
บทที่ 7 ตอนที่ 86 "หอรบทั้งห้า"
อิซเมล “เนตรยักษ์” คือยอดนักรบแห่งเผ่าตาเดียว ผู้ที่เป็นความหวังของเผ่าพันธุ์
เผ่าตาเดียวมีจุดเด่นตรงสายตาที่มองเห็นได้ไกลกว่าเผ่าอื่น นอกจากนั้นยังมองเห็นการเกาะกลุ่มของมานาและความร้อนได้ บางคนก็มีความสามารถเฉพาะตัวที่ต่างออกไป
เผ่าตาเดียวนั้นมีร่างกายแข็งแรงแตกต่างจาก “เผ่าเนตรมาร” ที่มีร่างกายอ่อนแอแลกกันกับความสามารถเนตรแบบพิเศษ
ประสาทสัมผัสการมองเห็นคือสิ่งสำคัญในสนามรบ เผ่าตาเดียวจึงเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่เหมาะสมแก่การเป็นนักรบอย่างยิ่ง
อิซเมล “เนตรยักษ์” เป็นชายหนุ่มวัย 21 ปี ร่างกายกำยำ ใช้ขวานศึกเป็นอาวุธและมีดวงตาสีฟ้างดงามดวงเดียวอยู่บนใบหน้า
อิซเมลและเผ่าตาเดียวเชื่อมั่นว่าตัวเขามีศักยภาพในการเป็นยอดนักรบเทียบเคียง “เก้าแม่ทัพเทวะ” แต่สถานการณ์บ้านเมืองที่สงบสุขก็ทำให้อิซเมลไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ฝีมือ
อิซเมล: ขอแค่มีโอกาสให้เราได้ต่อสู้…
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไฟแห่งการปฏิวัติได้มอบโอกาสให้อิซเมลชักขวานศึกเล่มใหญ่เข้าสู่สนามรบ
เผ่าตาเดียวให้การสนับสนุนอิซเมลในการต่อต้านองค์จักรพรรดิอย่างเต็มที่และยังช่วยกันตามหา “องค์ชายรัชทายาทผมดำ”
. ในเมื่อโอกาสในการพิสูจน์ตนเองมาถึง มีหรือที่ประชาชนชาวจักรวรรดิอย่างอิซเมลจะไม่คว้ามันไว้
อิซเมล: ――ข้าผู้นี้นี่แหละ ที่จะขึ้นปกครองจักรวรรดิวอลลาเคีย!!
อิซเมลกู่ร้องพลางกระโดดขึ้นไปเหยียบบนกำแพงปราการที่เหล่าทหารคิดว่าไม่น่ามีใครข้ามมาได้ในพริบตาเดียว พลธนูที่สับสนรีบคว้าดาบขึ้นมา แต่มันก็สายเกินไป
อิซเมล: นี่หรือนักรบแห่งจักรวรรดิ อ่อนหัดสิ้นดี!
การตวัดขวานศึกเพียงฉับเดียวของอิซเมลส่งผลให้ร่างท่อนบนของทหารห้าคนแหลกสลายในทันที ทหารคนที่เหลือได้แต่พากันกรีดร้องเมื่อเห็นท่อนล่างของเหยื่อล้มลง
อิซเมลกระพริบตาหนึ่งครั้งเพื่อเปิดใช้งานความสามารถพิเศษซึ่งเปลี่ยนโลกที่มองเห็นผ่านดวงตาของเขาให้ไร้สีสัน
ภายใต้สภาวะนี้ อิซเมลสามารถมองเห็นจิตต่อสู้ ความเชี่ยวชาญที่ฝึกฝนและประสบการณ์การต่อสู้ของศัตรูเป็น “สีสัน” ได้
อิซเมล: พวกขี้ขลาดตาขาวน่ะหายไปซะ!
