“――ให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองหน่อย ฟล็อป การเสียสละตัวเองน่ะมีแต่คนคนโง่เง่าเขาทำกัน”
นั่นคือคำพูดของ [ไมลซ์] ผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือฟล็อปออกมาจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย
. สองพี่น้องโอคอนเนลถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ต้องดื่มน้ำโคลน กินหญ้า กินแมลง เพื่อประทังชีวิต แล้วพอย้ายมาอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก
อาหารเป็นซุปจืดๆ กับเศษขนมปัง ผ้าห่มก็บางและขาดลุ่ย แถมบางวันพวกผู้ใหญ่ก็ซ้อมเด็กเล่น
เพื่อปกป้องน้องสาวและเด็กคนอื่น ฟล็อปเลือกทำตัวร่าเริงให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ ถ้าหากวันไหนพวกผู้ใหญ่ใจร้ายอารมณ์บูด ฟล็อปก็มักเป็นคนที่ถูกซ้อมเสมอ
วันหนึ่งฟล็อปได้อยู่ให้มีเดียมช่วยลูบแผลทั้งคืน วันนั้นเลยมีเด็กคนหนึ่งถูกซ้อมปางตาย ทำให้ฟล็อปมุ่งมั่นที่จะเสียสละตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก
. ต่อมาในคืนหนึ่ง [ไมลซ์] ได้ขี่มังกรบินมาปรากฏตัวที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของพวกฟล็อป
ไมลซ์เป็นชายหน้าคล้ายหนู ผมสีเทา ท่าทางอันตรายไม่น่าคบหา แต่เขากับเป็นคนที่ต่างจากความประทับใจแรกของฟล็อปอย่างสิ้นเชิง
ไมลซ์: เดิมทีชั้นก็เติบโตมาจากสถานที่นี้เหมือนพวกนายนั่นแหละ ชั้นก็เลยรู้ดีว่าที่มันแย่ขนาดไหน ถึงได้เผ่นออกมาแล้วยอมประทังชีวิตด้วยการดื่มน้ำโคลนแทน
หลังออกไปใช้ชีวิตข้างนอกอยู่นาน วันหนึ่งไมลซ์ก็นึกถึงสถานที่อันเลวร้ายแห่งนี้ขึ้นมาได้ เขาจึงวกกลับมาเพื่อแก้แค้น
ไมลซ์ช่วยทำลายกลอนประตูห้องนอนเด็ก จากนั้นก็ไปจับพวกผู้ใหญ่มามัดรวมกันเอาไว้แล้วถ่มน้ำลายใส่
ไมลซ์: มีอะไร นายเองก็อยากเอาคืนเหมือนกันเรอะ? ถ้างั้นก็จัดเลย เอาคืนร้อยเท่า
ฟล็อป: บะ…แบบนั้นมัน ผมน่ะ…
มีเดียม: ――จัดไป!!
แม้ว่าฟล็อปจะลังเลต่อคำเชิญชวนของไมลซ์ แต่มีเดียมนั้นเปิดฉากใช้ท่อนไม้หวดผู้ใหญ่ที่ถูกมัดอยู่ก่อนใคร พวกเด็กคนอื่นเองก็เริ่มรุมสกรัมเพื่อแก้แค้น
เด็ก 1: ทำให้เจ็บตัวตลอด!
เด็ก 2: เกลียดที่สุดเลย!
มีเดียม: ศัตรูของอันจัง!
