
บทที่ 7 ตอนที่ 88 "จุดเบิกทาง"
ย้อนไปหลายวันก่อน ฝ่ายเอมิเลียต้องตัดสินใจว่าจะตามหาสุบารุที่ไม่มีใครรู้ตำแหน่งเลยหรือเรมที่พอรู้ตำแหน่งก่อน
วินเซนต์ให้ข้อมูลว่าเรมถูกแม่ทัพมาเดลิน เอสชาร์ตจับตัวกลับไป และน่าจะถูกกักตัวไว้คฤหาสน์ของเสนาบดีเบลสเต็ตซ์ ฟอนดาลฟอนในนครหลวง
นั่นแปลว่าฝ่ายเอมิเลียหลีกเลี่ยงการเกี่ยวพันกับสงครามกลางเมืองของวอลลาเคียไม่ได้แล้ว เพราะต้องไปช่วยเรมที่นั่น
. เพทร่าตั้งข้อสังเกตว่าวินเซนต์ยังคงกั๊กข้อมูลอยู่ เพราะเขารู้ว่ามาเดลินมีสองสถานที่ที่อาจพาตัวเรมกับฟล็อปกลับไป แต่กลับยอมบอกแค่ที่นครหลวงเท่านั้น
เอมิเลีย: อาเบลก็พูดไว้เหมือนกันนี่ว่าไม่มีเวลา เพราะงั้นเราลงเรือเดียวกันแล้ว อย่าใจร้ายนักเลยน่า
วินเซนต์: พูดจาได้โอหังเหลือเกินนะ เหตุใดข้าถึงต้องบอกข้อมูลให้พวกเจ้ารู้แบบง่ายๆ ด้วย?
เอมิเลีย: …? ถ้าอยากยืมพลังของพวกเรา ไม่ขอร้องก่อนก็ไม่ยอมหรอกนะ
วินเซนต์: ――นังผู้หญิงคนนี้นี่
เอมิเลีย: ก็จริงไหมล่ะ? ถ้าจะต้องสู้ศึกครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ของวอลลาเคีย ก็คงอยากพึ่งความช่วยเหลือจากพวกเรา ขอบอกเลยว่าพวกเราน่ะแกร่งม้ากมากเลยล่ะ
เพทร่า: เอมิลี่ เปลี่ยนคำพูดนิดนึงก็ดีนะ…
เอมิเลีย: พวกเราน่ะพึ่งพาได้สุดๆ ไปเลยล่ะ!
เพทร่า: พึ่งพาได้มากจริงค่ะ โดยเฉพาะเอมิลี่กับคุณการ์ฟ
ความหัวรั้นของวินเซนต์ทำให้เอมิเลียนึกถึงรอสวาล เขาถือทิฐิไม่ยอมขอร้องให้ใครช่วย แต่เลือกปั่นหัวคนอื่นให้ต้องมาช่วยเขาอย่างไม่มีทางเลือกแทน
เอมิเลีย: ถ้าไม่ยอมเปลี่ยน ระวังจะโดน “เอาคืนให้สาสม” แบบจัดหนักจัดเต็มเข้าสักวันนะ ระวังจะโดนมีเดียมจัง ยอร์น่าและพวกคุณซีคูร์เรียงคิวกันต่อยแบบที่รอสวาลเคยโดน
. หลังไปทำธุระบางอย่างเสร็จ ออตโต้ก็ตามมาสมทบที่ศาลากลาง เอมิเลียเป็นห่วงออตโต้เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยถูกลักพาตัวไป
(ออตโต้ถูกเผ่ามนุษย์ค้างคาวลักพาตัวไปเป็นคู่ครองเลือดในตอนสั้น)
แต่คราวนี้ออตโต้มีการ์ฟีลตามประกบไปคุ้มครองด้วย จึงไม่ต้องห่วงอะไร
สองสามวันที่ผ่าน ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันที่เมืองกัวลาลมากขึ้น เนื่องจากแม่ทัพยอร์น่า มิชิกุเระใช้เมืองนี้เป็นฐานที่มั่นแห่งใหม่
ออตโต้หันไปยืนยันกับวินเซนต์เรื่องสถานการณ์ความเป็นไป เอมิเลียสัมผัสได้ถึงความโกรธในน้ำเสียงของออตโต้ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นนัก
ออตโต้: นี่วางแผนไว้มากแค่ไหนกัน?
