
บทที่ 7 ตอนที่ 89 "คาฟม่า อิรูลุกซ์"
“เผ่ากรงขังแมลง” นั้นถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีตกระทั่งในจักรวรรดิวอลลาเคียที่มีเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่หลากหลายมากที่สุด
รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไป ไม่ได้มีลักษณะเด่นชัดอย่าง เผ่าตาเดียว เผ่าเนตรมาร เผ่าหลายแขน เผ่าขายาวหรือเผ่ามนุษย์สัตว์
พวกเขามิได้เกิดมามีร่างกายเป็นวัตถุดิบที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธในภายได้อย่าง “เผ่าสันโลหะ”
มิได้มีอัญมณีบนหน้าผากซึ่งเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นหลังดูดกลืนดวงวิญญาณของเหยื่ออย่าง “เผ่ามนุษย์แสง”
แต่เผ่ากรงขังแมลงนั้นถูกเหยียดหยามเพราะวิถีชีวิตประหลาดที่จงใจเพาะเลี้ยงแมลงไว้ในร่างกายสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น
. เผ่ากรงขังแมลงมีถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของจักรวรรดิ ที่นั่นมีถ้ำที่ถูกเรียกว่า “ขุมนรก” ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของแมลงพิศวงและมีบรรยากาศเป็นพิษ
เหล่าผู้เชี่ยวชาญเชื่อกันว่าเผ่ากรงขังแมลงนั้นเป็นหนึ่งในจำพวกที่ใฝ่หาพลังจาก “แก่นพลังภายใน” เฉกเช่นเดียวกับผู้ใช้คุณไสยและชิโนบิ
พวกเขาถึงได้กล้านำแมลงจากขุมนรกซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างจากแมลงที่พบเห็นได้ทั่วไปใส่เข้าในร่างกายเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับ “แก่นพลังภายใน” ที่ว่า
เผ่ากรงขังแมลงจะใช้เวลาเตรียมร่างกายและจิตใจ 12 ปีนับตั้งแต่เกิด ก่อนที่จะทำพิธีกรรมนำแมลงเข้าสู่ร่างกาย
ถึงแม้ว่าอายุ 12 ปีคือเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่ที่จริงแล้วพวกเขามีเวลาถึงอายุ 15 ปีในการปรับตัวให้พร้อม
แต่ถ้าหากว่าเลย 15 ไปแล้วยังไม่ไหว ก็จะถูกจับโยนลงไปใน “ขุมนรก” เพื่อเป็นอาหารให้แก่เหล่าแมลง
. พิธีกรรมนำแมลงเข้าสู่ร่างกายนั้นสุดแสนจะทรมาน ร่างกายจะปฏิเสธมันจนรู้สึกเหมือนเลือดทั้งร่างเป็นพิษ อวัยวะภายในเน่าเสียหรือสมองถูกเผา
ร่างกายของผู้รับแมลงจะกลายสภาพเป็นดักแด้อยู่สามวันสามคืน ถ้าหากฟักตัวออกจากดักแด้มาในสภาพคนได้ ก็แปลว่าแมลงยอมรับในตัวภาชนะ
แต่ถ้าหากพิธีกรรมล้มเหลว ภาชนะก็จะถูกแมลงกลืนกินภายในดักแด้เสียแทน
ร่างกายของผู้ที่ผ่านพิธีกรรมรอบแรกจะเริ่มแปรสภาพไปเหมือนแมลง เช่น มีปีก มีหนวดแมลง มีเปลือกแข็ง มีตารวม เป็นต้น
