
บทที่ 7 ตอนที่ 87 "ศึกตัดสินที่หอรบ"
จักรพรรดิวินเซนต์(ตัวปลอม)นั่งอ่านรายงานการสู้รบอยู่ที่ห้องบัลลังก์ในพระราชแก้วอย่างใจเย็น ภายใต้การปฏิวัติครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์
ถ้าหากเทียบกันด้วยจำนวน ทัพกบฏนั้นมีกำลังพลมากกว่าฝั่งทหารที่ปกป้องนครหลวงลูปุกาน่าถึงสองเท่า
ทว่า ทัพกบฏนั้นไร้ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงแม้จะมีเป้าหมายร่วม แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมีจุดประสงค์ส่วนตนที่ทำให้ร่วมมือกันไม่ได้
มันให้เสนาบดีเบลสเต็ตซ์หวนนึกถึง “พิธีคัดเลือกจักรพรรดิ” เมื่อสมัยที่วินเซนต์ บัลทรอยและลาเมียได้ต่อสู้ชิงบัลลังก์กัน
. ในห้องบัลลังก์มีคนอยู่สามคน คือจักรพรรดิวินเซนต์(ปลอม) เสนาบดีเบลสเต็ตซ์ และ “นักอ่านดารา” อูบิรูค
อูบิรูคหลุดพูดเรื่องจักรพรรดิตัวจริงตัวปลอมขึ้นมา ทำให้วินเซนต์(ปลอม)ไม่ค่อยพอใจนัก แต่ผลงาน 9 ปีในฐานะนักอ่านดาราก็ทำให้เขากำจัดอูบิรูคทิ้งได้ยาก
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกู่ร้องของทัพกบฏก็ดังมาถึงห้องบัลลังก์ที่ทั้งสามอยู่
อูบิรูคมองว่าแต่ละเผ่าน่าจะส่ง “วีรชน” ผู้กล้าแกร่งของเผ่าตนมานำทัพ ทว่า วีรชนเหล่านั้นล้วนแต่ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้า “เก้าแม่ทัพเทวะ”
จักรพรรดิวินเซนต์คัดเลือก “สัตว์ประหลาด” สุดแกร่ง 9 คนจากทุกทั่วจักรวรรดิมาดำรงตำแหน่งนี้ด้วยตนเอง ไม่มีทางที่เขาจะมองพลาดใครไปแน่นอน
และในตอนนี้ สัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็ประจำการอยู่ที่ยอดปราการทั้งห้าของกำแพงนครหลวง
. เบลสเต็ตซ์: เข้าใจดีว่าวางตำแหน่งของ “แม่ทัพ” ไว้หมดแล้ว มันเลยไม่เหลือหน้าที่ให้คนอย่างกระผมช่วย …แต่การทำได้เพียงรอคอยมันช่างน่าเจ็บใจเหลือเกิน
อูบิรูค: อื้อหือ ไม่นึกว่าท่านอัครมหาเสนาบดีจะเลือดร้อนแบบนั้นด้วย
เบลสเต็ตซ์: ถึงอย่างไร กระผมก็เป็นชาววอลลาเคียนี่ครับ
เบลสเต็ตซ์โค้งคำนับจักรพรรดิตัวปลอมแล้วเดินออกจากห้องบัลลังก์ไปด้วยความเจ็บใจที่ตัวเขาช่วยอะไรไม่ได้
อูบิรูค: …จะว่าไป สนิทกับท่านอัครมหาเสนาบดีด้วยเหรอครับ? มีลางสังหรณ์ว่าจะเป็นอย่างงั้น แต่ไม่กล้าด่วนสรุป …ลางสังหรณ์ถูกแบบนี้ควรดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย ตัวผมอ่ะสับสนไปหมดเลยครับ
วินเซนต์(ปลอม): เสียใจ? คนอย่างเจ้าเข้าใจอารมณ์ของมนุษย์เช่นนั้นด้วยหรือ?