พวกผู้ใหญ่ทำได้เพียงกรีดร้องให้หยุดระหว่างที่ถูกเด็กๆ ระบายความแค้นด้วยการข่วนหน้า ตบแก้มและกระทั่งฉี่ใส่
. ไมลซ์ตัดสินใจพาเด็กกำพร้าทั้งยี่สิบคนไปที่คฤหาสน์ของเคาน์เตสดราครอย แล้วให้แต่ละคนตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกเส้นทางชีวิตอย่างไร
นั่นเป็นครั้งแรกที่เหล่าเด็กกำพร้าได้โอกาสตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่ต้องทำตามที่ผู้ใหญ่บังคับ
ในที่สุดฟล็อปก็เป็นอิสระคุกนรกแห่งนั้น เขาไม่ต้องกังวลเรื่องจะถูกผู้ใหญ่ทุบตีหรือห่วงว่าน้องสาวจะต้องเสียน้ำตาอีกต่อไป
มีเดียม: ราตรีสวัสดิ์นะ อันจัง
ในคืนนั้นฟล็อปร่ำไห้ไม่หยุดให้แก่อิสรภาพที่เขาและน้องสาวได้สัมผัสเป็นครั้งแรก
. [กลับมาปัจจุบัน]
แม่ทัพซีคูร์ ออสมันเฝ้ามองฝูงมังกรบินถอยทัพกลับไปด้วยความกังวล เขาไม่แน่ใจว่าศัตรูกลับไปเพราะทำตามเป้าหมายสำเร็จหรือประเมินว่าทำตามเป้าหมายไม่ได้กันแน่
การโจมตีเกิดขึ้นและจบลงในเวลาประมาณชั่วโมงเดียว ในระหว่างนั้นได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหิมะตกและแสงสีขาวที่ถล่มเขตทางใต้ของเมืองจนเละ
เคราะห์ดีที่หิมะชะลอความเร็วการบินของมังกรบินซึ่งช่วยลดความเสียหายให้เมืองเป็นอย่างสูง
ที่จริงแล้ว ซีคูร์คาดการณ์ว่าศัตรูจะส่ง [แม่ทัพมังกรบิน] มาไว้ล่วงหน้า เขาจึงติดตั้งอาวุธต่อต้านมังกรบินไว้ที่กำแพงฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นทิศของเมืองหลวง
ทว่า ฝูงมังกรบินของมาเดลินก็โจมตีเมืองจากทุกทิศทางจนแผนต่อต้านรับมือไม่ไหว
. ทหาร: วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้! นี่เป็นคำสั่ง!
ระหว่างที่ซีคูร์กำลังครุ่นคิดถึงการซ่อมกำแพงเมืองเพื่อเตรียมรับมือการบุกเมืองในอนาคต ทหารในศาลากลางคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา
ความสนใจของหมู่ทหารหันเหมาที่ชายคนหนึ่งผู้กำดาบโชกเลือดมังกรบินไว้ในมือ
ทหารผู้ช่วย: เขาเป็นทหารที่เราปล่อยออกมาจากใต้ดินเพื่อช่วยตอบโต้มังกรบินครับ ผู้ใช้ดาบคู่…
ซีคูร์: อา ฉันเองก็เห็นเหมือนกัน ฝีมือการต่อสู้ยอดเยี่ยมมาก ――เฮ้ย หยุดได้แล้ว!
ซีคูร์ไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกน้องอยากส่งชายคนนี้กลับเข้าคุกหลังจบเรื่อง หากไม่ได้ฝีมือของเขาช่วยกำราบฝูงมังกรบิน ศูนย์บัญชาการแห่งนี้น่าจะทนไม่ไหว
นักโทษ: อยากให้ชั้นยอมจำนนเรอะ? ถ้างั้นแกก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่น แม่ทัพระดับสอง [เสือผู้หญิง]
นักโทษชายชี้ดาบมาทางซีคูร์และล้อฉายาเขาแบบไม่เกรงกลัว ทำเอาลูกน้องพากันหัวร้อนแทน
. สุดท้ายซีคูร์ก็ยืนกรานว่าจะปล่อยตัวนักโทษคนนี้ เพื่อเป็นรางวัลที่เขาช่วยปกป้องเมืองเอาไว้ ตามคติ “ทำดีให้รางวัล ผิดพลาดก็ลงโทษ” ของจักรพรรดิวินเซนต์
นั่นทำให้ชายสวมผ้าปิดตาพิโรธ เขาตอกกลับว่ากบฏอย่างซีคูร์กล้าดียังไงมาใช้คำพูดของจักรพรรดิ ชัดเจนว่าเขาเป็นทหารที่เคารพรักจักรวรรดิจากใจจริง
ซีคูร์: ถ้าบอกว่าตัวฉันเองก็ภักดีต่อจักรวรรดิและองค์จักรพรรดิเหมือนกันล่ะ นายจะยอมฟังเรื่องของฝั่งฉันก่อนไหม?
เมื่อซีคูร์เอ่ยเช่นนั้น พลทหารก็ส่งเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะโยนดาบทิ้งแล้วชูสองมือขึ้น
นักโทษ: บอกไว้เลย ถ้าเรื่องที่จะเล่ามันน่าเบื่อล่ะก็…
ซีคูร์: รับรองว่าฟังแล้วจะรู้สึกสนใจแน่นอน …นายชื่อว่าอะไร?