สรุปคือชีวิตของเผ่านี้ต้องผ่านพิธีกรรมอันโหดร้ายไม่พอ รอดมาได้ก็ยังโดนรังเกียจจากสายตาเผ่าอื่นอีก กระนั้นพิธีกรรมก็ยังคงอยู่เรื่อยมา
. จำนวนของแมลงที่นำเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นตัวบ่งบอกความแข็งแกร่งของนักรบเผ่ากรงขังแมลง นักรบแนวหน้าของเผ่าจะมีแมลงในร่างกายอย่างน้อยสามตัว
แต่การนำแมลงเข้าสู่ร่างกายหลายชนิดเกินไปย่อมเสี่ยงต่อการที่พวกมันจะหันมากินกันเองในร่างจนภาชนะเป็นอันตราย
หัวหน้าเผ่ากรงขังแมลงคนปัจจุบันถึงได้เป็นที่เคารพและยำเกรงในฐานะวีรชน เพราะเขามีแมลงในร่างกายถึง 8 ชนิด
ทว่า คาฟม่า อิรูลุกซ์นั้นเหนือชั้นขึ้นไปอีก เนื่องจากว่าเขาเป็นอสุรกายที่สามารถนำแมลงเข้าสู่ร่างกายได้ถึง 32 ชนิด
พ่อของคาฟม่าเป็นน้องชายของหัวหน้าเผ่าซึ่งมีปมด้อยอยากเหนือกว่าพี่ ชายเสียสติคนนี้จึงเริ่มนำแมลงเข้าสู่ร่างกายของลูกชายตั้งแต่ที่เขาพึ่งเกิดมาได้ไม่กี่วัน
พอคาฟม่าเริ่มจำความได้ เขาก็ได้รู้ว่าพ่อของตนถูกพี่ชายประหารกับมือหลังได้รู้ความลับที่ชายคลั่งโกหกว่าลูกชายตายแล้ว แต่ที่จริงแอบเอาแมลงใส่ในร่างคาฟม่าวัยแบเบาะเพิ่มทุกปี
กระทั่งในเผ่าก็ยังเสียงแตกว่าควรทำอย่างไรกับคาฟม่าผู้เป็นผลลัพธ์จากพิธีกรรมแบบต้องห้าม
แต่สุดท้ายหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นลุงของเขาก็ได้แสดงความรับผิดชอบในการยอมให้คาฟม่ามีชีวิตอยู่ต่อ ด้วยการเป็นผู้เลี้ยงดูคาฟม่าเอง
. แต่ถึงแม้ว่าหัวหน้าเผ่าจะใจดีกับเขาเพียงใด สุดท้ายคาฟม่าก็ยังกลายเป็นตัวตนนอกรีตในเผ่าซึ่งผู้คนตีตัวออกห่างอยู่ดี
ก่อนที่จะจำความได้ พ่อก็ใส่แมลงมาในร่างเขาไป 13 ตัวแล้ว คาฟม่าจึงไม่จำเป็นต้องเข้าทำพิธีกรรมอีก แต่นั่นแหละคือช่องว่างที่ผู้คนทำตัวห่างเหินกับเขา
คาฟม่าผู้เติบโตมาเป็นชายที่รักในความเที่ยงธรรมจึงตัดสินใจทำพิธีกรรมรับแมลงตัวที่ 14 เข้าสู่ร่างกาย
เขาอาเจียนเป็นเลือดในดักแด้อยู่สามวันสามคืนและรอดชีวิตกลับมาเป็นเผ่ากรงขังแมลงอย่างเต็มตัว กลายเป็นยอดนักรบที่แกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์
ภายหลังคาฟม่าได้เข้าร่วมกองทหารจักรวรรดิ ไต่เต้ายศไปถึงระดับแม่ทัพ สร้างชื่อเสียงให้แก่เผ่าพันธุ์
ถึงแม้ว่าเขายังคงต้องเผชิญกับการเหยียดหยาม แต่คาฟม่าก็ได้ค้นพบแสงสว่างจากการออกมาเปิดโลกว่าตัวเขาไม่ใช่อสุรกายแต่เป็นแค่ตัวตนหนึ่งเท่านั้น
. ตัดกลับมาปัจจุบัน
นักรบในร่างเสือยักษ์นาม “การ์ฟีล ทินเซล” กระโจนเข้ามาหา คาฟม่าจึงตอบโต้ด้วยเถาวัลย์หนามสีม่วงซึ่งเป็นพลังอเนกประสงค์จากแมลงชนิดใหม่ที่พึ่งใส่ในร่างได้ไม่นาน
