ในที่สุดคณะเดินทางก็มาถึงนครแห่งมาร “เคออสเฟลม”
ปกติแล้วเมืองทั่วไปที่สุบารุได้เห็นมาในโลกนี้จะมีสไตล์สถาปัตยกรรมไปในทางเดียวกัน แต่ที่เมืองเคออสเฟลมแห่งนี้มันกลับผสมสไตล์กันมั่วซั่วไปหมด
ข้างอาคารที่ส่องประกายมีซากปรักหักพังตั้งอยู่ ถนนที่มีแต่อาคารเตี้ยๆเรียงรายกันดันมีหอคอยที่สูงเป็นสองเท่าโผล่มาแทรกกลาง
ที่ข้างๆพื้นทรายทุรกันดารก็เป็นสวนสาธารณะเขียวชะอุ่มเสียอย่างงั้น ถ้ามองจากไกลๆจะเห็นคานและนั่งร้านตั้งอยู่เหนือถนนเพียบ ราวกับว่ามีใยแมงมุมปกคลุมทั่วเมือง
และที่กลางเมืองก็มีปราสาทญี่ปุ่นสีแดงเด่นชัดตั้งตระหง่านอยู่ เรียกได้ว่า “เคออส” สมชื่อ
. อัล: ชั้นอยู่วอลลาเคียมาตั้งนาน แต่ก็พึ่งเคยมาฝั่งตะวันออกเป็นครั้งแรก ประสบการณ์ใหม่เลยล่ะ
สุบารุ: อัลพึ่งเคยมาเคออสเฟลมเป็นครั้งแรกเหมือนกันเหรอ? ถ้างั้น ที่ผ่านมานายมัวไปทำอะไรอยู่ที่ฝั่งตะวันตกล่ะ?
อัล: ถึงจะบอกว่าฝั่งตะวันตก แต่ก็เคยอยู่แค่ที่เดียวน่ะแหละ ที่เกาะกราดิเอเตอร์จะมีโคลอสเซียมลอยอยู่กลางแม่น้ำ ตัวชั้นน่ะ เคยเป็น “ทาสดาบ” อยู่ที่นั่นพักใหญ่เลย
สุบารุ: ทาสดาบของโคลอสเซียม…
อัลเปรียบเปรยด้วยสำนวนว่าถ้าหาก “ยักษ์จ้วง” แค่ทีเดียว เมืองนี้คงพังทลาย ทำเอาสุบารุงงว่าเขาหมายถึงอะไร
อัลบอกว่ามันหมายถึง “แผ่นดินไหว” เป็นสำนวนจากบ้านเกิดของพวกเราไง พี่น้อง
ทว่า สุบารุก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี เขาคิดว่ามันเป็นสำนวนจากการแข่งเบสบอลอะไรทำนองนั้น แต่อัลก็ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้สนใจดูเบสบอลสมัยโลกเดิม
. ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองมีทหารยามที่เป็น “เผ่าตาเดียว” อยู่ เขามีดวงตากลมโตแค่ข้างเดียวอยู่บนใบหน้า
ชายตาเดียวใช้เวลาชำเลืองมองรถลากเพียงครู่เดียว จากนั้นก็อนุญาตให้รถของพวกสุบารุผ่านเข้าไปได้
สุบารุยังแอบระแวงว่าตาของยามคนเมื่อครู่จะมีพลังในการตรวจจับอะไรหรือเปล่า
แต่วินเซนต์ก็เล่าให้ฟังว่าเผ่าตาเดียวนั้นแค่มองได้ไกลกว่ามนุษย์ธรรมดาสองเท่า แต่ดวงตาของเผ่านี้ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร
ในตอนนี้วินเซนต์กลับมาสวมหน้ากากโอนิสีแดงเหมือนช่วงก่อน ทำเอาสุบารุแอบบ่นว่านั่นจะทำให้น่าสงสัยกว่าเดิม
. สิ่งแรกที่เตะตาของสุบารุในตอนที่ผ่านเข้าเมืองมาได้ก็คือความหลากหลายของเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในนครแห่งนี้
แค่มนุษย์สัตว์ที่เห็นก็มีทั้งมนุษย์สุนัข มนุษย์แมว มนุษกระต่ายและมนุษย์สิงโตแล้ว
ไหนจะมีคนแคระ คนยักษ์ มนุษย์กิ้งก่า เผ่าหลายแขน มนุษย์หินและมนุษย์คิเมร่าอีก
สุบารุเห็นบางคนมีเส้นผมที่ยาวมากๆ ซึ่งตัวเขาก็ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นแค่แฟชั่นหรือคุณลักษณะของเผ่าพันธุ์เหมือนกัน (เผ่าผมยาว?)