วินเซนต์: …
ออตโต้เคลือบแคลงใจเพราะการที่พวกเอมิเลียต้องไปช่วยเรมที่นครหลวง มันเป็นผลดีกับทัพกบฎของวินเซนต์อย่างพอดิบพอดีจนเกินไป
วินเซนต์เลือกนิ่งเฉยไม่โต้ตอบโดยทันที แต่สายตาที่ไม่หวั่นไหวของเขาบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวมีคำตอบในใจอยู่แล้ว
วินเซนต์: ――ก่อนที่จะกลับมาถึงนครแห่งนี้ก็ไม่ได้รู้ว่าพวกเจ้ามีตัวตนอยู่เสียหน่อย ถ้าจะวางแผนได้ไกลขนาดนั้น ก็คงจะต้อง “อ่านดารา” ได้เสียก่อน
ออตโต้: ถ้างั้นจะบอกว่าแค่บังเอิญงั้นเหรอ?
วินเซนต์: อย่าด่วนสรุปว่าเป็นเหตุบังเอิญ เพราะถึงอย่างไร โชคลาภนั้นก็คือสิ่งสุดท้ายเลยที่ควรจะพึ่งพา
. ตามแผนการของวินเซนต์ สุบารุควรจะปลอดภัยดีเพราะเขาถูกปกป้องไว้โดยข่าวลือเรื่ององค์ชายรัชทายาทผมดำ แต่ออตโต้กับเพทร่าเริ่มมองออกว่ามันไม่ง่ายอย่างงั้น
จริงอยู่ว่าสุบารุน่าจะถูกทหารจักรวรรดิจับเป็นแทนฆ่าทันที แต่หลังจากนั้นสุบารุจะถูกพาตัวไปที่ไหนต่อเพื่อพิสูจน์ตัวตนล่ะ?
เอมิเลีย: ――พาไปหาจักรพรรดิ ที่นครหลวงจักรวรรดิงั้นเหรอ?
วินเซนต์: ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเจ้าตามหาจะอยู่ที่นครหลวงทั้งคู่พอดี ประหยัดเวลาไปเยอะ
เพทร่า: หน้าไม่อาย…
พอเอมิเลียคิดตามทัน วินเซนต์ก็เอ่ยล้อราวกับว่ารอคอยจังหวะนั้นมานาน เพทร่าจึงประณามชายสวมหน้ากากทันที
วินเซนต์: บอกไปแล้วนี่ว่าตัวตนของพวกเจ้าเป็นสิ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายของข้า ทุกสิ่งเพียงแค่ไปเป็นตามข่าวลือที่ปล่อยไปเพื่อทำให้เกิดการปฏิวัติเท่านั้น
เพทร่า: อึก…
วินเซนต์: หรือว่าเจ้าจะคิดเช่นนี้กันล่ะ? “จงใจทำให้นัตสึกิ สุบารุตัวหดลงและทำให้เขาหายตัวไป ปล่อยข่าวลือที่ทำให้ทั้งจักรวรรดิสับสน แล้วก็สั่งให้เก้าแม่ทัพเทวะลักพาตัวเด็กสาวเผ่าโอนิที่สามารถใช้เวทรักษาได้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นแผนของข้า” ――ตัวข้านี่งานยุ่งน่าดู
คำโต้เถียงเชิงเหน็บแนมของวินเซนต์ทำให้เพทร่าอ้ำอึ้งเถียงไม่ออก แต่เอมิเลียทนดูเพทร่าถูกล้อเลียนแบบนั้นไม่ได้เธอจึงมายืนกอดอกขวางและจ้องเขม็งกลับหาวินเซนต์
เอมิเลีย: ไม่คิดว่าจะมีใครที่ล่วงรู้ได้ทุกอย่างแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่อย่ามากลั่นแกล้งคุณหนูเพทร่าด้วยวิธีพูดแปลกๆ นั่น ถ้ายังทำอีกทีล่ะก็…
วินเซนต์: ทำอีกทีแล้วจะทำไม?
เอมิเลีย: ฉันจะเป็นคนแรกที่ลงมือ “เอาคืนให้สาสม” อย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้เอง!
