เริ่มตอนมาด้วยมุมมองของชูลท์ที่กำลังเดินเรื่อยเปื่อยบนถนนเมืองกัวราลด้วยความรู้สึกท้อใจที่ตัวเขาไม่สามารถช่วยเหลือนายหญิงพริสซิลล่าได้อย่างที่ควร
แค่งานง่ายๆ อย่างการอุ่นน้ำในอ่าง ชูลท์ก็ดันใช้ศิลามนตราพลาดจนทำน้ำท่วมห้องน้ำ ต้องมาลำบากให้เรมที่ขาเจ็บช่วยอีก
พริสซิลล่าอุตส่าห์ช่วยรับชูลท์ที่เกือบตายอยู่ข้างถนนในหมู่บ้านยากจนมาทำงานรับใช้เธอ ชูลท์จึงอยากตอบแทนนายหญิงผู้มีพระคุณด้วยการทำงานให้ดี
ทั้งอัลและพริสซิลล่าต่างบอกให้ชูลท์ไม่ต้องรีบและค่อยๆ พัฒนาตัวเองไป มีเพียงไฮน์เคลคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกเขาและแอบช่วยฝึกดาบให้ชูลท์อยู่
. ชูลท์นับถือเรมอย่างมาก เธอทั้งเก่งงานบริการ เข้ากับพริสซิลล่าได้ดีและคอยช่วยแก้ไขความผิดพลาดของชูลท์เสมอ ณ ตอนนี้เรมก็คงกำลังช่วยพริสซิลล่าอาบน้ำอยู่
ชูลท์: เหมือนกับท่านยาเอะเลยขอรับ …ท่านยาเอะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะขอรับ?
เรมทำให้ชูทล์หวนคิดถึง [ยาเอะ เทนเซ่น] อดีตหัวหน้าคนรับใช้ของตระกูลบาริเอล ยาเอะทั้งใจดี ทำงานเก่งและสนิทกับทุกคน
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ยาเอะก็มีปัญหาทางบ้านและลาออกงานไปแบบฉุกเฉินเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิด
ชูลท์ไม่มีโอกาสบอกลาเธอด้วยซ้ำ เขารู้มาจากอัลเพียงแค่ว่ายาเอะฝากอัลให้บอกลาชูลท์แทนเธอด้วย
ไม่แน่ว่าเรมอาจจะได้กลายมาเป็นคนรับใช้คนสนิทของพริสซิลล่าแทนที่ยาเอะ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ชูลท์จะดีใจเป็นอย่างมาก
. อูตาคาตะ: อา เจอ “ชู” ล่ะ
ชูลท์: อุหวา! ขอรับ!
ตอนนั้นเองอูตาคาตะกับฟล็อปก็เข้ามาทักทายชูลท์ ฟล็อปผู้มากประสบการณ์ดูออกทันทีว่าชูลท์กำลังมีเรื่องกังวลใจอยู่
ฟล็อปจึงพาอูตาคาตะกับชูลท์ไปนั่งตรงขอบถนนที่มีแปลงดอกไม้อยู่ใกล้ๆ เพื่อรับฟังเรื่องที่อยากปรึกษาของชูลท์
ชูลท์ถามว่าฟล็อปกับอูตาคาตะทำยังไงถึงกลายเป็นคนที่สุดยอดแบบทุกวันนี้ได้ กลายเป็นคำถามเชิงปรัชญาแบบที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ
อูตาคาตะเข้าใจคำถามผิดตามประสาเด็ก เธอเลยเล่าเรื่องที่แม่ของเธอแทงตัวเองตายให้ทั้งสองฟังแบบหน้าตาเฉย
ในมุมมองของอูตาคาตะ คนที่ได้รับผลกระทบจากการตายของมารีอูลีมากที่สุดนั้นไม่ใช่ตัวเธอ แต่เป็นทาริตต้า
. ฟล็อปเปิดใจเล่าบ้างว่าครอบครัวของเขาไม่เหลือใครนอกจากมีเดียม แต่สิ่งที่เหมือนอูตาคาตะก็คือฟล็อปกลายเป็นคนแบบทุกวันนี้ได้เพราะอิทธิพลจากคนรอบข้าง
ฟล็อปกับมีเดียมเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่สภาพแวดล้อมไม่ดี มีแต่ผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก
แต่แล้วพวกฟล็อปก็ได้รับความช่วยเหลือจากชาย “ผู้มีพระคุณ” คนหนึ่ง ฟล็อปกับมีเดียมนับคนๆ นั้นเป็นครอบครัว แต่ปัจจุบันเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