จามาล: ――จามาล โอเรลี่ พลทหารชั้นหนึ่ง
. ซีคูร์แนะนำตัวกลับและเตรียมการที่จะโน้มน้าวจามาลด้วยการพูดเรื่องความถูกต้อง แต่แล้วก็มีชายแปลกหน้าอีกคนโผล่มาขัดก่อน
??: ――ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าตัวแทนของเมืองนี้อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ? …ที่อยู่ตรงนั้นน่ะใช่แม่ทัพซีคูร์ ออสมันหรือเปล่าครับ?
ชายผู้มีเสียงนุ่มนวลฟังรื่นหูรอจังหวะให้สถานการณ์ในศาลากลางสงบลงก่อนถึงค่อยปรากฏตัว แถมเขายังกล้าขอคุยกับทหารยศสูงสุดในที่นี้ทันทีทั้งที่ศึกพึ่งจบไป
ซีคูร์เข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้ส่งสารจากเมืองหลวง แต่ชายชุดเขียวก็ปฏิเสธและบอกว่าพรรคพวกของเขาจะขออนุญาตช่วยรักษาคนเจ็บและซ่อมแซมเมือง
มิเซลด้าโผล่มาบอกว่าเธอไม่รู้เหมือนกันว่าชายชุดเขียวเป็นใคร แต่เธอสามารถยืนยันได้ว่าพรรคพวกของเขาเริ่มทำการช่วยเหลือเมืองแล้วจริงๆ
ซีคูร์ยังคงกังขาอยู่เล็กน้อยเพราะไม่น่ามีใครที่อยากช่วยเหลือโดยไม่ขอสิ่งใดตอบแทน ชายชุดเขียวจึงเสริมว่าพวกเขาแค่กำลังตามหาคนอยู่
ออตโต้: ชื่อ [ออตโต้ ซูเวน] ครับ ――พอดีว่ากำลังตามหา [เพื่อน] กับ [น้องสาวของเพื่อน] อยู่
ออตโต้ผู้มีดวงตาราวกับไฮยีน่าประกาศจุดประสงค์ออกมาอย่างชัดเจน
. [ย้อนกลับมาอดีต]
เคาน์เตส [เซรีน่า ดราครอย] เจ้านายของไมลซ์นั้นเป็นขุนนางหญิงผู้แข็งแกร่งดุดันแต่ก็ถือคติไม่รังแกผู้อ่อนแอ ด้วยเหตุนี้ เหล่าเด็กกำพร้าจึงได้รับการดูแลอย่างดี
ฟล็อปได้อาบน้ำอุ่นๆ ได้กินอาหารจนอิ่มท้องและได้สวมเสื้อผ้าดีๆ เขาได้รับการเปิดโลกและได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ เพราะไมลซ์ช่วยพาเขาออกมา
??: โอ้ พวกเดียวกันใช่ไหม? นายเองก็ถูกพี่ไมลซ์พามาที่นี่เหมือนกันเหรอ?
ระหว่างที่ฟล็อปกำลังชมสวนดอกไม้งดงามของคฤหาสน์ เขาก็ได้ยินเสียงทักมาจากเด็กชายที่แก่กว่าเล็กน้อย แต่ฟล็อปหันหาแบบหลงทิศจนล้มคะมำ
เด็กชายผมสีน้ำตาลอายุประมาณ 12-13 ปีกำลังนั่งโอบวัตถุสีขาวบางอย่างที่ใหญ่พอๆ กับอ้อมกอดของตัวเขาเลย
ฟล็อป: นั่นหรือว่าจะเป็น ไข่เหรอ?
เด็กชาย: ช่ายๆ เป็นไข่ที่ใบใหญ่ดีใช่ไหมล่ะ? ที่จริงแล้วเจ้านี่มันคือไข่ของมังกรบินน่ะครับ
ฟล็อป: แล้วจะทำอะไรกับไข่มังกรบินนั่นเหรอ?