ทว่า กรงเล็บของเสือทองคำฉีกเถาวัลย์ไปพร้อมกับพื้นปราการ แมลงเจ้าของพลังกรีดร้องจนสมองคาฟม่าสั่นสะท้าน
การ์ฟีลง้างกรงเล็บจู่โจมต่อทันที คาฟม่าจึงต้องสยายปีกเพื่อเร่งความเร็วบินสวนผ่านไป
. ยิ่งการต่อสู้ลากยาวเท่าไร พละกำลังของนักสู้ย่อมน้อยลงตามเท่านั้น
ดังนั้น กลยุทธ์ที่เห็นผลชะงัดที่สุดจึงเป็นการทุ่มสุดตัวตั้งแต่การโจมตีแรก ซึ่งทั้งคาฟม่าและการ์ฟีลที่กลายร่างเป็นสัตว์ก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่
คาฟม่าประเมินว่าการ์ฟีลน่าจะยังเจ็บหนักจากไม้ตายต้องห้ามเมื่อก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่สามารถใช้กลยุทธ์เดิมซ้ำกับเสือที่ร่างยังคงลุกเป็นไฟได้
กระทั่งในตอนนี้ เปลวเพลิงก็น่าจะยังเผาไหม้อยู่ในท้องการ์ฟีลไม่หยุดหย่อน แมลงที่ใส่เข้าไปในร่างกายเขาคงตายเรียบไปหมดแล้ว
คาฟม่า: เป็นกลยุทธ์ที่ใจถึงเหลือเกิน
คาฟม่ากระโดดถอยหลังออกมาตั้งหลักพร้อมยิงสิ่งที่คล้ายหนวดแมลงสีแดงบนหัวไหล่สองข้างออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่
มันคือ “เขา” ของแมลงชนิดหนึ่ง เป็นกระสุนที่เจาะทะลุกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าของเสือยักษ์จนสอยเขาร่วงจากกำแพงปราการได้
คาฟม่า: อั่ก
พอหนวดทั้งสองถูกถอนออกไปทั้งราก กระดูกไหล่ของเขาก็เจ็บปวดจนแทบจะเข่าทรุดลง แต่คาฟม่ารู้ดีว่ายังคงเบาใจแค่นี้ไม่ได้
การ์ฟีล: ก๊าาา! โฮกกกกก!
เสือยักษ์ใช้เล็บเกี่ยวกำแพงปราการไว้และดีดตัวกลับขึ้นมา บาดแผลที่ถูกหนวดสีแดงยิงสมานตัวลงอย่างรวดเร็วด้วยประกายแสงแห่งเวทรักษา
คาฟม่า: บันเทิงเหลือเกิน
คาฟม่ายอมรับออกมาตามตรงพร้อมหัวเราะเบาๆ ตัวเขาในตอนนี้กำลัง “สนุก” ไปกับการต่อสู้กับการ์ฟีล ทินเซล
. การ์ฟีลตวัดกรงเล็บลงพร้อมหมุนตัวควงเป็นเหมือนจักรสีทอง
คาฟม่าประเมินว่าป้องกันไม่ได้แน่นอน เขาจึงบินลอดหว่างขาเสือยักษ์ไปแล้วเตรียมโจมตีสวนใส่แผ่นหลังที่ไร้การป้องกัน
ทว่า การ์ฟีลก็ชิงตะปบฝ่ามือลงพื้นเพื่อชิงเปิดใช้งานพรคุ้มครองเรียกเสาหินมาเสยใส่ปีกแมลงของคาฟม่าจนฉีกขาดก่อน
การ์ฟีลไม่รอช้าดีดตัวถอยหลังกลับด้วยแรงจากขาหลังทันที แผ่นหลังของเสือยักษ์กระแทกเข้าใส่คาฟม่า ส่งร่างเขาให้กระดอนไปทั่วกำแพงปราการ
ระหว่างที่ร่างยังคงกระเด้งไม่หยุดจนทัศนวิสัยหมุนควงอยู่ คาฟม่าพยายามตั้งสติกวาดสายตาหาตำแหน่งของการ์ฟีล แล้วโจมตีสวนกลับด้วยไม้ตายก้นหีบ
คาฟม่า: รอบที่สอง!