ชูลท์เข้าใจความรู้สึกนั้นดีเพราะเขาก็ถูกพริสซิลล่าช่วยไว้เช่นกัน ชูลท์จึงถามฟล็อปว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณได้อย่างไร
ซึ่งฟล็อปได้เลือกยกตัวอย่างโดยใช้มีเดียม เมื่อก่อนฟล็อปจะปกป้องมีเดียมและยอมโดนผู้ใหญ่ซ้อมแทนเป็นประจำ
มีเดียมจะคอยช่วยลูบแผลให้ (ซึ่งไม่ได้ช่วยให้หายเจ็บเลย) แต่ฟล็อปก็จะยิ้มแย้มอยู่เสมอเพื่อให้น้องสาวไม่ต้องกังวล
จนกระทั่งวันหนึ่งมีเดียมเป็นฝ่ายถูกผู้ใหญ่ทำร้ายและเข้าใจความเจ็บปวดที่พี่ชายต้องฝืนทนมาตลอด
เธอจึงตั้งมั่นที่จะฝึกฝนตนให้แข็งแกร่งเพื่อปกป้องตัวเองและพี่ชายจากความเจ็บปวดนับแต่นั้นมา
. ชูลท์ประทับใจในเรื่องเล่าและอยากแข็งแกร่งขึ้นเหมือนอย่างมีเดียม ฟล็อปเลยแซวว่าถ้ามีเดียมได้ยินเข้าเธอคงเขินแย่
อูตาคาตะ: นี่ชู ถ้าอยากแข็งแกร่งขึ้น มาฝึกกับอูไหม? ฝึกใช้ธนูน่ะ
ชูลท์: ธนูเหรอขอรับ? แต่ว่าผมฝึกดาบอยู่แล้ว… อื้อ ได้เลยขอรับ! จะฝึกทั้งสองอย่างเลยขอรับ! แบบนั้นน่าจะช่วยให้แข็งแกร่งขึ้นเป็นสองเท่าขอรับ!
ฟล็อป: ถ้าฝึกได้ทั้งสองอย่าง ก็เหมาไปเลย! ฉลาดมาก!
อูตาคาตะ: อูเองก็พยายามอย่างหนักเหมือนชู เพราะว่าอยากช่ำช่องให้เหมือน “ทา”
ชูลท์: อยากพบท่านทาคนที่ว่าดูเหมือนกันนะขอรับ ท่านอูตาคาตะ ทำไมถึงได้อยากช่ำช่องในการใช้ธนูเหรอขอรับ?
อูตาคาตะ: “มา” บอกเอาไว้ ให้อูฆ่า “นักเดินทาง” ด้วยธนู
ชูลท์: อย่างนี้นี่เองขอรับ …เดี๋ยวนะขอรับ!?
คำตอบของอูตาคาตะหลุดโลกจนเหนือความเข้าใจของชูลท์ ทว่า พ่อบ้านน้อยก็ไม่มีโอกาสได้ถามไขข้อสงสัยดังกล่าว
ฟล็อป: ――พ่อบ้านคุง! คุณหนูอูตาคาตะ!
อูตาคาตะ: ฟู?
อยู่ดีๆ ฟล็อปก็สีหน้าเปลี่ยนไปและรีบคว้าแขนของเด็กน้อยทั้งสองเพื่อลุกขึ้นมาจากขอบถนนที่นั่งอยู่
ฟล็อป: บนท้องฟ้าท่าทางอันตราย! รีบไปจากที่นี่กันเถอะ!
. ซีคูร์ ออสมัน มิเซลด้าและไฮน์เคล แอสเทรอา ได้รับรู้ถึงการบุกรุกของศัตรูในระหว่างที่ทั้งสามประจำการอยู่ที่ศาลากลาง
ตลอดชีวิตกว่า 40 ปีของไฮน์เคล เขาได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงว่าโลกนี้มี “คนพิเศษ” ที่มองโลกต่างจาก “คนธรรมดา” แบบเขาอยู่
นายหญิงพริสซิลล่าจัดอยู่ในกลุ่มคนพิเศษดังกล่าว เห็นได้ชัดจากความแม่นยำของลางสังหรณ์ ที่เธอคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่
. มิเซลด้าเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงการบุกรุกของศัตรู ประสาทสัมผัสของเธอยังคงเฉียบคมแม้จะสละตำแหน่งหัวหน้าเผ่าไปแล้ว
มิเซลด้าได้เอาไม้เท้ามาต่อขาข้างที่ขาดไปในศึกก่อนหน้า ดังนั้น ทันทีที่เธอหันหน้าไปมอง ก็เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดจนซีคูร์กับไฮน์เคลต้องหันไปตาม
ซีคูร์: ฝูง…มังกรบิน
มิเซลด้า: ซีคูร์! รีบแจ้งข่าวให้ทหารทราบ! ฉันจะสั่งการเผ่าชูดราคเอง!