อูบิรูค: พูดจาโหดร้ายจังเลย เจ็บใจเหมือนโดนด่าว่าตัวผมไม่ใช่มนุษย์เลยครับ เทียบกับ “ลำดับหนึ่ง” และ “ลำดับสอง” แล้วผมปกติกว่าเยอะเลยนะ
วินเซนต์(ปลอม): อย่างเจ้าเซซิลุสน่ะเอามาใช้เป็นตัวอย่างเรื่องอะไรก็มิได้หรอก ส่วนอาราเคีย ถึงจะเป็นเด็กสาวที่อาศัยตรรกะของเดรัจฉานมากกว่ามนุษย์ แต่หากมีเจ้าของช่วยจูงก็พอรับมือได้ ――ทว่า เจ้าน่ะเป็นแค่ตุ๊กตาที่ถูกสร้างโดยเนื้อหนังของมนุษย์ให้มีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์เท่านั้น
อูบิรูค: …เจ็บจี๊ดเลยครับ
อูบิรูคแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยด้วยรอยยิ้มขมขื่น แต่จักรพรรดิปลอมมองว่านั่นเป็นแค่การแสดงอารมณ์ปลอมๆ ที่เขาเรียนรู้มา
อูบิรูค: ว่ากันตามตรรกะของคุณแล้ว จะบอกว่าเหล่าผู้มีบทบาทเดียวกับผม…เหล่านักอ่านดาราที่ได้รับลิขิตสวรรค์น่ะเป็นตุ๊กตาหมดเลยเหรอครับ?
วินเซนต์(ปลอม): ไม่ได้รู้จัก “นักอ่านดารา” คนอื่นนอกจากเจ้า คงตอบให้ไม่ได้
อูบิรูค: เอาอีกแล้วนะ ไม่ต้องโกหกก็ได้ ตัวผมอ่ะ ไม่คิดว่าตัวเองน่าเชื่อถือขนาดนั้นหรอกนะ เดาว่าคงไล่ล่า “นักอ่านดารา” ทั่วประเทศเพื่อจับมาทรมานหมดแล้วใช่ไหมล่ะครับ
จักรพรรดิปลอมเลือกที่จะนิ่งเฉยต่อคำกล่าวหาของอูบิรูค แต่จากที่เขารู้มา “นักอ่านดารา” ผู้ได้รับลิขิตสวรรค์ทุกคนล้วนแต่เป็นพวกจิตไม่ปกติ
วินเซนต์(ปลอม): ไม่เช่นนั้น แกคงไม่ทำเรื่องป่าเถื่อนอย่างการทำลาย “เนตรมาร” ของตัวเองทิ้งเพื่อพิสูจน์ตนหรอก
อูบิรูค: อ้อ เจ็บมากเลยนะนั่น ความรู้สึกสูญเสียมันสุดๆ ไปเลยด้วย แต่เพราะงั้นถึงได้ยอมฟังที่ผมพูดกันใช่ไหมล่ะ?
อูบิรูคดึงคอเสื้อลงเพื่อเปิดให้เห็นรอยแผลไหม้ขนาดใหญ่กลางหน้าอก ซึ่งเกิดจากที่เขาใช้โลหะร้อนเผา “เนตรมาร” ของตัวเองทิ้ง
เนตรมารคืออวัยวะสำคัญของเผ่าพันธุ์เขา แต่อูบิรูคกลับเผามันทิ้งอย่างไม่ลังเลเพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่เป็นภัย เขาพร้อมที่จะขยี้แขนขาตัวเองทิ้งหากนั่นยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ
วินเซนต์(ปลอม): เจ้ายังมิได้รับลิขิตสวรรค์อันใหม่มา ไม่กลับคำแน่นะ
อูบิรูค: ――ใช่ครับ ตัวผมอ่ะไม่โกหกหรอก ลิขิตสวรรค์ใหม่ยังไม่มาครับ เดิมทีก็ยังไม่เคยเห็นลิขิตสวรรค์อันใหม่โผล่มาก่อนที่อันเก่าจะเกิดขึ้นมาก่อนนะ… กระดานที่คุณตั้งไว้จะไม่ถูกทำลายเพราะสวรรค์แทรกแซงแน่นอน ――ชีวิตของประชาชนชาวจักรวรรดิทุกคนอยู่ในมือของคุณแล้ว
จักรพรรดิตัวปลอมนิ่งเงียบไปสักพัก เขาไม่คิดว่าอูบิรูคพูดโกหก แต่น้ำหนักของประโยคสุดท้ายก็ทำให้หัวใจของจักรพรรดิตัวปลอมสั่นไหวเล็กน้อยอยู่ดี
วินเซนต์(ปลอม): ――ชีวิตของประชาชนชาวจักรวรรดิอยู่ในมือของข้าผู้นี้งั้นหรือ?