หน้าอกและซี่โครงของคาฟม่าเปิดกว้างออก อวัยวะภายในสีแดงฉานสั่นสะท้านและปล่อย “คลื่นกระแทก” ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าใส่การ์ฟีล
ไพ่ตายของคาฟม่าไม่ใช่พลังจากแมลงชนิดใหม่ แต่เป็นอวัยวะภายในอันใหม่ที่กำเนิดขึ้นมาจากการมีแมลง 32 ชนิดอาศัยร่วมกันอยู่ในร่างกาย
. การโจมตีประสานจากแมลง 32 ชนิดถือกำเนิดเป็นคลื่นสั่นสะเทือนที่บดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้าและสามารถป่นนักรบให้กลายเป็นหมอกโลหิตได้ในพริบตา
ทว่า การ์ฟีลที่รับคลื่นกระแทกเข้าเต็มๆ กลับยังกระโจนเข้ามาหาคาฟม่าต่อได้ โดยที่บาดเจ็บแค่ร่างกายท่อนบนจนขนสีทองแปดเปื้อนโลหิต
คาฟม่า: ――เจ้าอสุรกายเอ๊ย
คาฟม่าที่พึ่งตั้งหลักได้ถูกกรงเล็บของเสือยักษ์ตะปบใส่หน้า แต่เขาก็สวนหมัดไปเสยคางอีกฝ่าย หลังจากนั้นต่างฝ่ายก็ต่างรัวหมัดใส่กันจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วกำแพง
มันคือศึกระหว่างอสุรกายปะทะอสุรกายที่ผู้อื่นมิอาจเข้าไปแทรกแซงได้
. คาฟม่า อิรูลุกซ์เป็นอสุรกายที่ถือกำเนิดมาแบบผิดปกติในเผ่าพันธุ์ประหลาด ถูกเหยียดหยามกระทั่งในเผ่าจนเขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งโชคชะตาของตนเอง
กระทั่งหลังออกมาจากบ้านเกิดเพื่อเข้าร่วมกองทหารจักรวรรดิ ทหารทั่วไปก็ยังคงเกรงกลัวเขาในฐานะอสุรกายอยู่ดี
คาฟม่าเริ่มปลงเพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน ตัวเขาก็หลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ถูกมองว่าเป็นอสุรกายมิได้อยู่ดี จนกระทั่ง――
[กอซ: ――มาสิ แม่ทัพชั้นตรีคาฟม่า! มารับใช้ฝ่าบาทอย่างสุดกำลังไปด้วยกันเถอะ! อะไรเล่า ไม่ต้องคิดมากหรอก พวกเราต่างก็เป็นอสุรกายไม่ต่างจากเจ้านั่นแหละ!]
คำพูดและเสียงหัวเราะของชายร่างใหญ่เป็นเหมือนคำอวยพรและแสงสว่างชี้ทางให้แก่คาฟม่า ว่าที่จริงแล้วตัวเขาไม่ได้แสวงหาการปฏิเสธว่าตนมิใช่อสุรกาย
การได้ค้นพบว่าตัวเองไม่ใช่อสุรกายเพียงคนเดียว ค้นพบว่าตนไม่ได้ผิดแปลกอย่างเดียวดายต่างหากคือสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจคาฟม่า
. คาฟม่า: เพราะงั้นการต่อสู้กับเจ้าถึงได้…
คาฟม่ารัวกระสุนจากหนวดสีแดงใส่คู่ต่อสู้ในระยะเผาขน แต่การ์ฟีลก็อาศัยความถึกทนใช้เวทรักษายื้อสวนกลับแบบซึ่งๆ หน้า
เบื้องหน้าของคาฟม่าตอนนี้คือ “อสุรกาย” ที่มีพลังชีวิต พลังป้องกันและพลังฟื้นฟูเหนือสามัญสำนึก พ่วงด้วยพลังจากพรคุ้มครอง
เถาวัลย์หนามสีม่วงที่เลื้อยไปพันรอบร่างถูกเสือยักษ์ใช้กำลังฉีกออก ไม่สนแม้ว่าหนามจะบาดผิวหนัง
กำปั้นที่เคลือบด้วยเปลือกแข็งซึ่งสามารถสะท้อนการโจมตีของอาวุธมีคมได้ก็ถูกเกราะแขนสีเงินของการ์ฟีลขยี้จนแหลก
“บันเทิง อา บันเทิงเหลือเกิน”
ทั้งจิตวิญญาณของนักรบและอสุรกายในร่างคาฟม่า รวมถึงเหล่าแมลงที่ได้สำแดงฤทธิ์เดชอย่างเต็มที่พากันกู่ร้องด้วยความยินดี
คาฟม่าสลัดรอยยิ้มบนใบหน้าตนเองออกไปไม่ได้ ทั้งที่เขาจำเป็นต้องชนะในศึกนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณขององค์จักรพรรดิและเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์แท้ๆ
. การ์ฟีล: ――นี่เอ็ง มัวแต่มองอะไรอยู่วะ?
