สุบารุสับสนว่าทำไมเซซิลุสถึงไม่รู้จักตำแหน่ง “เก้าแม่ทัพเทวะ” ทั้งๆ ที่เรียกตัวเองด้วยฉายา “อัสนีสีฟ้า” เซซิลุสจึงเฉลยว่ามันคือฉายาที่เขาตั้งให้ตัวเอง
ซึ่งนั่นทำให้สุบารุเชื่อปักใจว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นเซซิลุส เซ็กมุนต์ตัวปลอมที่อาจจะแค่แอบอ้างชื่อเฉยๆ
กุสตาฟ: ――มาอยู่ตรงนี้เองเรอะ เซ็กมุนต์?
สุบารุ: อุหวา!? …คะ…โคตรใหญ่
เซซิลุส: งาย สวัสดี คุณกุสตาฟ!
ตอนนั้นเองชายร่างกำยำคนหนึ่งก็ส่งเสียงทักมาจากหน้าประตูห้องรักษา
เขามีผิวสีฟ้า มีเขี้ยวยื่นออกมาจากปาก แถมยังตัวสูงเกินกว่า 2 เมตร เขาน่าจะเป็นคนที่ตัวสูงที่สุดเท่าที่สุบารุเคยพบมาในต่างโลกเลย
ชายแปลกหน้าคนนี้มีชื่อว่า “กุสตาฟ” เขาเป็นเผ่าหลายแขนซึ่งมีแขนอยู่ถึง 4 ข้าง
. สุบารุเค้นความจำและนึกขึ้นได้ว่าคุณปู่ที่ชื่อ “วิลเฮล์ม” เคยบอกเขาเรื่องเผ่าหลายแขนมาก่อน (เริ่มจำชื่อคนรู้จักไม่ได้ละ)
บทสนทนาระหว่างเซซิลุสกับกุสตาฟ ทำให้สุบารุได้รู้ว่ากุสตาฟคืออุปราชหรือผู้คุมประจำเกาะกินุนไฮฟ์แห่งนี้
กุสตาฟ: หนุ่มน้อย ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว มาคุยกันหน่อย
สุบารุ: ได้แบบนั้นก็ดีเลยครับ ผมเองก็กำลังอยากคุยกับคนอื่นอยู่พอดี ยิ่งเป็นผู้ที่น่าเคารพอย่างยิ่งประจำเกาะนี้อีก
ถึงแม้หน้าตาเขาจะดุดัน แต่กุสตาฟก็เป็นคนสำรวมเยือกเย็น ท่าทางฉลาดและมีเหตุผล สุบารุจึงคิดว่าน่าจะพอคุยกันรู้เรื่อง เขาถึงได้เลือกใช้คำพูดสุภาพ
กุสตาฟ: กระผมคือ “กุสตาฟ มอเรโล” ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยฝ่าบาทวินเซนต์ วอลลาเคีย จักรพรรดิคนที่ 77 แห่งจักรวรรดิเทวาวอลลาเคียให้ดูแลเกาะแห่งนี้ ช่วยบอกชื่อกับสังกัดของเธอมาหน่อยได้ไหม?
สุบารุ: ขะ…ขอบคุณที่แนะนำตัวครับ ผมชื่อว่านัตสึกิ… นัตสึกิ ชวาร์ซครับ
กุสตาฟ: เข้าใจล่ะ ชวาร์ซงั้นรึ?
เซซิลุส: เอ๋~?