. ตัดกลับไปทางยอดปราการที่คาฟม่า อิรูลุกซ์ ประจำการอยู่
การ์ฟีล: โอ้วววววว!!
คาฟม่า: จริงอยู่ว่าตัวข้าถนัดการต่อสู้กับคนหมู่มาก ――แต่ถึงจะเป็นการดวลหนึ่งต่อหนึ่งวิชาของข้าก็มิได้ด้อยลงไปเลย!!
คาฟม่าเปิดฉากโจมตีด้วยเถาวัลย์สีม่วง บนยอดปราการนั้นมีที่ยืนไม่มาก การโจมตีแบบกวาดเป็นวงกว้างเช่นนี้จึงได้ผลดี
กระนั้น แทนที่จะหลบเลี่ยงการ์ฟีลกลับตัดสินใจกระโจนเข้าไปกลางดงเถาวัลย์และยกเกราะแขนสีเงินขึ้นมาตั้งรับ
คาฟม่า: ความมุ่งมั่นนั้นน่าชมเชย แต่ว่าตัดสินใจผิดแล้วล่ะ
แรงกระแทกจากเถาวัลย์ของคาฟม่ารุนแรงราวกับว่าป่าทั้งผืนถาโถมเข้าใส่ หลังได้รู้ซึ้งถึงพลังมหาศาลนั้นผ่านเกราะแขน การ์ฟีลจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน
. การ์ฟีลกระแทกฝ่าเท้าใส่เถาวัลย์หนามเพื่อสั่งใช้ “พรคุ้มครองแห่งวิญญาณปฐพี” ยกพื้นที่คาฟม่ายืนอยู่ให้ลอยขึ้น ส่งผลให้แม่ทัพสูญเสียการทรงตัวชั่วขณะ
ความสามารถของพรคุ้มครองนั้นขึ้นอยู่กับการตีความของผู้ใช้ ในกรณีของการ์ฟีล เขามองว่า ขอแค่เท้าเหยียบได้ นั่นก็นับว่าเป็น “พื้น” แล้ว
พรของการ์ฟเปลี่ยนรูปร่างพื้นหินให้เป็นเสาที่ทยอยเข้าโจมตีคาฟม่าจนเขาต้องถอยกลับ ในขณะเดียวกัน การ์ฟีลก็ฝ่าดงเถาวัลย์หนามเพื่อเข้าประชิด
เถาวัลย์หนามที่หลบไม่พ้นเฉือนการ์ฟีลจนเลือดกระเซ็นหลายแผล ระหว่างที่ระยะห่างระหว่างสองนักรบค่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ
คาฟม่า: เช่นนั้นล่ะก็เข้ามาเลย!
คาฟม่าเลิกใช้เถาวัลย์หนามที่เหมาะโจมตีระยะกลางแล้วเริ่มกระพือปีกแมลงสีใสทั้ง 6 ข้างด้วยความเร็วสูง
พริบตาต่อมา คาฟม่าก็ดีดตัวจากกำแพงมาโผล่ข้างหลังการ์ฟีล นี่ไม่ใช่เพราะความเร็วเหนือกว่า แต่เป็นการอาศัยจังหวะบินในการเล็ดลอดประสาทรับรู้ของศัตรู
การ์ฟีล: ฝันไปเถอะโว้ย!
การ์ฟีลสวนกลับทันทีด้วยกำปั้นหลังฝ่ามือที่เล็งไปหาใบหน้าของอีกฝ่าย แต่คาฟม่าเองก็ตั้งรับด้วยแขนที่เสริมแกร่งด้วยเปลือกแข็งสีดำ
. เถาวัลย์ ปีก ซี่โครงและเปลือกแข็ง
คาฟม่าแสดงพลังจากแมลงไปอย่างน้อย 4 ชนิดแล้ว การ์ฟีลเองก็ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะมีแมลงฝังไว้ในร่างอีกหลายชนิดแค่ไหน
กระนั้นการ์ฟีลก็ตัดสินใจบวกต่อ เพราะมั่นใจว่าตัวเขาได้เปรียบในระยะประชิด เริ่มด้วยการเหวี่ยงหมัดซ้ายสุดแรงเพื่อกลับตัว ต่อด้วยการใช้หัวโขกหลังอีกฝ่ายปัดป้องหมัด
คาฟม่า: อึก
การ์ฟีล: ย้ากกกกกก!!!
