ทาริตต้ามองว่าศัตรูอาจจะแค่กำลังดูท่าที ไม่ได้หวังทำร้ายพวกเขา แต่วินเซนต์เตือนให้อย่าประมาท เพราะการยกพวกมาเป็นร้อยขนาดนี้มันผิดปกติ
วินเซนต์เห็นสุบารุดูเป็นกังวล เลยถามว่าเขากำลังคิดมากเรื่องอื่นนอกจากเรื่องที่ถูกศัตรูล้อมอยู่ใช่ไหม
พอโดนมองออกขนาดนี้ สุบารุเลยจำยอมต้องบอกปัญหาเรื่องความทรงจำของตัวเขาไป
สุบารุทำเป็นเข้มแข็งแล้วบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่ได้ถึงกับ “ลืม” ชื่อเบียทริซ แค่ “ใช้เวลานึกนาน” กว่าทุกทีเท่านั้นเอง
(ณ ตอนนี้สุบารุยังคงจำชื่อของเบียทริซ เอมิเลีย เรม และเพื่อนๆที่คฤหาสน์ได้อยู่)
. วินเซนต์มองการฝืนของสุบารุออก เลยถามรายละเอียดแบบเจาะลึก ว่าตกลงสุบารแค่ “ใช้เวลานึกนาน” หรือ “ลืม” กันแน่ ทำเอาอัลต้องทักท้วงขึ้นมาว่านี่มันไม่ใช่เวลามาคิดมากประเด็นนั้น
พอหันไปถามสถานการณ์ข้างนอก ทาริตต้าก็ยืนยันว่าพวกมันแค่เฝ้าดูเฉยๆ วินเซนต์มองว่านั่นเป็นเพราะ “เงื่อนไข” ยังไม่ตรง แล้วเขาก็หันมาถามสุบารุต่อ
วินเซนต์: ---เจ้าพวกข้างนอกนั่นจะโจมตีพวกเรายังไง?
สุบารุ: …เอ๋?
วินเซนต์: ตอบมา เงื่อนไขที่พวกข้างนอกจะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อเราคืออะไร?
สุบารุ: ถะ…ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…
วินเซนต์: ตอบมา
สุบารุไม่มีคำตอบให้ เพราะยังไงเสีย การตายในลูปก่อนมันก็ฉับพลันเกินไปจนไม่รู้สาเหตุ
วินเซนต์: ตอบมาสิ! นัตสึกิ สุบารุ!
สุบารุ: มะ ไม่รู้! พอออกไปข้างนอก พวกนั้นก็จะโจมตี! รู้แค่นั้นแหละ!
(วินเซนต์เดือดกว่าทุกทีนะเนี่ย ถามเจาะสุบารุแบบจะรู้ให้ได้เลย)
. พอเห็นการถกเถียงของทั้งคู่ รุยกับมีเดียมก็ถึงกับต้องออกตัวปกป้องสุบารุ แต่ทางวินเซนต์นั้นพอจะเดาได้แล้วว่าศัตรูคือพวกไหน เพราะเขาได้ข้อมูลที่ต้องการมาแล้ว
วินเซนต์: เงื่อนไขที่โอลบาร์ตเสนอและศัตรูนับร้อยที่ทาริตต้าสัมผัสได้… ถ้าหากตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป ก็จะเหลืออยู่แค่ความเป็นไปได้
อัล: ถ้างั้นพ่ออาเบลจังคนฉลาดคิดว่าไงล่ะ? ใครกำลังหมายหัวพวกเราอยู่?
วินเซนต์: เคออสเฟลมไงล่ะ
มีเดียม: เคออสเฟลม… เมืองนี้น่ะเหรอ?