ด้วยความลังเลว่าจะใช้ชื่อจริงหรือชื่อปลอมดี สุบารุเลยเผลอแนะนำตัวด้วยชื่อแบบผสมกันไปแทนเสียอย่างงั้น แต่การไม่เปิดเผยชื่อจริงน่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกแล้ว
กุสตาฟแอบสงสัยว่าทำไมเซซิลุสถึงเรียกสุบารุว่า “บัสซู” ทั้งที่ชื่อไม่ได้มีคำที่ใกล้เคียงอยู่เลย แต่สุบารุก็โน้มน้าวเขาได้ว่าเซซิลุสเป็นพวกเพี้ยนที่คิดไม่เหมือนชาวบ้าน
. สุบารุพยายามร้องขอกุสตาฟว่าตัวเขากับทันซ่ามาโผล่ที่นี่ด้วยความผิดพลาด ทั้งคู่ควรจะอยู่ที่เมืองเคออสเฟลมและตอนนี้พวกพ้องน่าจะกำลังตามหาพวกเขาอยู่
ทว่า กุสตาฟก็ขัดขึ้นมาว่าถึงเขาจะเข้าใจสถานการณ์ของฝ่ายสุบารุ แต่พวกสุบารุก็จำเป็นที่จะต้องทำตามระเบียบกฎเกณฑ์ของเกาะแห่งนี้ด้วย
ตามหลักการนั้นสุบารุกับทันซ่าขึ้นเกาะนี้มาแบบไม่ได้รับอนุญาต และกุสตาฟเป็นคนยอมทำตามคำขอของเซซิลุสและอนุญาตให้ทั้งสองได้ขึ้นฝั่งโดยแลกกับหนึ่งเงื่อนไข
กุสตาฟ: ชวาร์ซ เธอมีความรู้ความอ่านดี มีการศึกษาพอที่จะคุยโต้ตอบและใช้ภาษาสุภาพกับกระผมได้ ผู้รักษาประเมินแล้วว่าสุขภาพดี แถมเธอยังพูดเองว่าไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอื่นใด มีอะไรจะคัดค้านไหม?
สุบารุ: ถามทีเดียวเยอะแบบนั้นมันชวนสับสน… แต่น่าจะไม่มีอะไรคัดค้านครับ
กุสตาฟ: ใช้คำว่า “น่าจะ” มันไม่ชัดเจนเลยนะ ตอบมาตรงๆ สิว่าใช่หรือไม่
สุบารุ: …ไม่มีอะไรจะคัดค้านครับ
. หลังถูกกดดันให้ตอบยืนยันสถานะของเขา สุบารุก็อ้ำอึ้งพูดอะไรต่อไม่ออก ระหว่างนั้นเซซิลุสก็โน้มน้าวกุสตาฟว่าสุบารุ “เหมาะสม” ที่จะเข้าร่วมอะไรบางอย่าง
กุสตาฟจึงบังคับให้สุบารุเข้าร่วมสิ่งที่เรียกว่า “สปาร์ก้า” ซึ่งเป็นเงื่อนไขการอนุญาตให้อยู่บนเกาะ ส่วนทันซ่าที่ยังไม่ฟื้นให้หลับต่อไปก่อน
สุบารุ: เดี๋ยวก่อนสิ คุณกุสตาฟ! ทำไมพวกชั้นถึงต้องเข้าร่วมสปาร์ก้าอะไรนี่ด้วย!? พวกชั้นไม่ได้ตั้งใจมาที่เกาะนี้เลยแท้ๆ!
กุสตาฟ: เฉลยศึก ทาส อาชญากร… ผู้ที่มายังกินุนไฮฟ์ล้วนแต่มีสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป น้อยคนที่จะเต็มใจมาเอง และหน้าที่ของกระผมก็คือการวางกฎระเบียบให้เจ้าพวกนอกกฎหมายบนเกาะทาสดาบปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตามประสงค์ของฝ่าบาท
สุบารุ: ประสงค์ของฝ่าบาท… ขององค์จักรพรรดิ?
กุสตาฟ: ――การเปลี่ยนเกาะทาสดาบแห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่ที่หลั่งเลือดอย่างมีความหมายสำหรับจักรวรรดิยังไงล่ะ
กุสตาฟประกาศออกมาเช่นนั้นด้วยท่าทีและน้ำเสียงเรียบเฉยสุดแสนเย็นชาราวกับว่าเขาเป็นหุ่นยนต์
. กุสตาฟ: ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าห้ามปฏิเสธการเข้าร่วม “สปาร์ก้า” ถ้าหากปฏิเสธ “สปาร์ก้า” ล่ะก็ ทั้งเธอและสาวน้อยจะต้องเจอชะตากรรมที่สมควรโดน
สุบารุ: ชะตากรรมที่สมควรโดน…หมายถึงอะไร…?