นักรบตาเดียวตวัดขวานศึกเล็งไปที่แสง “สีฟ้า” ซึ่งบ่งบอกถึงพวกใจเสาะที่คิดแต่เพียงจะวิ่งหนีเอาตัวรอด
จามแผ่นหลังพวกตาขาว ตัดขาพวกที่คิดจะหนี หวดใบหน้าของพวกที่ร้องขอชีวิตให้แหลก ยิ่งอิซเมลอาละวาดเท่าไร แสง “สีฟ้า” ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเท่านั้น
. สถานที่ที่อิซเมลบุกโจมตีอยู่นี้คือนครหลวงจักรวรรดิ “ลูปุกาน่า” เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังต่อความอ่อนหัดของศัตรู
มันชั่งง่ายดายจนอิซเมลมองว่าตนสามารถมุ่งหน้าไปที่ “พระราชวังแก้ว” ตัดศีรษะของจักรพรรดิ แล้วก็นั่งบนบัลลังก์ได้เลย
พรรคพวกเผ่าตาเดียวของอิซเมลเองก็ข้ามกำแพงเมืองตามมาสมทบได้แล้ว อิซเมลจึงยกขวานเตรียมปลิดชีพทหารขี้ขลาดตรงหน้าด้วยความผิดหวัง
ทหาร(?): อย่าฆ่ากันเลยนะ! ไม่อยากตาย ยังไม่อยากตายเลย! เหวอออ! ว้ากกกก!
อิซเมล: ในเมื่อแกเองก็เป็นนักรบ ตายแบบนี้น่ะเหมาะสมแล้ว
ทหาร(?): ไม่ใช่ ผิดแล้ว! ไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่ทหารด้วย!
อิซเมล: ว่าไงนะ?
คำพูดประหลาดของชายตรงหน้าทำให้อิซเมลยั้งมือไว้ก่อนที่ขวานศึกจะจามหัวอีกฝ่ายจนกะโหลกแยก
อิซเมล: หมายความว่าไงกัน ที่ว่าไม่ใช่ทหาร? ก็เห็นสวมเครื่องแบบทหารอยู่นี่
ทหาร(?): แค่ถูกบังคับให้ใส่! โดนบอกให้สวมชุดนี่แล้วจับธนูไปต่อสู้! แล้วก็จะได้…
อิซเมล: จะได้อะไร?
ทหาร(?): การอภัยโทษไง! เพื่อที่จะได้ถูกปล่อยตัวออกจากคุก…
คำสารภาพนั้นทำให้อิซเมลรู้สึกตัวว่าทหารเฝ้ากำแพงนครหลวงพวกนี้มันอ่อนแอเกินไป กองทหารที่สู้มาระหว่างทางยังเก่งกว่า
ทหารขี้ขลาดพวกนี้ที่จริงเป็นแค่นักโทษ ดังนั้นที่กำแพงเมืองตอนนี้จึงมีแค่ทัพเผ่าตาเดียวของอิซเมลและคนคุกที่ถูกหลอกให้ฆ่ากันเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ――
อาราเคีย: ――เผาให้เกรียมในรวดเดียว
ตอนนั้นเองที่น้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ได้ดังมาถึงหูของ “เนตรยักษ์”
ดวงตาของอิซเมลมองตามต้นเสียงไปเห็นหญิงสาวผิวสีน้ำตาลที่ลอยอยู่กลางอากาศ หญิงสาว “สีแดง” ผู้มีท่อนล่างลุกเป็นไฟคนนั้นชำเลืองมาทางพวกอิซเมล
อิซเมล: โอ้วววววววววว!!