วินเซนต์: เคออสเฟลม… หรือก็คือผู้อยู่อาศัยในนครแห่งมาร น่าจะเป็นผู้อยู่อาศัยของเมืองนี้นั่นแหละที่รายล้อมอยู่นอกห้องพักและหาโอกาสที่จะโจมตีพวกเรา
. วินเซนต์ให้เหตุผลว่าศัตรูที่เป็นกองกำลังจำนวนมากขนาดนี้และโผล่มาในเมืองนี้ได้ มีความเป็นไปได้แค่สองอย่าง
-
กองทหารของจักรพรรดิ
-
กำลังรบของเคออสเฟลม
แต่เนื่องจากว่าแม่ทัพจิชาที่สวมรอยเป็นวินเซนต์ต้องเล่นให้สมบทบาท เขาจึงจะไม่ทำสิ่งที่วินเซนต์ตัวจริงไม่มีทางทำ อย่างการพาทหารเป็นร้อยมาที่เคออสเฟลมแน่นอน
นี่ไม่น่าใช่โอลบาร์ตแอบเล่นตุกติกลับหลังจักรพรรดิปลอมแล้วส่งพวกทหารมาด้วย เพราะอย่างน้อยแม่ทัพคาฟม่าจอมหัวแข็งก็จะคัดค้านแน่ๆ
(วินเซนต์เล่าว่าเขามีกำลังทหารอยู่ที่นครหลวงมากกว่า 30,000 นาย)
. ถ้าหากศัตรูคือพวกชาวเมืองเคออสเฟลมตามความเป็นไปได้ที่ 2 นั่นแปลว่าผู้บงการคือยอร์น่า มิชิกุเระ
แต่วินเซนต์ก็ยังเคลือบแคลงใจว่ามันไม่เมคเซนส์เอาซะเลย เพราะพวกสุบารุส่ง “จดหมาย” ของเขาไปให้เธอแล้วแท้ๆ
วินเซนต์: จดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่าจะมอบสิ่งที่เธอต้องการให้
อัล: สิ่งที่พี่สาวคนนั้นต้องการ… สรุปก็คือตำแหน่งจักรพรรดินีน่ะเหรอ?
มีเดียม: ตำแหน่งภรรยาอ่ะนะ?
ไม่รู้ว่ายอร์น่าไม่ชอบเนื้อความของจดหมายหรือไม่อยากเป็นเมียวินเซนต์กันแน่ ถึงได้สั่งชาวเมืองมาโจมตีกันแบบนี้
. วินเซนต์ตัดสินใจมอบภารกิจอันตรายให้ทาริตต้าไปช่วยดึงความสนใจศัตรูไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นหลบหนี
ถึงแม้ว่าพวกสุบารุจะคัดค้าน แต่ทาริตต้าก็ยอมตกลงและมอบสัมภาระให้วินเซนต์
วินเซนต์มอบหมายหน้าที่หาจังหวะหนีที่เหมาะสมให้มีเดียมอีกคนเพราะว่าเธอมีเซ้นส์ค่อนข้างดี
สุบารุ: คุณทาริตต้า! …คือว่า ยะ… อย่าตายนะ!
ทาริตต้า: ค่ะ ไว้เจอกันนะ
วินเซนต์: ทาริตต้า ไม่จำเป็นต้องออมมือ เอาจริงให้เต็มที่เลย -—ผู้คนของเมืองนี้น่ะไม่ได้ฆ่าง่ายหรอกนะ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
วินเซนต์ให้คำแนะนำทิ้งท้ายเช่นนั้น ก่อนที่ทาริตต้าจะพุ่งตัวออกไปทางประตูหลังพร้อมคันธนูคู่ใจ
. ทาริตต้าเปลี่ยนเข้าโหมดนักล่าแล้วสัมผัสได้ทันทีว่าในบรรดาศัตรูร้อยคน มีแค่ประมาณ 20 คนที่สังเกตเห็นเธอแอบวิ่งออกมา
(ซีนนี้จะมีฉากสั้นๆที่ทาริตต้าคิดถึงฟล็อปแล้วเขินหน้าแดงขึ้นมาด้วย)
ทาริตต้าเปิดฉากยิงธนูออกไปสามดอกพร้อมกัน มีทั้งลูกตรงและลูกโค้งที่พุ่งผ่านสายลมไปปักใส่ที่หน้าอกและคอของศัตรูสามคน
ตอนนั้นเอง “มนุษย์วัว” ร่างยักษ์ก็พุ่งตัวเข้ามา กะใช้เขาของมันขวิดเธอให้แหลก แต่ทาริตต้าเลือกวิ่งเข้าใส่แล้วใช้จมูกของมนุษย์วัวเป็นแท่นเหยียบเพื่อดีดตัวขึ้นไป
ระหว่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทาริตต้าพลิกตัวแล้วรัวธนูใส่จุดตายอย่างคอ อก ตาและปากของศัตรู ไม่ออมมือตามคำแนะนำของวินเซนต์
ถึงแม้ลูกธนูจะมีไม่มากพอ แต่อย่างน้อยทาริตต้าก็กะจะตัดกำลังรบสำคัญออก แล้วค่อยวิ่งเก็บธนูทีหลังเพื่อยื้อเวลาให้ได้นานๆ
. แต่แล้วพวกชาวเมืองที่มีลูกธนูปักตามจุดตายก็ส่งเสียงโอดโอยแล้วลุกกลับขึ้นมาเหมือนไม่เป็นอะไร
ดวงตาของพวกมันจดจ้องทาริตต้า จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ยังไม่หมดไป
ทาริตต้า: นั่นมันอะไรกัน…?