เด็กชาย: ก็ต้องกกมันจนฟักตัวอยู่แล้วสิ
นี่คือครั้งแรกที่ฟล็อป โอคอนเนลได้พบกับ [บัลรอย เทเมกริฟ] ชายผู้ที่จะกลายมาเป็น [พี่น้องร่วมสาบาน] ของสองพี่น้องโอคอนเนลในภายหลัง
. [กลับมาปัจจุบัน]
เรมถูกพาตัวมาที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งที่พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็ได้เห็นมังกรบินที่แสนดุร้ายกินอาหารอย่างสงบเสงี่ยมอย่างน่าประหลาด
แม้ว่าเรมจะถูกควบคุมตัวไว้ที่นี่ในฐานะเชลยศึก แต่ห้องที่ได้รับก็ยังดูหรูหราเกินจำเป็น
ตอนนั้นเอง ชายแก่แปลกหน้าคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักทายเรม ทั้งเส้นผมและหนวดเคราของเขาเป็นสีขาวล้วน อีกทั้งดวงตาก็ยังตี่คล้ายหลับตาอยู่ตลอด
ดูจากการแต่งกายและการโค้งคำนับของทหารเฝ้ายาม เรมคาดเดาว่าชายแก่น่าจะมียศที่สูงเอาเรื่อง
. ชายแก่สั่งทหารเฝ้ายามให้ออกไปก่อนและขอนั่งร่วมโต๊ะเพื่อคุยกับเรม
ชายแก่: คนของฉันได้บอกอะไรไว้หรือเปล่า?
เรม: ไม่ได้บอกอะไรไว้เลย แค่บอกว่าให้รักษาและพักผ่อน แล้วถ้าเกิดทำอะไรตามใจชอบก็จะถูกฆ่า
ชายแก่: เข้าใจล่ะ การปฏิบัติต่อแขกของเจ้านั่นชวนให้ปวดหัวอยู่เหมือนกัน ไว้ตัวฉันจะช่วยตักเตือนมาเดลินให้
ชายแก่เห็นพ้องกับเรมว่ามาเดลินเป็นพวกไม่ยอมทำตามคำสั่งใคร แต่ในครั้งนี้ที่เธอขัดขืนคำสั่งเป็นเพราะปัจจัยอื่นซึ่งทำให้เขาไม่พอใจ และปัจจัยที่ว่าก็คือตัวเรมเอง
เรม: …คุณเป็นใครกันแน่คะ?
เบลสเต็ตซ์: ขออภัยที่บอกช้า ตัวฉันคืออัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิเทวาวอลลาเคีย ผู้ถูกแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิ มีนามว่า [เบลสเต็ตซ์ ฟอนดาลฟอน]
เรม: อัครมหาเสนาบดี…เบลสเต็ตซ์… ถ้างั้นคุณก็คือ…
เบลสเต็ตซ์: ใช่แล้ว ――ตัวฉันคือศัตรูของฝ่าบาทวินเซนต์ อาเบลลุกซ์ครับ
. อีกฝ่ายประกาศฐานะของตนออกมาอย่างชัดเจนจนเรมพูดไม่ออก เธอรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนว่าติดอยู่กลางวงวนของปัญหาทั้งหมด
มันควรจะเป็นวินเซนต์ พริสซิลล่า หรือสุบารุที่เหมาะมาอยู่ในสถานการณ์นี้แทนเธอ แต่ถ้าหากเป็นสุบารุ เรมคิดว่าเขาคงจะก่อเรื่องบ้าบิ่นเกินตัวอีกแน่
มันคงดีแล้วที่สุบารุไม่ได้อยู่ที่เมืองกัวราล เขาคงช่วยอะไรไม่ได้และหาเรื่องเจ็บตัว
แล้วถ้าเกิดสุบารุได้รู้ว่าเรมถูกมาเดลินจับตัวไป เขาจะเจ็บปวดแค่ไหนกันนะ?
. เรมเปลี่ยนประเด็นมาถามว่าทำไมเบลสเต็ตซ์ถึงได้อยากโค่นบัลลังก์ของวินเซนต์
ถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องอุปนิสัย วินเซนต์ขาดคุณสมบัติอะไรไปถึงได้ถูกขับไล่กัน? ในมุมมองของเรม วินเซนต์ก็มีความสามารถในการเป็นผู้นำที่ดี
เบลสเต็ตซ์: ยังไม่ได้ถามชื่อเลยสินะ ท่านผู้รักษา
เรม: …เรียกว่า [เรม] ก็ได้ค่ะ
เบลสเต็ตซ์: หืม ท่านเรม คิดว่าปัจจุบันฝ่าบาทมีทายาทกี่คนกันครับ?