หลังกล่าวจบ มิเซลด้าก็ไม่รีรอและวิ่งลงบันไดไปทันที ซีคูร์จึงรีบสั่งการให้ส่งสัญญาณเตือนภัยถึงการบุกรุกของศัตรูจากฟากฟ้า
. ซีคูร์พอจะเดาได้ว่าฝ่ายศัตรูคือใคร มีเพียงคนเดียวในจักรวรรดิวอลลาเคียที่สามารถควบคุมมังกรบินฝูงใหญ่ขนาดนี้ได้
ซีคูร์: [แม่ทัพมังกรบิน] มาเดลิน เอสชาร์ต …หล่อนสามารถควบคุมมังกรบินได้ สรุปแล้วศัตรูคือ…
ไฮน์เคล: ไอ้เวรเอ๊ย [เก้าแม่ทัพเทวะ] งั้นเรอะ…!
ในฐานะรองหัวหน้าภาคีอัศวิน ไฮน์เคลย่อมรู้จักความแข็งแกร่งของ [เก้าแม่ทัพเทวะ] ของจักรวรรดิเป็นอย่างดี
ในลุกุนิก้า ไฮน์เคลคิดว่ามีเพียงแค่หัวหน้ามาร์คอส กิลดาร์ค กับ [ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด] เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับพวกแม่ทัพเทวะได้
ไฮน์เคล: เคยได้ยินเรื่องเล่าเหลือเชื่อว่าหนึ่งในพวกมันมีคนที่ฝีมือสูสีกับไรน์ฮาร์ดอยู่ด้วย…
แน่นอนว่าเก้าแม่ทัพเทวะคงไม่ได้เก่งเท่ากันทุกคน แต่การที่ฝ่ายศัตรูมีคนที่แข็งแกร่งเหมือนสัตว์ประหลาดแบบลูกชายของเขาอยู่ก็ทำให้ไฮน์เคลขนลุกแล้ว
. ไฮน์เคลไม่ได้สนใจชะตากรรมของเมืองกัวราล แต่เขาก็ไม่อยากทำตัวไร้ประโยชน์ให้นายหญิงไม่พอใจ
ไฮน์เคล: ไม่มีเวลามัวมาคุยเล่นแล้ว มากำจัดฝูงมังกรบินกันดีกว่า ซีคูร์ นายรับหน้าที่บัญชาการอยู่ที่นี่ไป!
ซีคูร์: ตั้งใจไว้เช่นนั้นอยู่แล้วครับ ว่าแต่ท่านไฮน์เคลคิดจะทำอะไรล่ะ?
ไฮน์เคล: ――ชั้นน่ะ จะทำตามใจชอบน่ะสิ
หลังพูดจบ ไฮน์เคลก็พุ่งตัวออกนอกระเบียงและกระโดดไปตามหลังคาบ้านเรือนเพื่อประเมินสถานการณ์
ทั้งเมืองกัวราลตกอยู่ในความโกลาหล ฝูงมังกรบินบุกมาจากท้องฟ้าฝั่งตะวันตก เสียงระฆังเตือนภัยดังทับซ้อนกับเสียงทหารแจ้งประชาชนให้อพยพ
. กลิ่นเลือดและโลหะเริ่มลอยมาแตะจมูกไฮน์เคล เหล่าทหารมุ่งหน้าไปรวมตัวกันทางฝั่งตะวันตกเพื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพเทวะแบบไม่เกรงกลัว
ทหารของประเทศนี้ถูกปลูกฝังมาให้ไม่กลัวความตายในสนามรบ เป็นความบ้าบิ่นที่ไฮน์เคลมิอาจเข้าใจ
ถึงกระนั้น ความรุ่มร้อนที่อยู่ในอกเขาก็เริ่มกระจายไปทั่วร่าง เป็นการกระตุ้นให้ไฮน์เคลเอื้อมมือไปหยิบดาบนาม [แอสเทรอา] ออกมาจากฝักและกำด้ามจับของมันไว้แน่น
ไฮน์เคล: ――ไปตายซะให้หมดเลย ไอ้พวกสวะ!!