จากนั้นก็มี “เปลวเพลิงสีแดง” ปรากฏขึ้นบนดวงตาข้างใดข้างหนึ่งของพวกเขา เปลวเพลิงสีแดงนี้ช่วยสมานบาดแผลของพวกชาวเมืองด้วย
มิหนำซ้ำพวกมันยังกระทืบทำลายลูกธนูเพื่อตัดการเติมกระสุนของเธออีก กระนั้นทาริตต้าที่ยังใจสู้อยู่ก็ล้วงมีดออกมา เตรียมสู้ยื้อเวลาตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
. สุบารุที่มองดูการต่อสู้อยู่ชื่นชมฝีมือทาริตต้าที่เขาพึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก (สุบารุประเมินว่าเก่งพอๆกับมิเซลด้าหรืออาจจะเหนือกว่าเลย)
แต่จะเก่งแค่ไหน ถ้าศัตรูของเธอฆ่าไม่ตายมันก็อดห่วงไม่ได้ แม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่ชาวเมืองไร้อาวุธที่มีกระทั่งเด็กและผู้หญิงปะปนอยู่ด้วยก็ตาม
วินเซนต์: “วิชาวิวาห์ดวงวิญญาณ” ของเธอส่งผลไปทั่วทั้งเมืองอย่างที่คิดจริงๆสินะ
อัล: คงคง… ? เฮ้ยๆ นี่อาเบลจัง มันคืออะไรล่ะนั่น
วินเซนต์: กลไกเบื้องหลังสาเหตุที่ทาริตต้าล้มศัตรูไม่ได้เสียทียังไงล่ะ
สุบารุ: อาเบล! เลิกเก็บความลับที! บอกทุกอย่างมาได้แล้ว!
วินเซนต์: -—มันคือศาสตร์ลับจากอดีตกาลที่ควรจะสูญหายไปแล้ว เรียกว่า “วิชาวิวาห์ดวงวิญญาณ” มันคือการแบ่งปันส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณตนให้ผู้อื่นเพื่อเพิ่มคุณค่า
สุบารุ: ไม่เข้าใจเฟ้ย! หมายความว่ายังไงกันแน่!?
วินเซนต์: สรุปง่ายๆ ดวงวิญญาณที่กลายเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย “วิชาวิวาห์ดวงวิญญาณ” จะแบ่งปันพลังร่วมกัน และในนครแห่งนี้ก็มีผู้ใช้วิชาวิวาห์ดวงวิญญาณเพียงคนเดียว -—ทุกสิ่งทุกอย่างในนครแห่งมารนี้มีพลังเหมือนกับ “ยอร์น่า มิชิกุเระ” ดังนั้น ต่อให้ยกมาทั้งกองทัพก็ใช่ว่าจะตีนครแห่งนี้ให้แตกพ่ายได้ง่ายๆ
. จบตอน
เล่าเสริม
วิชาวิวาห์ดวงวิญญาณ(魂婚術)ในภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า “คงคงจุตสึ” ซึ่ง “คงคง(コンコン)” นี่เป็นเสียงร้องของจิ้งจอกในภาษาญี่ปุ่นพอดีด้วยครับ