กุสตาฟ: ก็จะปฏิเสธคำขอของเซ็กมุนต์และไม่อนุญาติให้ขึ้นเกาะ ――สรุปคือต้องกลายเป็นเหยื่อของสัตว์อสูรวารีในแม่น้ำยังไงล่ะ
สุบารุสาปแช่งว่าทำไมร่างเด็กของตัวเขาถึงได้ซวยแบบนี้ ดูเหมือนว่าจักรวรรดิวอลลาเคียจะไม่ปรานีกระทั่งเด็ก ถ้าหากอ่อนแอก็มีแต่ต้องตาย
พอได้ยินสุบารุบ่นด่าประเทศอุบอิบ กุสตาฟก็คว้าแขนของเขาเอาไว้ สุบารุพยายามขัดขืน เซซิลุสจึงเตือนขึ้นมาก่อน
เซซิลุส: ไม่ขอแนะนำให้ทำแบบนั้นนะ บัสซู ไม่งั้นสถานการณ์อาจจะลงเอยแย่กว่าเดิมก็ได้ นี่ผมไม่ได้เตือนด้วยความเป็นห่วงนะ แค่รู้สึกว่าถ้าเกิดลงเอยแบบนั้นจะน่าเบื่อเอาน่ะ
สุบารุ: ขอบใจที่บอกตรงๆ นะ ไปตายซะ เซสซี่
เซซิลุส: หวา อุตส่าห์ช่วยไว้แท้ๆ โดนด่าซะงั้น แต่เอาเถอะ ไม่เข้าใจว่าทำไมบัสซูถึงรู้สึกอยากพูดแบบนั้น จะไม่โกรธก็แล้วกัน
กุสตาฟ: จงแสดงคุณสมบัติออกมาให้ดู แล้วกระผมในฐานะอุปราชจะต้อนรับเธอในฐานะทาสดาบเอง
สุบารุ: …เยี่ยมไปเลย
ถ้าหากไร้คุณสมบัติก็จะได้กลายเป็นอาหารปลา แต่ถ้าหากมีคุณสมบัติก็จะได้กลายเป็นทาส
สุบารุเปลี่ยนใจมาคิดว่าความซวยของเขาอาจจะไม่ได้มีต้นเหตุจากร่างเด็ก แต่เป็นเพราะไอ้ประเทศเฮงซวยแห่งนี้เสียมากกว่า
สุบารุ: …โคตรเกลียดจักรวรรดิวอลลาเคียเลย
. สุบารุถูกนำตัวมาปล่อยที่ลานประลองของทาสดาบพร้อมชายแปลกหน้าอีกสามคนที่มีพื้นเพแตกต่างกัน
คนหนึ่งเป็นมนุษย์กิ้งก่าที่มีผิวหยาบเหมือนศิลา อีกคนเป็นชายหัวโล้นที่มีรอยสักอยู่เต็มร่าง และคนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มผมยาวสีสนิมที่หน้าตาดี
ชาย 1: เวรเอ๊ย…ไอ้เวรเอ๊ย… ล้อกันเล่นรึไง ชิบหายล่ะสิ!
ชาย 2: เดี๋ยวจัดให้เอง เดี๋ยวชั้นจัดการให้เอง…
ชาย 3: หุบปาก! พวกแกยอมทำตามคำสั่งของฉันเงียบๆ ซะ! จะได้ไม่ตายห่ากันหมด!
ชายแปลกหน้าสามคนรวมทั้งสุบารุแสดงอาการตื่นตระหนกชัดเจน พวกเขาอาจจะมีวันเกิดคนละวันกัน แต่ไม่แน่ว่าวันตายของทั้งสี่อาจจะลงเอยเป็นวันเดียวกันหมด
กุสตาฟ: ――ท่านทั้งหลาย ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีที่ท่านได้มาถึงเกาะแห่งนี้ ฝ่าบาทวินเซนต์ วอลลาเคียที่ประทับอยู่ในนครหลวงจะต้องพึงพอใจเป็นอย่างแน่ ในฐานะอุปราชผู้ได้รับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิให้ดูแลเกาะทาสดาบ จะขอทำการทดสอบเกียรติภูมิของท่านทั้งหลาย
หลังกุสตาฟกล่าวจบ รั้วกั้นสนามประลองก็เปิดออก แล้วมีสัตว์อสูรขนาดมหึมาย่างก้าวออกมาจากเงามืด
ศีรษะของมันมีใบหน้าเป็นสิงโต ดวงตาสีแดงก่ำ ขาสี่ข้างมีเท้าเป็นกีบแบบกวาง หางยาว ฟันแหลม และมีเขาโค้งงอ
――เจ้ากิลตีราล ราชันทมิฬแห่งป่าลึกนั่นเอง
กุสตาฟ: ――จงแสดงศักดิ์ศรีของประชาชนแห่งจักรวรรดิออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ ดังที่องค์จักรพรรดิประสงค์เสีย!
จบตอน