ฝั่งหนึ่งมีเปลือกแข็งสีดำ อีกฝั่งมีเกราะแขนสีเงิน สองนักรบแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างพยายามโจมตีให้โดนจุดสำคัญ
การ์ฟรับหมัดศัตรูก่อน แล้วสวนหมัดเข้าใส่หน้าอกและท้องแบบต่อเนื่อง ต่อด้วยหมัดเสยคางแล้วจับตีเข่าซ้ำเข้าที่ท้องอีกทีหนึ่ง แม่ทัพคาฟม่ากระอักเลือดจนต้องบินหนี
การ์ฟีล: ไปกันเลยว้อย!
คาฟม่า: ――อ่อก
ทว่า การ์ฟีลจับขาคาฟม่าได้ก่อนแล้วเหวี่ยงเขากลับมากระแทกกำแพงปราการ เขากดร่างคาฟม่ากับพื้นแล้วเริ่มทำการออกวิ่งเพื่อกระชากปีกแมลงออก
หลังไถแม่ทัพกับพื้นจนควันโขมง การ์ฟีลก็ฉีกปีกของคาฟม่าออกได้สองข้างจนเลือดสาดกระเซ็นออกมาจากหลังของอีกฝ่าย
. ทันใดนั้นเอง ปีกข้างที่เหลือก็กระพืออย่างรุนแรงจนส่งร่างคาฟม่าให้ลอยขึ้นอีกครั้ง หน้าอกของคาฟม่าเปิดออก เผยให้เห็นซี่โครงที่ยื่นออกมาและ “แมลงสีทอง” ด้านใน
การ์ฟีลเชื่อตามสัญชาตญาณและรีบกระโจนหนีกลับมาตั้งหลักทันที แล้วในพริบตาต่อมา กำแพงปราการจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ก็ถูกคว้านออกเป็นรอยทรงกลม
คาฟม่า: ตัวข้าขอยอมรับว่าโอหังเกินไป
การ์ฟีล: หา?
คาฟม่า: ไม่รู้จักตัวตนของนักรบผู้กล้าแกร่งอย่างเจ้ามาก่อนเลย ตัวข้ารู้สึกละอายในความโฉดเขลาเหลือเกิน
การ์ฟีล: อ้อนั่นเรอะ ไม่แปลกหรอกเฟ้ยที่จะรู้ไม่จัก ถ้ารู้จักนี่สิยิ่งซวยเข้าไปใหญ่
คาฟม่า: หมายความว่าไงกัน?
การ์ฟีลหวนนึกถึงคำเตือนของออตโต้ที่ว่าให้ปิดบังตัวตนไว้ไม่งั้นอาจจะเกิดปัญหาทางการทูตทีหลัง
. ที่จริงการ์ฟเผลอหลุดปากบอกชื่อไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าเขามาจากลุกุนิก้า ก็น่าจะยังพอโอเคอยู่
การ์ฟีล: โทษทีว่ะ นอกจากชื่อแล้วคงบอกอะไรอย่างอื่นเพิ่มไม่ได้ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ อย่างที่เขาว่า [มองเห็น “คลูรูคิอัค” ผิดไป]
คาฟม่า: …ถึงจะไม่ยอมบอก แต่เจ้าก็เป็นชายผู้มากฝีมือไม่ผิดแน่ เพราะงั้นตัวข้าถึงเสียใจด้วยจริงๆ
การ์ฟีล: …เสียใจด้วย?