เรมคิดไม่ออกเลยว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่ทนอยู่กับวินเซนต์ได้ เขาไม่น่าสร้างความสัมพันธ์แบบนั้นและมีลูกกับใครได้ สุดท้ายเรมจึงเดาเล่นว่าวินเซนต์ไม่มีทายาท
ทันใดนั้น บรรยากาศของเบลสเต็ตซ์ก็เปลี่ยนไป ดวงตาที่ปกติปิดอยู่ตลอดลืมขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นความพิโรธของมารร้าย
เบลสเต็ตซ์: ไม่มีอยู่เลยครับ ทายาทน่ะ ――นั่นแหละคือปัญหาครับ
เรม: อา…
เบลสเต็ตซ์: จักรวรรดิจักต้องแข็งแกร่ง มิเช่นนั้น ประเทศนี้ก็จะ…
เบลสเต็ตซ์พูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนที่จะใจเย็นลงและซ่อนดวงตาไว้หลังเปลือกตาเช่นเคย
. เรมไม่เข้าใจว่าเบลสเต็ตซ์บอกเรื่องนี้ให้เธอฟังทำไม ในเมื่อตัวเธอไม่ได้สำคัญอะไรเลย แค่บังเอิญได้อยู่ใกล้วินเซนต์กับพริสซิลล่าเท่านั้น
เบลสเต็ตซ์: …เธอน่ะเป็นผู้รักษาแถมยังเป็นเผ่าโอนิ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากครอบครองไว้ เป็นตัวตนที่มีค่าครับ
เรม: ――
เบลสเต็ตซ์หมดเรื่องคุยแค่นั้น เขาจึงลุกจากโต๊ะเตรียมกลับและทิ้งท้ายว่าความเป็นอยู่ของเรมที่นี่จะสะดวกแน่นอน
เรมอยากรู้ว่ามาเดลินเกี่ยวข้องกับเขายังไง เบลสเต็ตซ์เลือกตอบว่าทั้งสองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกัน กระทั่งคฤหาสน์หลังนี้ที่จริงก็เป็นของเขา
พอเบลสเต็ตซ์จากไป ทหารเฝ้ายามก็กลับมาประจำตำแหน่ง เรมมองดูทหารขี่หลังมังกรบินแล้วนึกถึงมาเดลินที่พาเธอกับฟล็อปมายังที่แห่งนี้
เรมได้กลายเป็นเชลยศึกที่ถูกกักตัวไว้ในนครหลวงจักรวรรดิ [รุปกาน่า] สถานที่ที่วินเซนต์ตั้งใจจะกลับมาเพื่อชิงบัลลังก์คืน
. ฟล็อปลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องที่ไม่คุ้นเคย บาดแผลที่หน้าอกเขายังคงเจ็บปวด แถมไม่ว่าฟล็อปจะฝืนตัวอย่างไรเขาก็ลุกจากเตียงไม่ได้
ฟล็อป: เจ้านี่…เจ้านี่! นี่มันยากใช่เล่นนะเนี่ย!
มาเดลิน: นายนี่ประหลาดคนเสียจริงนะ
ฟล็อป: หวา!? นั่นใครน่ะ!?
มาเดลิน: มังกรผู้นี้เอง บาดแผลของเจ้ายังรักษาไม่หาย อย่าได้ทำตัวไร้สาระ
แม่ทัพมังกรบิน มาเดลิน เอสชาร์ตเดินเข้ามาหาฟล็อปที่ข้างเตียงและยืนยันว่าเธอเป็นคนข่วนฟล็อปปางตายจนต้องให้เรมรักษา
ฟล็อปถามล้วงจากมาเดลินจนได้ทราบว่าปฏิบัติการกำราบเมืองกัวราลไม่สำเร็จและเรมเองก็ปลอดภัยดี แต่เธอถูกพาตัวมาที่นี่กับฟล็อปด้วยตามเงื่อนไขของมาเดลิน
. มาเดลินหยิบเขี้ยวมังกรบินย้อมสีแดงที่ฟล็อปห้อยคอไว้เสมอไม่เคยห่างกายมาชูให้เขาดู
ฟล็อป: อา เก็บมาให้เหรอ? ขอบใจมากเลยนะ มันเป็นของที่สำคัญมากๆ เลยล่ะ ถ้ามันหายไปคงทนอยู่ไม่ได้ เพราะงั้น…
มาเดลิน: ――คาริยอน นี่คือเขี้ยวของคาริยอน เหตุใดเจ้าถึงได้มีมันอยู่?