. ตั้งแต่มาถึงที่โลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่สุบารุได้เห็นเหล่าอมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันหลากหลายเช่นนี้
แถมพวกเขายังไม่พยายามปิดบังรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าตนอย่างพวกที่อาศัยอยู่ในลุกุนิก้าอีกด้วย
วินเซนต์อธิบายเสริมว่าที่นครแห่งนี้เป็น “ดินแดนไร้กฎหมาย” ที่ไร้ซึ่งความเป็นระเบียบอย่างสิ้นเชิง
ทว่า สิ่งที่ยึดเหนี่ยวนครแสนวุ่นวายที่มีประชากรหลากเผ่าพันธุ์เข้าไว้ด้วยกันก็คือ “ยอร์น่า มิชิกุเระ” ผู้อาศัยอยู่ในปราสาทสีแดงกลางเมือง
สิ่งที่สุบารุพอจะทราบเกี่ยวกับ “ยอร์น่า มิชิกุเระ” ก็คือเธอเป็นแม่ทัพเทวะเพศหญิง ผู้ถือครองตำแหน่งอันดับ 7 ของกองทัพวอลลาเคีย
แถมยังเป็นตัวก่อเรื่องที่ก่อกบฏต่อบัลลังก์ของวินเซนต์มาตลอด
กระนั้นวินเซนต์ก็บอกว่าเธอคนนี้คือตัวแทนของ “กฎระเบียบ” ที่ควบคุมนครแห่งมารจนอยู่หมัด
. หลังเข้ามาอยู่ในเมืองอัลก็ยังติดเรียกสุบารุในโหมดนัตสึมิว่า “พี่น้อง” อยู่ นัตสึมิเลยอยากให้อัลเปลี่ยนวิธีเรียกกันความแตก
นัตสึมิ: ในเมื่อนายเรียกคุณมีเดียม คุณทาริตต้ากับอาเบลต่อท้ายด้วย “จัง” อยู่แล้ว ก็เรียกดิฉันแบบเดียวกันเลยสิคะ
อัล: ถ้างั้นก็เป็น “นัตสึมิจัง” สินะ? โอ๊ย ขนลุกเลย!
นัตสึมิ: ช่วยฝืนเรียกหน่อยเถอะค่ะ! ให้ตายสิ สงบใจไม่ได้เลย…
. หลังจากที่พวกนัตสึมิหาที่พักชั่วคราวได้ วินเซนต์มอบหมายให้นัตสึมินำจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเขาไปส่งที่ “ปราสาทรูริแดง”
นัตสึมิสงสัยว่าปกติควรที่จะมีการประทับตราประจำตระกูลบนขี้ผึ้งปิดซองจดหมายด้วยไม่ใช่เหรอ?