คาฟม่า: หากว่าเราไม่ได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ ก็อยากที่จะสนทนากับเจ้าเหลือเกิน
การ์ฟีล: พล่ามไรวะ――อ่อก
ทันใดนั้นเอง การ์ฟีลก็เข่าทรุดลง ดวงตาเริ่มแดงก่ำ เขารีบเอามือกำหน้าอกแน่นเพราะรู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ
สัญชาตญาณในตัวมันบอกการ์ฟีลว่า ――มีบางสิ่งกำลังคืบคลานอยู่ในร่างกายของเขา
การ์ฟีล: อั่ก…แค่ก…
คาฟม่า: หากคิดจะต่อสู้ระยะประชิดกับตัวข้า ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีเสมอ
คาฟม่าแบฝ่ามือเผยให้เห็น “ท่อสีขาว” ที่ดิ้นยั้วเยี้ยไปมาอยู่ที่บริเวณปลายนิ้วทั้งห้า
ท่อสีขาวเหล่านี้ปล่อย “ไข่แมลง” เข้าไปฟักอยู่ในร่างของการ์ฟีลผ่านบาดแผลที่โดนเถาวัลย์หนามบาดก่อนหน้านี้
การ์ฟีล: ค่อก… ฮ้าาาา
การ์ฟีลพยายามเปิดใช้เวทมนตร์รักษาเพื่อสมานบาดแผลไว้ก่อน พอคาฟม่าเห็น เขาก็ทั้งประหลาดใจและชื่นชมในวิชาที่รอบด้านของการ์ฟีล
คาฟม่า: แต่ว่า จุดประสงค์ของ “แมลง” ที่เข้าไปในตัวเจ้าน่ะไม่ใช่เพื่อสร้างบาดแผล แต่เพื่อเปลี่ยนร่างกายของเจ้าให้กลายเป็น “รังเพาะพันธุ์” ของพวกมัน ――ถึงจะรักษาบาดแผลไป ก็แก้ไขความผันแปรนี้ไม่ได้
ทัศนวิสัยของการ์ฟีลเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เขาหายใจหอบรุนแรง คาฟม่าทนดูสภาพนั้นไม่ได้เลยก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
คาฟม่า: วิชาและความแข็งแกร่งของเจ้า คาฟม่า อิรูลุกซ์ผู้นี้จะขอสลักมันเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน ――จงหลับอย่างองอาจเสียเถอะ
กำปั้นเคลือบเปลือกแข็งสีดำต่อยกระแทกลงมาใส่ศีรษะของการ์ฟีลจนกะโหลกแตก โลหิตพวยพุ่ง ร่างของเด็กหนุ่มกลิ้งอย่างรุนแรงและร่วงหล่นจากปราการไปสู่พื้นเบื้องล่าง
. [ออตโต้: ฟังนะครับ การ์ฟีล แล้วก็จำไว้ให้ดี]
[ออตโต้: ถ้าพวกเราโดนรู้ว่าเป็นใครมาจากไหน มีหวังได้เกิดปัญหาทางการทูตแบบเลวร้ายตามมาแน่นอน เพราะงั้น อย่าถูกศัตรูยั่วยุหรือพูดอะไรเกินจำเป็นล่ะครับ]
[ออตโต้: แต่ถึงยังไง เพราะว่าเป็นนาย คงคาดหวังให้ใจเย็นไปตลอดไม่ได้ แล้วผมก็คงสอนเรื่องศาสตร์การค้าขายอย่างพ่อค้าให้ไม่ได้ เพราะงั้น]
[ออตโต้: เพราะงั้น จำเรื่องนี้ไว้ให้ดีก็พอ]
[ออตโต้: ถ้าเกิดว่านายเผลอหลุดปากบอกไปล่ะก็――]
. การต่อสู้กับ “เผ่ากรงขังแมลง” เป็นครั้งแรกนั้นหลีกเลี่ยงความตายได้ยากมาก
เนื่องจากแมลงในร่างพวกเขาวิวัฒนาการจนมีความสามารถเหนือจินตนาการของมนุษย์ ชนิดและความสามารถก็หลากหลาย
“คาฟม่า อิรูลุกซ์” นั้นเป็นชายผู้มากพรสวรรค์จากเผ่ากรงขังแมลง
ถึงแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธตำแหน่งเก้าแม่ทัพเทวะ แต่จักรพรรดิวินเซนต์ก็ยอมรับความสามารถเขาให้เทียบเท่ากับเหล่าแม่ทัพชั้นเอก
ในครั้งนี้ หน้าที่ของคาฟม่าคือการกำจัดศัตรูให้ได้มากที่สุด เขาจึงมัวเสียเวลากับนักรบแค่คนเดียวไม่ได้ เลยต้องรีบงัดวิชาต้องห้ามมาใช้กำจัดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเผ่ากรงขังแมลงเองยังใช้เวลาเตรียมตัวถึง 12 ปีนับตั้งแต่แรกเกิด กว่าที่พวกเขาจะเริ่มทำการใส่แมลงเข้าไปในร่างกาย
ดังนั้น หากคนทั่วไปถูกบังคับยัดแมลงใส่ร่างโดยที่ปราศจากการเตรียมการใดๆ ร่างกายของคนๆ นั้นย่อมทนรับตัวอ่อนแมลงมิได้
คาฟม่า: น่าเสียดายที่การดวลกับเจ้าต้องจบลงเช่นนี้
แม่ทัพคาฟม่าหลับตาลงและภาวนาให้แก่ศัตรูผู้ล่วงลับ แต่เนื่องจากว่ามีเวลาไม่มาก เขาจึงต้องเตรียมการรับมือศัตรูที่จะบุกโจมตีมาจากนอกกำแพงต่อทันที
คาฟม่า: ――อะไรกัน!?
ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นจนคาฟม่านึกว่าการโจมตีระลอกใหม่มาแล้ว ทว่า มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่เป็นบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้น
คาฟม่า: ――การ์ฟีล ทินเซล
พอคาฟม่ามองลงไปเบื้องล่าง เขาก็เห็นเดรัจฉานร่างยักษ์ที่ตัวลุกเป็นไฟและมันก็กำลังไต่กำแพงปราการกลับขึ้นมาหาเขา
. การ์ฟีลโชคดีมากที่เขาร่วงลงไปบนพื้นดินซึ่งมอบพลังให้เขาผ่าน “พรคุ้มครองแห่งวิญญาณปฐพี” ช่วยในการรักษาศีรษะที่แตกร้าว
กระนั้นแมลงที่ไต่ไปทั่วร่างก็กำลังทำให้เขาใกล้ตายเข้าไปเรื่อยๆ แถมมันยังใช้เวทรักษาแก้ทางไม่ได้ ต่างจากแผลที่ศีรษะ
การ์ฟีล: อ่อก…อั่ก…
ตอนนี้การ์ฟีลหัวโล่งจนคิดอะไรไม่ออก เพราะเขาเสียเลือดไปมาก สิ่งเดียวที่ทำได้คือการเชื่อในสัญชาตญาณ ด้วยการกลืน “กระสุนปืนใหญ่ศิลามนตรา” เข้าไป
ปืนใหญ่ศิลามนตราสำหรับยิงต่อต้านทัพกบฏ กลืนกระสุนของมันเข้าไปแล้วปล่อยให้ระเบิดในท้องตัวเองเพื่อฆ่าแมลงในรวดเดียว
――หลังจากนั้นสิ่งที่ต้องกังวลก็จะเหลือแค่บาดแผลและศัตรู ซึ่งการ์ฟีลก็มีวิธีการที่รับมือทั้งสองอย่างได้พร้อมกันอยู่แล้ว
[ออตโต้: เพราะงั้น จำเรื่องนี้ไว้ให้ดีก็พอ]
[ออตโต้: ถ้าเกิดว่านายเผลอหลุดปากบอกไปล่ะก็――]
ระหว่างที่ร่างกายของเขากำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเดรัจฉานเพื่อรักษาบาดแผลสาหัส คำแนะนำของ “ออตโต้ ซูเวน” ผู้ที่การ์ฟเคารพเหมือนพี่ชายก็หวนคืนกลับเข้ามาในหัว
[ออตโต้: ――ก็จงอัดศัตรูให้ยับจนอีกฝ่ายยืนไม่ได้อีกเลย!]
การ์ฟีล: อัดแม่งให้ยับเลยยยย!!
การ์ฟีลที่กลายร่างเป็นเสือร้ายอย่างสมบูรณ์ไต่ขึ้นกำแพงในสภาพตัวลุกเป็นไฟ กระทั่งแม่ทัพคาฟม่าผู้ที่ได้เห็นภาพนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
จากนั้นคาฟม่าก็กระโจนไปหาเสือยักษ์พร้อมชูแขนทั้งสองข้างขึ้น
คาฟม่า: เข้ามาเลย การ์ฟีล ทินเซน!!
การ์ฟีล: โฮกกกกกกกกกกก!!
เสือทองคำสยายกรงเล็บและเข้าปะทะกับเถาวัลย์หนามสีม่วงที่สยายออกราวกับแม่น้ำเชี่ยวกราก ยอดปราการสูงสุดพังทลายลงในพริบตา
――นั่นคือรอยแตกร้าวที่จะถูกสลักลงในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิว่านำพาไปสู่การล่มสลายของสรวงสวรรค์
. จบตอน