เอมิเลียเอ่ยข่มขู่พลางกำหมัดแน่น ปกติเธอชอบแก้ไขปัญหาด้วยการพูดคุยมากกว่า แต่ถ้าอีกฝ่ายทำเรื่องไม่ดีต่อคนสำคัญของเธอแถมยังหน้าด้านไม่ยอมฟัง เอมิเลียก็ไม่เกี่ยงที่จะใช้กำลัง
. วินเซนต์แสดงท่าทีหนักใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้เอมิเลียหรือล้อเลียนเพทร่าไปมากกว่านั้น และทิ้งให้ฝ่ายเอมิเลียตัดสินใจกันต่อ
เอมิเลีย: ตัดสินใจล่ะ พวกเราทุกคนจะไปที่นครหลวงจักรวรรดิกันเถอะ ไปตามหาสุบารุกับเรมกัน
ออตโต้: เอมิลี่ สิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ที่คุณหนูเพทร่านะ
เอมิเลีย: อา จริงด้วยนะ! เอ่อคือ คิดว่าไงคะ คุณหนูเพทร่า? เห็นด้วยกับที่ฉันตัดสินใจไปหรือเปล่า?
เพทร่า: …อื้อ ไม่เป็นไรหรอก เอมิลี่ ที่จริงแล้ว ก็แค่ไม่พอใจที่ทุกอย่างดูจะเป็นไปตามที่คนๆ นี้ต้องการนี่สิ
เพทร่าจ้องเขม็งไปทางวินเซนต์ แต่ฝ่ายนั้นก็ยังคงยืนกรานเช่นเดิมว่าพวกเอมิเลียไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผนการแต่แรก
เอมิเลีย: อืม ก็ไม่คิดว่าจะเป็นงั้นหรอก อาเบลน่ะเป็นคนหัวดีที่ชอบสวมหน้ากากประหลาด แล้วก็… ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เงอะงะเหมือนกันนะ
เอมิเลียเรียกจอมเจ้าเล่ห์อย่างวินเซนต์ว่าคนเงอะงะได้หน้าตาเฉย แต่ทั้งเพทร่า ออตโต้และการ์ฟีลต่างก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากหน้ากากปีศาจ
วินเซนต์: เป็นการประเมินที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เหตุใดถึงได้ประเมินข้าเช่นนั้นกัน?
เอมิเลีย: ที่ว่าเงอะงะน่ะเหรอ? เอ่อ เหตุผลก็…ใช่แล้ว! เรื่องสุบารุไงล่ะ!
เพทร่า: สุบารุ? หมายถึงยังไงเหรอ?
เอมิเลียตีความสถานการณ์ใหม่ว่าต่อให้พวกตนไม่โผล่มา สิ่งที่วินเซนต์ต้องการก็ยังคงเป็นการใช้ข่าวลือทำให้สุบารุไปอยู่ที่นครหลวงลูปุกาน่าในศึกสุดท้ายอยู่ดี
การ์ฟีล: ถึงจะเป็นง้านก็เหอะ ทำไมหมอนี่ถึงอยากให้จอมพล…
เอมิเลีย: เรื่องนั้นมันชัดเจนอยู่แล้วนี่ ――เพราะว่าสุบารุน่ะพึ่งพาได้สุดๆ ยังไงล่ะ!
สรุปก็คือ วินเซนต์วางแผนอ้อมค้อมมากมาย เพื่อให้สุบารุคนซึ่งเป็นคนที่เขาเชื่อมั่นในฝีมือไปอยู่ใจกลางสงคราม เพื่อให้ฝ่ายตนชนะศึกนี้
เอมิเลียมองว่าถ้าหากวินเซนต์ยอมขอร้องกันดีๆ สุบารุน่าจะยอมช่วยเขาด้วยซ้ำ เธอถึงได้เป็นประเมินวินเซนต์ว่าเป็น “คนเงอะงะ” เพราะเขาเลือกจะปั่นหัวคนอื่นแทนการขอร้อง
. สองผู้นำจ้องตาดูเชิงกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งมีหน้ากากปีศาจบดบังอยู่ นั่นทำให้เอมิเลียสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่าวินเซนต์ไม่เคยกระพริบตาสองข้างพร้อมกันเลย
เอมิเลียรอคอยให้วินเซนต์เอ่ยคำๆ หนึ่งออกมา แต่อีกฝ่ายก็ทิฐิสูงจนไม่คิดจะทำเช่นนั้น สุดท้ายมีเดียมเลยโวยวายและดึงแขนเสื้อของวินเซนต์
มีเดียม: อาเบลจิน! ทำตัวไม่เท่เลยนะ! ในมุมมองของชั้นน่ะ อาเบลจินเป็นฝ่ายแพ้นะ!