ฟล็อป: ――
มาเดลิน: ตอบมาสิ! ทำไมเจ้าถึงได้มีเขี้ยวของคาริยอน…
ฟล็อป: ตอนที่คาริยอนเกิด ผมเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ชื่อของเด็กคนนั้นน่ะ ผมเป็นคนช่วยคิดกับพี่ไมลซ์และบัลรอยเอง
มาเดลิน: ――อึก
ฟล็อป: ตอนที่เด็กคนนั้นงอกฟันใหม่ เลยได้มาเป็นของที่ระลึก มันคือหลักฐานของพี่น้องร่วมสาบาน…ของครอบครัว เพราะงั้น ผมกับน้องสาวถึงได้มีเขี้ยวของคาริยอนอยู่
. เขี้ยวมังกรในมือของมาเดลินคือของที่ระลึกของผู้มีพระคุณและพี่น้องร่วมสาบาน ครอบครัวของฟล็อปที่ตายจากโลกใบนี้ไปแล้วทั้งคู่
มาเดลินมีสีหน้าปวดร้าวไปเมื่อได้ฟังคำตอบ ฟล็อปเดาว่าเธอคงจะมีความเกี่ยวข้องกับบัลรอยและคาริยอน เพราะมาเดลินขึ้นมาเป็นตำแหน่งแม่ทัพเทวะลำดับ 9 แทนเขา
[บัลรอย เทเมกริฟ] อดีตแม่ทัพเทวะลำดับ 9 ได้ก่อกบฏต่อจักรพรรดิวินเซนต์และเสียชีวิตลงไปพร้อมกับมังกรบินคู่หูคาริยอน
ฟล็อป: ทำไมเธอถึงได้มาเป็น [เก้าแม่ทัพเทวะ] กันล่ะ?
มาเดลิน: ――เพื่อแก้แค้นยังไงเล่า
ดวงตาของมาเดลินเบิกกว้างด้วยความเดือดดาล ฟล็อปเข้าใจดีเพราะเขาเองก็เลือกที่จะ “แก้แค้น” เช่นกัน
แต่ความแตกต่างก็คือฟล็อปเลือกที่จะแก้แค้นโลกที่ไม่เป็นธรรมทั้งใบด้วยการช่วยเหลือผู้คนให้มากเข้าไว้ แต่ความแค้นของมาเดลินนั้นเจาะจงไปที่บุคคลเดียว
ฟล็อป: อยากจะแก้แค้นให้ใครงั้นเหรอ?
มาเดลิน: …เพื่อบัลรอย เพื่อแก้แค้นให้ชายที่ควรจะได้เป็นคู่ครองของมังกรผู้นี้
ฟล็อป: ――
มาเดลิน: มังกรผู้นี้จะไม่ยกโทษให้ผู้ที่สังหารสามีของมังกร
. ถ้าหากมีเดียมอยู่ที่นี่ด้วย เธอคงจะเข้าไปกอดมาเดลินและสอนให้เธอร้องไห้ระบายออกมา เพราะมีเดียมนั่นแหละที่ร้องไห้ยิ่งกว่าใครตอนที่ไมลซ์กับบัลรอยตาย
มาเดลินผู้สูญเสียบุคคลที่รักและไม่รู้จักความเศร้าโศก ทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดไปเป็นโทสะเพื่อที่จะล้างแค้นแทนการหลั่งน้ำตา
ฟล็อปหลับตาลงและหวนนึกไปถึงตอนที่เขาจากลากับเหล่าคนสำคัญเพื่อออกเดินทางกับน้องสาว
[ไมลซ์: นายกับมีเดียมคิดอะไรอยู่เนี่ย จะอยู่กับเคาน์เตสต่อก็ได้ ดูแลกันเองไหวแล้วเหรอ ให้ตายสิ]
[บัลรอย: พี่ไมลซ์เขาแสดงความเป็นห่วงแบบนี้แหละ ถ้าอยู่ที่นี่ต่อ พี่เขาจะดูแลไปตลอดเลย ไม่ยอมพูดจริงใจเลยเนอะ?]
[ไมลซ์: เงียบไปเลย ไอ้หนูบัล! คนที่ได้เลื่อนยศน่ะไม่ว่างกลับมาตลอดหรอกนะ!!]
[บัลรอย: อืม คงไม่เหมาะเท่าไหร่มั้ง อยู่ที่นี่ต่อกับพี่ไมลซ์ ฟล็อป แล้วก็พวกมีดี้ดีกว่าเยอะเลย เนอะ?]
เมื่อฟล็อป โอคอนเนลหวนถึงอดีตเสร็จแล้ว เขาก็ลืมดวงตาสีฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง
ฟล็อป: ――นายคือศัตรูของบัลรอยสินะ หัวหน้าหมู่บ้านคุง… ไม่สิ จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคีย
จบตอน