นักดาบผมแดงปลดปล่อยโทสะที่อัดอั้นออกมาด้วยการฟันสวนกลับใส่มังกรบินที่พยายามจะกัดเขา คมดาบเล่มนั้นเฉือนคอมังกรจนเลือดสาดกระเซ็น
. เมืองกัวราลกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงร่ำไห้ของผู้คน
กำแพงเมืองสูงตระหง่านที่เคยเป็นข้อได้เปรียบไร้ความหมายต่อหน้าศัตรูที่สามารถบินข้ามมันได้ง่ายๆ
ความพยายามในการลดจำนวนผู้หลั่งเลือดให้น้อยที่สุดของสุบารุเมื่อ 10 วันก่อนไร้ค่าไปทันที เมื่อศัตรูรอบนี้ไม่ได้ปรานีแบบเขา
ฟล็อปพาอูตาคาตะและชูลท์มาหลบอยู่ที่ตรอกแห่งหนึ่งของเมือง จากนั้นก็เริ่มสอดส่องสถานการณ์
ฝูงมังกรบินแบ่งหน้าที่กันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งจะคอยบินโฉบโจมตีศัตรูที่เห็น ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคอยจะทิ้งหินก้อนใหญ่เพื่อทำลายเมือง ทั้งอาคารและถนน
. เพื่อความปลอดภัย พวกฟล็อปควรจะไปรวมตัวกับคนที่แข็งแกร่งสักคน ปัญหาคือตรอกนี้ดันอยู่กึ่งกลางระหว่างศาลากลางที่มิเซลด้าอยู่และคฤหาสน์ของพริสซิลล่า
ชาวเมือง: ชะ…ช่วยด้วย… ว้ากกกก!!
ระหว่างที่ลังเลว่าจะไปทางไหน ชายคนหนึ่งที่วิ่งออกไปนอกถนนก็ถูกมังกรบินโฉบขึ้นฟ้าไปโดยที่พวกฟล็อปช่วยอะไรไม่ได้
อูตาคาตะที่มีธนูอยากจะต่อสู้ แต่ฟล็อปรู้ดีว่าเธอไม่ได้แข็งแกร่งอย่างเผ่าชูดราคผู้ใหญ่คนอื่นและไม่พร้อมสำหรับศึกนี้
ฟล็อป: ――อยากให้เด็กๆ ได้กินของที่ดีที่สุดสินะ เข้าใจดีเลยล่ะ
ฟล็อปหลับตาลงและนึกถึงผู้มีพระคุณของเขา บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฟล็อปว่าเขาอยากเป็น “ผู้ใหญ่” แบบไหน
เพื่อการนั้นแล้ว ฟล็อปจะต้องพาอูตาคาตะกับชูลท์ไปยังที่ปลอดภัย
. ตอนนั้นเองฟล็อปก็ได้ยินเสียงตะโกนคลุ้มคลั่ง ตามมาด้วยเสียงหล่นอย่างรุนแรงของร่างของมังกรบินที่กระแทกถนนจนปีกหัก
ไฮน์เคล: หนีไม่พ้นหรอก! เอ็งน่ะหนีไม่พ้นหรอกโว้ย!
มังกรบินพยายามจะคลานหนี แต่ชายผมแดงที่ร่วงลงมาพร้อมกันก็กระโดดไต่ขึ้นหลังมังกรแล้วแทงดาบทะลุหัวใจของมันเป็นการปิดฉาก
ชูลท์: ท่านไฮน์เคล! ปลอดภัยดีหรือเปล่าขอรับ!