อิซเมลรีบถีบกำแพงเมืองเพื่อกระโจนไปหาหญิงสาวที่ลอยอยู่ทันที สัญชาตญาณนักรบในตัวกรีดร้องให้เขาทุ่มสุดแรงในการตวัดขวานครั้งนี้เพื่อความอยู่รอด
อาราเคีย: หายไปซะ
ทว่า พอสิ้นเสียงของหญิงสาว ทัศนียภาพของอิซเมลก็ถูกกลืนหายไปพร้อมแสงสีขาว
. อิซเมลใช้ขวานป้องกันเปลวเพลิงจนรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เขาก็ไหม้เกรียมทั้งตัว ผิวหนังและนิ้วมือหลุดลอก สภาพร่อแร่ใกล้ตายอยู่เต็มที
พวกพ้องเผ่าตาเดียวของเขาและนักโทษที่ต่อสู้กันอยู่บนกำแพงเมืองล้วนถูกเผาตายโดยที่ไม่ได้ทันได้ตั้งตัวอะไรเลย
ท็อดด์: ――อะไรกัน มีคนรอดด้วยเหรอเนี่ย? โชคดี… ไม่สิ โชคไม่ดีมากกว่ามั้ง? ดวงซวยชะมัดเลย
ท่ามกลางกองซากศพที่ถูกเผาไหม้เกรียมมี “ชายถือขวาน” คนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าอิซเมล เขาดูออกทันทีว่าชายผู้นี้คือตัวการเบื้องหลังแผนการสุดโหดร้าย
อิซเมล: กะ…แกเองเหรอ…ที่ฆ่าทุกคน…
ท็อดด์: …? บ้าแล้ว ชั้นไม่ได้เป็นคนเผา ผลงานใหญ่แบบนั้นชั้นทำไม่ได้หรอก มีแค่สัตว์ประหลาดเท่านั้นที่ทำได้ ถ้าจะเกลียดก็ไปเกลียดยัยนั่นนู่น
พออิซเมลชำเลืองมองชายแปลกหน้าที่ตอบคำถามอย่างจริงใจ เขาก็ต้องตกตะลึง ――นั่นก็เพราะว่าอิซเมลมองเห็นชายแปลกหน้าผู้นี้เป็น “สีฟ้า”
“สีแดง” คือผู้ที่มีจิตต่อสู้กล้าแกร่ง “สีเหลือง” คือผู้ที่กระวนกระวายจนตื่นตระหนก และ “สีฟ้า” คือผู้ที่ไม่คิดจะต่อสู้ อย่างพวกขี้ขลาดไม่ก็ขี้กลัว
ทว่า ชายแปลกหน้าคนนี้กลับสามารถไล่ต้อนพวกอิซเมลจนมุมได้ทั้งที่เป็น “สีฟ้า” เขาไม่ใช่นักรบ แต่ก็ไม่ใช่พวกขี้ขลาด แต่เป็นบางสิ่งที่น่าขนลุกยิ่งกว่านั้น
สัญชาตญาณในตัวอิซเมลกู่ร้องให้เขากำจัดชายผู้นี้ทิ้ง นักรบตาเดียวจึงตวัดขวานศึกที่ถูกหลอมละลายจนผิดรูปร่างเข้าใส่ แม้จะปางตายจนเรี่ยวแรงน้อยลงก็ตาม
เขาเหลือแขนที่ใช้ได้เพียงข้างเดียว แต่นั่นก็น่าจะยังเพียงพอในการสังหารทหารจักรวรรดิธรรมดา แต่ชายแปลกหน้าก็ตอบโต้ด้วยการปาถุงบรรจุผงดินปืนใส่ดวงตาของอิซเมล
ดวงตาของเผ่าตาเดียวนั้นเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน พวกเขาจึงคิดค้นวิธีรับมือการขัดขวางการมองเห็นแบบนี้ขึ้นมา ด้วยการหลั่งน้ำตาปริมาณมากในคราเดียว――
อิซเมล: อ่อก――
ทว่า พริบตาที่อิซเมลหลับตาลงเพื่อกระตุ้นต่อมน้ำตาให้ทำงาน กระสุนปืนใหญ่ศิลามนตราก็เจาะทะลุ “เนตรยักษ์” ของเขาเป็นรูกลวงโบ๋
. “ท็อดด์ แฟงก์” ถอนหายใจหลังเห็นนักรบตาเดียวถูกกระสุนปืนใหญ่เป่าจนเละ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะติดกับดักที่ท็อดด์วางเอาไว้ ก็ยังคงประมาทไม่ได้จนวินาทีสุดท้ายจริงๆ