วินเซนต์: แหวนแสดงฐานะจักรพรรดิของชั้นน่ะพังไปหมดแล้ว วงหนึ่งฝีมือแก ส่วนอีกวงหนึ่งพังที่กัวราล
นัตสึมิ: อ้อ… ตอน “พิธีโลหิตชีวิต” กับ “อาราเคียแพนิค” เองสินะคะ? แต่ถ้าขาดหลักฐานแสดงตัวทางนั้นจะยอมอ่านไหมคะเนี่ย? ถึงเปิดอ่านจะเชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้
วินเซนต์: อย่าได้กังวลไป ไม่คิดจะเปิดเผยเนื้อความหรอกนะ แต่รับรองว่าสิ่งที่ชั้นเขียนลงไปจะทำให้รู้ตัวคนเขียนแน่นอน
. วินเซนต์ยืนกรานว่าเขาจะเข้าไปเจรจากับยอร์น่าแน่นอน แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เขายังรีบเปิดเผยตัวตนไม่ได้ เลยวานให้พวกนัตสึมิไปส่งจดหมายก่อน
วินเซนต์มอบงานยากลำบากให้นัตสึมิต้องไปหาทางทำให้เจ้าเมืองสนใจพอที่จะยอมเปิดจดหมายอ่านให้ได้
ทำเอานัตสึมิฉุนเฉียวจนอยากย้ายไปเข้าฝั่งยอร์น่าแล้วร่วมกันกับก่อกบฏต่อวินเซนต์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย
พวกเขาแยกสมาชิกออกเป็นสองกลุ่มชั่วคราว ดังนี้
-
นัตสึมิ / อัล / มีเดียม: ไปส่งจดหมาย
-
วินเซนต์ / ทาริตต้า / รุย: อยู่รอ ณ ที่โรงแรม
. พอกลุ่มนัตสึมิไปถึง “ปราสาทรูริแดง” ทหารยามก็ต้อนรับให้ทั้งสามไปอยู่ที่ห้องพักรอเพื่อรอเข้าพบยอร์น่าอย่างง่ายดาย
ไม่มีการรักษาความปลอดภัยในห้องพักรอ อาวุธของแขกก็ไม่ริบ ความหละหลวมของการรักษาความปลอดภัยทำเอานัตสึมิรู้สึกสับสนไปด้วย
ผ่านไปสักพัก สาวใช้เผ่ามนุษย์กวางก็มาเรียกพวกนัตสึมิ เธอมีเขากวางขนาดใหญ่งอกอยู่บนหัวและสวมชุดกิโมโนยาวลากพื้น
ไม่ใช่แค่ชุดของสาวใช้เท่านั้น ที่จริงปราสาทรูริแดงแห่งนี้ก็มีสไตล์สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโบราณ
สาวกวางพาพวกนัตสึมิมาถึงห้องรับแขกบนยอดปราสาทและบอกให้พวกเขารอเข้าพบท่านยอร์น่าอยู่ที่นี่
นัตสึมิสังเกตเห็นว่านอกจากพวกเขาสามคนแล้วก็ยังมีแขกอีกกลุ่มหนึ่งที่มาเพื่อรอเข้าพบแม่ทัพยอร์น่าเช่นกัน
หลังสาวกวางจากไป พวกนัตสึมิก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรให้ยอร์น่ายอมเปิดจดหมายอ่านโดยที่ไม่อ้างชื่อของวินเซนต์ดี
. หลังอัลให้กำลังใจเล็กน้อย ทั้งสามก็ก้าวเดินเข้าไปในห้องโถงรับแขก แล้วไปเลือกที่นั่งคนละฝั่งกับแขกกลุ่มที่มาก่อนหน้า
บรรยากาศในห้องนี้ทำเอานัตสึมินึกถึงฉากในหนังญี่ปุ่นโบราณ ตอนที่เจ้าเมืองให้ผู้ติดตามเข้าเฝ้าเลย
นัตสึมิชำเลืองไปดูแขกอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขามากัน 4 คน สามคนในนั้นมีอาวุธครบมือ แต่อีกคนที่ไม่มีอาวุธนั่งอยู่ด้านหน้าสุด
สามคนหลังท่าทางจะสู้เก่งดูพึ่งพาได้กว่าอัลทุกคน แต่บุคคลที่ดึงความสนใจของนัตสึมิไปดันเป็นชายที่นั่งอยู่หน้าสุด
นัตสึมิ: …อึก!?
นัตสึมิที่หน้าซีดเผือกตกตะลึงจนเผลอปล่อยเสียงหลุดรอดออกมา
เขารีบก้มหน้าหลบสายตาก่อนชายผู้นั่งอยู่หน้าสุดจะหันกลับมามอง ชายคนนั้นมองอยู่ไม่นานก็หันกลับไปเพราะปราศจากความสนใจในตัวพวกนัตสึมิ
อัลกับมีเดียมได้แต่งงว่านัตสึมิเป็นอะไรไป แต่ในไม่ช้าสองคนนั้นก็หันไปเห็นแล้วเข้าใจโดยทันที
นัตสึมิ: …นี่ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย?
นั่นก็เพราะว่าชายคนหน้าสุดของแขกอีกกลุ่มนั้นมีใบหน้าแบบเดียวกับ “วินเซนต์” ที่ควรจะรออยู่ที่โรงแรมเป๊ะเลย
จบตอน