ไฮน์เคล: หา? อะไรกัน นายเองเรอะ เจ้าเปี๊ยก
ชูลท์รีบวิ่งเข้าไปหาไฮน์เคลด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากอีกฝ่ายร่างกายโชกเลือดไปทั้งตัว แต่ไฮน์เคลก็ยืนกรานว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บมากมายอะไร ที่เปื้อนคือเลือดของมังกรทั้งนั้น
ฟล็อปรู้สึกอุ่นใจที่ไฮน์เคลโผล่มา ปริมาณเลือดบ่งบอกชัดเจนว่านักดาบคนนี้สังหารมังกรบินมาไม่น้อยแล้ว
. ฟล็อปเสนอว่าสถานที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองตอนนี้คืออาคารที่มีห้องใต้ดินและมี “เครื่องเทศ” เก็บไว้
ฟล็อป: มังกรบินน่ะจมูกดีจริงไหมครับ พวกมันสามารถดมกลิ่นเลือดได้จากระยะค่อนข้างไกล แต่ในทางกลับกัน พวกมันก็ไม่ถูกกับกลิ่นฉุน เพราะงั้น ถ้าเอา [เป๊บป้า] มาโปรยใส่ตัวไว้ ก็จะช่วยเลี่ยงการจับกลิ่นได้
ไฮน์เคล: …รู้ดีนี่นา
ฟล็อป: ถึงจะเห็นแบบนี้ ผมก็เป็นพ่อค้าที่เดินทางมาทั่วประเทศแล้วนะครับ! แถมยังรู้จักกับคนที่รู้เรื่องมังกรบินเป็นอย่างดีด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะเชี่ยวชาญมากที่สุดในจักรวรรดิเลย!
ปกติฟล็อปคุ้นเคยแต่ด้านดีของมังกรบินมาจากบุคคลดังกล่าว เขาจึงไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะถูกฝูงมังกรบินโจมตีแบบนี้
. ฟล็อปชั่งใจดูใหม่ว่าคนที่มีฝีมือต่อสู้โดดเด่นแบบไฮน์เคลไม่ควรมาติดอยู่กับคนที่ต่อสู้ไม่ได้ กำลังรบหลักอย่างเขาควรอยู่แนวหน้าเพื่อช่วยเมืองมากกว่า
ดังนั้น ฟล็อปจึงขอให้ไฮน์เคลคุ้มครองพวกตนไปถึงแค่ร้านอาหารหรือโกดังที่มีเครื่องเทศก็พอ
ไฮน์เคลปฏิเสธว่าเขาไม่ได้สนใจการช่วยเหลือเมืองนี้เลย การรักษาชูลท์ให้ปลอดภัยเพื่อที่นายหญิงจะได้ไม่โมโหเขานั้นสำคัญกว่า
ไฮน์เคลมีเป้าหมายอยู่ เป้าหมายที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เป้าหมายที่เขาไม่สนใจว่าจะต้องปล่อยให้มีคนตายกี่คนเพื่อแลกมา
และมันก็เป็นเป้าหมายที่จะลุล่วงได้ต่อเมื่อนายหญิงพริสซิลล่าไม่ได้ทอดทิ้งเขา ดังนั้นไฮน์เคลจึงต้องดูแลชูลท์ให้ดี
. ชูลท์สังเกตเห็นความเจ็บปวดผ่านคำพูดของไฮน์เคล จึงทักออกไปตรงๆ ตามประสาเด็ก ทำเอาไฮน์เคลอึ้งไปเล็กน้อย
ไฮน์เคล: จะพาเจ้าเปี๊ยกนี่กลับไปหาคุณหญิงพริสซิลล่า อยากตามมาด้วยหรือเปล่ามันก็เรื่องของพวกนาย แต่อย่าเข้าใจผิดว่าชั้นทำไปเพื่อปกป้องพวกนายก็แล้วกัน
หลังเอ่ยจบ ไฮน์เคลก็อุ้มชูทล์ขึ้นมาแล้วเตรียมมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ของพริสซิลล่า แต่ก่อนที่ฟล็อปจะทันได้ตัดสินใจว่าจะตามไฮน์เคลไปดีไหมนั่นเอง…
มาเดลิน: ――เจ้าเองรึ คนที่ฆ่าพวกมังกร
ตอนนั้นเอง ผู้บุกรุกก็โฉบลงมาจากฟากฟ้า กระแทกถนนตรงหน้าไฮน์เคลจนยุบเป็นหลุม
เธอเป็นเด็กสาวร่างเล็ก ผิวขาว สวมชุดสีท้องฟ้า หน้าตาน่ารัก รูปลักษณ์ภายนอกดูเป็นเด็กวัยไม่ต่างจากอูตาคาตะและชูลท์มากนัก
เด็กสาวผู้ทำให้พื้นยุบเป็นหลุมหรี่ดวงตาสีทองจ้องมองมายังพวกฟล็อปแล้วเอ่ยต่อว่า…
มาเดลิน: ความผิดฐานหลั่งเลือดของมังกร ต้องชดใช้ด้วยการหลั่งเลือดจนไม่เหลือสักหยด ――เจ้าพวกโง่เขลา
จบตอน