ท็อดด์: เพราะงั้นถึงต้องมีหลักประกันไว้แหละนะ
ท็อดด์ชูกำปั้นขึ้นฟ้าเพื่อส่งสัญญาณบอกพลปืนใหญ่บนกำแพงว่าไม่ต้องยิงซ้ำแล้ว
ท็อดด์คิดค้นแผนการมากำราบทัพหน้าของฝ่ายกบฏได้อย่างอยู่หมัด แต่ถึงแม้ว่าเผ่าตาเดียวจะถูกกำราบไปแล้ว ก็ยังเหลือศัตรูอีกมากมายหลายเผ่าพันธุ์อยู่ดี
ท็อดด์: แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเผ่าพันธุ์แปลกประหลาดอยู่มากแค่ไหน ก็ไม่มีผลอะไรอยู่ดี จะทำไมเสียอีก… ถ้าอยากเทียบกันด้วยอสุรกาย ทางนี้ก็พร้อมที่จะดวล
ที่ “หอรบทั้งห้า” ของกำแพงเมืองรูปทรงดาวห้าแฉกของนครหลวงลูปุกาน่านั้น มี “ผู้พิทักษ์” ประจำการอยู่ครบทุกปราการ
ที่ปราการหนึ่ง “เถาวัลย์หนามสีม่วง” กำลังอาละวาดใส่ทัพเผ่าครึ่งคนครึ่งม้าที่พยายามบุกเข้ามา (คาฟม่า อิรูลุกซ์)
อีกปราการหนึ่ง “คมดาบปีกบินยักษ์” กำลังแหวกอากาศไปบดขยี้เผ่าสันโลหะผู้ใช้ร่างกายเป็นอาวุธจนแหลก (มาเดลิน เอสชาร์ต)
อีกปราการหนึ่ง “กำปั้นปฐพีของหุ่นเชิดศิลา” กำลังสอยเผ่ามนุษย์ปีกผู้น่าเวทนาจนร่วงหล่น (โมโกร ฮากาเนะ)
อีกปราการหนึ่ง “กลุ่มคนประหลาดผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการสังหาร” กำลังเข่นฆ่าเผ่ามนุษย์แสงที่มีศิลาเรืองแสงฝังอยู่บนหน้าผาก (โอลบาร์ต ดันคลูเคน)
และที่ปราการที่ท็อดด์ประจำการอยู่ก็มี “เปลวเพลิงสีแดง” ที่แผดเผาทัพเผ่าตาเดียวจนวอดวาย (อาราเคีย)
. ท็อดด์เตรียมแผนการไว้สำหรับป้องกันศัตรูเข้าใกล้กำแพง แผนสำหรับตอบโต้ศัตรูที่ข้ามกำแพงมาได้ แผนสำหรับเก็บกวาดพวกที่ยังเหลือรอด รวมถึงแผนสำหรับหนีไว้ด้วย
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็หวังให้ไม่ต้องงัดแผนสุดท้ายมาใช้ แต่สงครามนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ท็อดด์: ได้กลับมาที่นครหลวงแท้ๆ แต่ดันไปหาคาชัวไม่ได้เพราะเรื่องนี้ …คิดจะขัดขวางช่วงเวลาของชั้นกับคาชัวไปถึงเมื่อไหร่กัน?
เสียงระบายความอัดอั้นของท็อดด์ดังไปไม่ถึงหูของใครทั้งสิ้น เขารู้ดีว่าศึกในครั้งนี้จะทำให้เกิดการนองเลือดอีกมากมาย
แต่ต้องมีเหยื่อสังเวยอีกมากเพียงใดกัน อีกฝั่งถึงจะยอมวางอาวุธ?
ท็อดด์: ยอมแพ้สักทีเถอะน่า ไอ้พวกคลั่งไคล้การต่อสู้เอ๊ย
. ที่ยอดกำแพงมุมหนึ่ง แม่ทัพ “คาฟม่า อิรูลุกซ์” ปล่อยเถาวัลย์หนามสีม่วงออกมาจากแขนเข้ากำราบทัพเผ่าครึ่งคนครึ่งม้า
คาฟม่า: ――น่าเสียดาย แต่พวกเจ้าน่ะยังแกร่งไม่มากพอ! ไม่ยอมให้ผ่านตรงนี้ไปได้หรอก!