วินเซนต์: มันเป็นการแข่งขันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เลิกดึงแขนเสื้อได้แล้ว มันมีแค่ตัวเดียว
มีเดียม: ถ้าไม่มีเสื้อก็แต่งหญิงอีกทีสิ! อาเบลจินแต่งขึ้นดีออก!
มีเดียมแลบลิ้นใส่วินเซนต์แล้วเดินมาก้มหัวขอร้องพวกเอมิเลียให้ช่วยเหลือต่อ เพราะเธอต้องการไปช่วยพี่ชายที่นครหลวงเช่นกัน
มีเดียม: ขอร้องล่ะ! ถึงอาเบลจินจะเป็นอย่างงั้น แต่ที่จริงก็อยากให้พวกเอมิลี่จังช่วยนะ!
เอมิเลีย: อาเบล ขนาดนี้แล้วยอมเถอะ
เอมิเลียมองข้ามหัวมีเดียมไปและรอฟังคำตอบจากชายสวมหน้ากาก
วินเซนต์: “พวกเจ้าเองก็จะเข้าร่วมศึกที่นครหลวงจักรวรรดิเช่นกัน” คิดซะว่านี่เป็นคำขอก็แล้วกัน
เพทร่า: หน้าไม่อาย!
มีเดียม: อาเบลจิน!
สุดท้ายวินเซนต์ผู้ไม่ยอมขอร้องดีๆ ก็ถูกตะวาดใส่โดยเด็กสาวสองคน
. ตัดกลับมายังปัจจุบัน พวกเอมิเลียได้เข้าร่วมศึกตัดสินที่นครหลวงลูปุกาน่า แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่านี่เป็นไปตามแผนการของวินเซนต์หรือเป็นแค่เรื่องบัญเอิญกันแน่
ดัดลี่ย์หรือรอสวาลเองก็ได้กำลังเสริมมาจากขุนนางชนชั้นสูงดราครอยและตามมาสมทบถึงนครหลวงลูปุกาน่าแล้วเช่นกัน
สมาชิกฝ่ายเอมิเลียกำลังจะได้มาอยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง แต่มันดันเป็นที่สงครามกลางเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน เฟรเดริก้าจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลใจถึงผลกระทบ
ถ้าหากพวกเอมิเลียฟังข่าวเรื่องสงครามครั้งนี้อยู่ที่ลุกุนิก้า พวกเธอก็คงแค่รู้สึกสลดเล็กน้อย แต่ก็คงไม่ได้ใส่ใจเรื่องของประเทศเพื่อนบ้านนัก
ทว่า ตอนนี้พวกเธอก้าวขาเข้ามาเกี่ยวพันกับคนที่นี่และปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เอมิเลียจึงได้ตัดสินใจมุ่งมั่นในสิ่งที่เธอคิดจะทำ
เอมิเลีย: ถ้าพวกเราเข้าร่วมด้วย น่าจะพอลดจำนวนคนตายได้อยู่
ออตโต้: เอมิลี่… ไม่สิ ท่านเอมิเลีย เส้นทางนั้นมันเต็มไปด้วยขวากหนามนะครับ
เอมิเลีย: อื้อ เข้าใจดี อืม บางทีออตโต้คุงอาจจะเข้าใจความยากลำบากของสถานการณ์ได้ดีกว่าฉัน แต่ว่าจะหาทางทำอะไรสักอย่างเอง
ออตโต้: เป้าหมายของพวกเราคือการพาตัวคุณนัตสึกิกับคุณเรมกลับมา ต่อให้ศึกครั้งนี้จะมีคนตายแค่สองคน แต่ถ้าหากสองคนที่ว่าดันเป็นคุณนัตสึกิกับคุณเรมก็แปลว่าเราล้มเหลว ในทางกลับกัน ต่อให้คนทั้งจักรวรรดิตายกันหมด แต่สองคนนั้นรอด ก็ถือว่าพวกเราชนะครับ
การ์ฟีล: พี่ออตโต้ พูดแบบนั้นออกมาได้ไง…
ออตโต้: กำลังคุยกับท่านเอมิเลียอยู่ครับ
ออตโต้ขัดการ์ฟีลไม่ให้พูดแทรกทันที แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของเขาต่อสถานการณ์ ในฐานะผู้นำ เอมิเลียจึงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญถึงเป้าหมายในศึกครั้งนี้
และเอมิเลียก็ได้เลือกที่จะ…
เอมิเลีย: ทั้งการช่วยเหลือพวกสุบารุและการลดจำนวนคนตายของฝั่งจักรวรรดิให้น้อยลงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พวกเราเอาพยายามสุดกำลังเพื่อทำให้ได้ทั้งสองอย่างกันเถอะ!