ทั้งที่สองอสุรกายกำลังแลกหมัดกันอยู่ด้วยพละกำลังและความเร็วในระดับถึงตาย ทั้งที่ความเจ็บปวดลั่นไปทั่วร่าง คาฟม่ากลับได้ยินคำถามของอีกฝ่ายชัดเจน
การ์ฟีล: ชั้นอยู่นี่นะโว้ย
คาฟม่า: …
การ์ฟีล: สนแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น อย่าให้อย่างอื่นมากวนใจสิวะ
อสุรกายตรงหน้าใช้ทุกอย่างที่มีในการโค่นล้มคาฟม่า เขาจึงจำเป็นต้องแทนความมุ่งมั่นนั้นกลับด้วยการทุ่มทุกอย่างที่ตนมีและเลิกสนใจสิ่งอื่นใดในวินาทีนี้
สีสันและเสียงอื้ออึงพลันหายไป คาฟม่าสำนึกในพฤติกรรมน่าละอายของตนและจดจ้องความสนใจไปหาแต่ศัตรูเพียงอย่างเดียว
คาฟม่า: ――อา มีแค่เจ้ากับตัวข้าเท่านั้นแหละ
กำปั้นของสองอสุรการสวนกันไปซัดเข้าเต็มหน้าของอีกฝ่าย ฝ่ามือของการ์ฟีลแบออกและคว้าใบหน้าของคาฟม่าด้วยกำลังมหาศาลจนกะโหลกของเขากรีดร้อง
แต่ฝั่งคาฟม่าเองก็ล้วงมือเข้าไปในปากคู่ต่อสู้แล้วส่งเถาวัลย์หนามเข้าไปในร่างกายของการ์ฟีลได้เช่นกัน
. ในเมื่อเล่นงานจากภายนอกไม่ได้ ก็ต้องเล่นงานจากภายใน
เถาวัลย์หนามเริ่มออกอาละวาดในท้อง แต่การ์ฟีลสะบัดร่างกายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง กระแทกกับกำแพงไปทั่วจนยอดหนึ่งของปราการทรงห้าแยกออกเป็นสองซีก
เมื่อเถาวัลย์หนามได้รับความเสียหาย แมลงเจ้าของพลังก็จะเจ็บตัวตาม คาฟม่าเองก็ได้รับผลกระทบอีกทอดจนทัศนวิสัยเริ่มแดงฉาน
กระนั้นเถาวัลย์ก็จะยังไม่สิ้นพลัง เพราะเจ้าแมลงในร่างคาฟม่ากำลังกระหายในชัยชนะ
การ์ฟีล: อ่อก
ขากรรไกรและกรงเล็บของเสือยักษ์มิอาจฉีกเถาวัลย์ท่อนหนาจำนวนมากให้ฉีกขาดเพื่อหลุดออกไปจากสภาพพันธนาการนี้ได้
ที่จริงเถาวัลย์ของแมลงมีจำนวนจำกัด แต่ต่อให้คาฟม่าใช้เถาวัลย์จนหมดเพื่อโค่นอสุรกายนาม “การ์ฟีล ทินเซล” ลงได้ นั่นก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว
. คาฟม่า: ย้ากกกกกกกก!!