เถาวัลย์หนามทั้งขัดขาและแทงทะลุลำตัวของทัพกบฏ แต่นักรบเผ่ามนุษย์ม้าบางคนก็ยังฝ่าดงเถาวัลย์เข้ามาใกล้และเขวี้ยงหอกที่รุนแรงดุจกระสุนปืนใหญ่ใส่คาฟม่าได้
กำแพงของนครหลวงถูกเสริมแกร่งด้วย “พรคุ้มครองแห่งปฐพี” แต่ถ้าหากถูกกระหน่ำยิงด้วยหอกอันทรงพลังของทัพมนุษย์ม้าก็อาจจะต้านไว้ได้ไม่อยู่
คาฟม่า: พวกเจ้าโชคร้ายเหลือเกินที่เลือกยอดปราการที่ตัวข้าปกป้องอยู่
คาฟม่าปลุกพลังจาก “แมลง” ชนิดใหม่ที่เขาฝังเอาไว้ในร่างกาย เพื่อเตรียมไว้รับมือศัตรูจำนวนมาก
กระดูกในร่างของเขากรีดร้องอย่างเจ็บปวดและแทงทะลุออกมาจากหน้าอก หลังจากนั้น กระดูกซี่โครงของคาฟม่าก็ถูกยิงออกไปบดขยี้ทัพมนุษย์ม้าจนแหลก
. การยิงซี่โครงออกไปนั้นรุนแรงจนส่งคาฟม่ากระดอนถอยหลังกลับ แมลงชนิดใหม่นี้ทรงพลังแต่ก็เป็นดาบสองคมที่ทำให้ร่างกายของเขาต้องแบกรับภาระหนักเช่นกัน
กระนั้นคาฟม่า อิรูลุกซ์ก็ยอมที่จะทุ่มสุดตัวในการปกป้องกำแพงนครหลวง เพื่อตอบแทนจักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคียผู้มอบโอกาสให้เผ่ากรงขังแมลงอย่างเขา
สำหรับคาฟม่าแล้ว ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงจักรพรรดิวินเซนต์ผู้ช่วยเปลี่ยนแปลงจักรวรรดิได้ ดังนั้น จะให้อภัยพวกกบฏที่เหยียบย่ำความสงบสุขที่พระองค์มอบให้มิได้เด็ดขาด
คาฟม่า: จะไม่ยอมปล่อยให้คนอย่างพวกเจ้าไปอยู่เบื้องหน้าองค์จักรพรรดิได้หรอก
??: ――มุ่งมั่นน่าดูเลยนี่หว่า? ถูกใจแฮะ
ศัตรูคนใหม่ที่หลบหลีกได้ทั้งเถาวัลย์สีม่วงและกระสุนซี่โครงสีขาวปรากฏตัว เขามาได้ไกลกว่าพวกมนุษย์ม้าและกระโดดขึ้นมาอยู่บนยอดปราการของคาฟม่าได้สำเร็จ
ถึงแม้อีกฝ่ายจะร่างเล็ก แต่คาฟม่าก็ประเมินให้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จึงได้เตรียมต่อสู้แบบไม่ออมมือ
คาฟม่า: แม่ทัพชั้นโทแห่งจักรวรรดิวอลลาเคีย คาฟม่า อิรูลุกซ์
คาฟม่าสยายปีกแมลงสีใสทะลุออกมาจากผ้าคลุมหกปีกพลางเอ่ยแนะนำตัวเป็นพิธี พออีกฝ่ายเห็นท่าทีเช่นนั้น เขาก็แนะนำตัวกลับตามวิถีแห่งนักรบเช่นกัน
การ์ฟีล: ――การ์ฟีล …ชั้นคนนี้คือ “กอร์เจียสไทเกอร์” การ์ฟีล ทินเซล ――ที่จริงโดนกำชับไว้ไม่ให้บอกชื่อ แต่เวลาแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะน้า
“การ์ฟีล ทินเซล” ฉีกยิ้มกว้างพลางกระทบเกราะสนับแขนคู่ใจเข้าหากันส่งเป็นเสียงดังกังวาล
――ดูเหมือนว่าศึกใหญ่จะมาถึงตั้งแต่วันแรกของสงครามอย่างที่แม่ทัพคาฟม่าคาดการณ์ไว้
. จบตอน