. เป้าหมายที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นเป้าหมายที่เธอมุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ เพื่อการนั้นแล้ว พวกเอมิเลียจะเปิด “จุดเบิกทาง” ให้แก่ศึกในครั้งนี้
ยามที่เอมิเลียก้าวเข้าสู่สนามรบ สายลมเย็นเฉียบก็ทำให้อากาศทั่วทุกหญ้าเต็มไปด้วยไอสีขาว
รอบตัวเธอเต็มไปด้วยเผ่าอมนุษย์ที่มีร่างกายบางส่วนเป็นอาวุธ บ้างมีแขนเป็นดาบ บ้างมีขาโลหะ บ้างมีศีรษะเป็นค้อน บ้างมีแผ่นหลังเป็นโล่
แต่ถึงแม้จะมีร่างกายเป็นอาวุธ พวกเขาก็มิอาจโค่นล้มศัตรูผู้แข็งแกร่งตรงหน้า ถึงได้ล้มระเนระนาดกันอยู่เต็มทุ่งหญ้าเช่นนี้
เอมิเลีย: ทุกคน! ถอยออกไปจากตรงนี้! จากนี้ไปให้ฉันลุยแบบเต็มที่เอง!
เอมิเลียประกาศกร้าวเพื่อดึงความสนใจของศัตรูไปจาก “เผ่าสันโลหะ” ที่กำลังถอยทัพหนี
ทว่า นั่นไม่ได้จำเป็นเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าศัตรูที่ยืนอยู่บนยอดปราการจดจำเอมิเลียได้และหันเหความสนใจมาหาเธออย่างเต็มที่ในทันที
มาเดลิน: ――เจ้าอีกแล้วงั้นรึ?
เด็กสาวเผ่ามนุษย์มังกรผู้มีดวงตาสีทอง มีเขาสีดำโดดเด่นสองข้างและอาวุธคู่ใจ “คมมีดปีกบิน” อยู่ในมือนั้นเปล่งรังสีน่าเกรงขามผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกออกมา
ทว่า เอมิเลียก็ชี้นิ้วไปหาศัตรูตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
เอมิเลีย: ใช่แล้ว! ฉันอีกแล้วนั่นแหละ มาเดลิน! ผู้ใช้ศาสตร์วิญญาณที่บังเอิญผ่านมา เอมิลี่!
มาเดลิน: ยัยหนูน่ารำคาญนี่ ที่ศึกเมื่อคราวนั้น อย่าคิดว่าเจ้าเอาชนะมังกรผู้นี้ได้――
แม่ทัพ “มาเดลิน เอสชาร์ต” ขบเขี้ยวแหลมและเปลี่ยนสีหน้าให้จริงจังจนน่าขนลุก เธอกำคมดาบปีกบินแน่นเพื่อเตรียมเอาคืนเอมิเลียจากศึกในคราวก่อน
เอมิเลีย: ――ฮึ่ยย่าห์!
ทว่า ฝ่ายเอมิเลียเองก็ไม่รอช้าและเปิดฉากด้วยการเสกภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ยิ่งกว่าศาลากลางหล่นทับมาเดลินโดยทันที
. จบตอน