั้นอับโชคอยู่เสมอ การที่ศัตรูบังเอิญมาเจอห้องของเธอก็คงเป็นผลจากการตรวจตราแบบสุ่มๆ พวกเรมก็คงกลับมาไม่ทัน เธอไม่น่าจะโชคดีแบบนั้นหรอก
คาชัว: พี่คะ…
พอได้ยินว่าศัตรูเป็นพวกคนตาย คาชัวก็นึกถึง “จามาล โอเรลี่” เป็นคนแรก เขาคือพี่ชายจอมตายยากที่ถึงจะถูกฆ่าก็ไม่ตายแท้ๆ แต่คาชัวก็ได้ข่าวว่าเขาตายไปแล้ว
หากพี่ชายกลับมาเป็นฮอลโล่ คาชัวก็อยากเจอเขาอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว คนเดียวที่คาชัวให้ความสำคัญก็คือตัวเธอเอง
ในวาระสุดท้าย คาชัวไม่ได้ภาวนาให้เรมกับฟล็อปปลอดภัย เธอกังวลแต่เพียงชีวิตตัวเอง อยากให้ใครสักคนมาช่วยตัวเธอผู้ไม่สมประกอบและขาดตกบกพร่อง ตัวเธอผู้ไร้ค่าเกินกว่าจะมีใครรัก
บานประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนแม่กุญแจพัง แต่ศัตรูที่ยืนอยู่หน้าห้องกลับแน่นิ่งไป เนื่องจากว่าทั้งร่างของมันกำลังลุกเป็นไฟ
??: เสี้ยววิญญาณที่ข่มขู่ไว้ เหลือแค่ตัวสุดท้ายแล้วสิ
เสียงที่คุ้นเคยของบุคคลด้านนอกทำให้มือที่สั่นเทาของคาชัวกล้าแง้มบานประตูออก เธอเห็นชายคนหนึ่งกระทืบศพของศัตรูที่ไหม้เกรียมอยู่ด้านนอก
ท็อดด์: ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ คาชัว ――ไปจากที่นี่กันเถอะ
ชายคนนั้นปรากฏตัวในสภาพที่ยับเยินต่างจากทุกที ผ้าโพกหัวที่สวมประจำหายไปจนต้องปล่อยผมลง แถมหน้าผากกับแก้มก็มีบาดแผล
คาชัว: ช้า… ช้ามาก ตาบ้า! ถะ…ถ้าฉันตายล่ะก็ จะฆ่านายแน่!
กระนั้นคาชัวก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะโผเข้ากอดคู่หมั้นของเธอ
. ท่ามกลางความวุ่นวายทั่วจักรวรรดิวอลลาเคียนั้น มีทั้งผู้ที่เข้าใจเรื่องราวและผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยปะปนกันไป
ดินแดนแห่งนี้คือประเทศที่การหลั่งเลือดคือสามัญ ชีวิตที่สูญสิ้นได้รับการเคารพ การกระทำจากความทะเยอทะยานคือความถูกต้อง
หากนี่มิใช่ “ฝันร้าย” จะเรียกเป็นสิ่งใดได้อีก?
??: ――“มหาภัยพิบัติ”
ใช่แล้ว ต้องเรียกว่า “มหาภัยพิบัติ” ตามที่เหล่านักอ่านดาราอ้างว่ามันคือสิ่งที่จะทำลายล้างโลกตามลิขิตสวรรค์ที่พวกเขาได้รับมา
ทว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับเธอมิใช่ต้นเหตุของ “มหาภัยพิบัติ” แต่เป็นการที่ความปรารถนาของเธอจะกลายเป็นจริงหลังจากที่จักรวรรดิล่มสลาย
ดังนั้น เธอจะทำทุกวิถีทางให้มันกลายเป็นจริงขึ้นมา ในเมื่อวอลลาเคียคือดินแดนแห่งซากศพที่เกิดขึ้นจากการทับถมของการฆ่าฟันและความตาย
หากรากฐานของแผนการคือการหลั่งเลือดในวอลลาเคียแล้วล่ะก็ ที่เหลือก็มีแค่…
สฟิงซ์: ที่เหลือก็มีแค่ดำเนินแผนการต่อจนถึงท้ายที่สุด ――‘ไตร่ตรอง’ จำเป็นค่ะ
สัญลักษณ์แห่งความพินาศ ผู้นำพา “มหาภัยพิบัติ” กล่าวฉลองยินดีอยู่อย่างเงียบงัน
. จบตอน