คาฟม่ากู่ร้องออกมาเพื่อข่มความเจ็บปวดของกระดูกที่หักไปทั่วร่าง เถาวัลย์หนามที่ยัดเข้าร่างของการ์ฟีลสุดท้ายจะล้นทะลักจนอีกฝ่ายเสียชีวิตในที่สุด
แต่เมื่อเขาขยับเข้าประชิดเพื่อเตรียมเผด็จศึก คาฟม่าก็ได้เห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
คาฟม่า: อะไรกั…?
การ์ฟีลใช้กรงเล็บกรีดท้องของตัวเองออกเพื่อเปิดรูให้เถาวัลย์ไหลทะลักออกมา หมดสิทธิ์ที่พวกมันจะยัดเต็มตัวจนร่างเขาระเบิดออก
มันคือการกระทำที่บ้าบิ่นเสี่ยงตาย หากคาฟม่าบังคับเถาวัลย์ให้แหกบาดแผลซ้ำเติมได้ ร่างของการ์ฟีลก็จะขาดเป็นสองท่อนได้ง่ายๆ เลย
ทว่า พฤติกรรมสุดป่าเถื่อนของการ์ฟีลก่อให้เกิดช่องว่างในหัวของคาฟม่าที่มัวแต่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ชั่วพริบตาเดียวที่การ์ฟีลได้พักหายใจ ขากรรไกรของเขาก็กัดเถาวัลย์ที่สูญเสียจังหวะต่อเนื่องจนขาด แล้วสวนกลับใส่คาฟม่าด้วยการใช้เกราะแขนกระแทกใส่หน้าทันที
ร่างของคาฟม่ากระเด็นไปกระแทกกำแพงส่งผลให้ปราการสุดแกร่งของนครหลวงลูปุกาน่าพังทลายลงในที่สุด
. คาฟม่าลืมตาขึ้นมาเห็นเสือยักษ์คืนร่างกลับเป็นเด็กหนุ่มดังเดิม มีละอองเลือดปรากฏที่บาดแผลที่การ์ฟีลกรีดท้องตัวเอง จากนั้นแผลระดับถึงตายก็สมานลงในพริบตา
“ช่างเป็นภาพที่บ้าบอคอแตกเหลือเกิน”
คาฟม่า: ――เจ้าอสุรกายเอ๊ย
เศษหินจากกำแพงปราการที่พังทลายร่วงหล่นลงมา พร้อมกับสติของคาฟม่าที่เลือนลางใกล้หมดลงเต็มที
คาฟม่า: ฝ่าบาท ขออภัยด้วยขอรับ…
เสียงของแมลงที่คาฟม่าได้ยินมาตั้งแต่เกิดเงียบเชียบลงอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
. การ์ฟีลอุ้มร่างของคู่ต่อสู้ที่หมดสติแล้วกระโจนถอยออกมา ก่อนที่จะหยุดมองดูกำแพงพังทลายเกิดเป็นรูโหว่บนปราการของนครหลวงลูปุกาน่า
การ์ฟีล: เปิดให้แล้วนะ “รูระบายอากาศ” น่ะ
การ์ฟีลฉีกยิ้มยามนึกถึงคำสั่งของเอมิเลีย แต่พอพูดด้วยปากที่ฉีกออกอีกเพราะถูกยัดเถาวัลย์ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มก็เจ็บจนร้อง “โอ๊ย”
เขารีบวางมือลงบนแผลและร่ายเวทรักษาโดยทันที
การ์ฟีล: อ๊า…แม่งเอ๊ย…เจ็บโคตร…แต่ว่าน้า…
นี่เป็นศึกเดือดที่การ์ฟีลหวิดตายอยู่หลายครั้ง แต่เขารอดมาได้เพราะสามารถคงสติอยู่ในร่างเสือ จนสามารถร่ายเวทรักษากระทั่งตอนที่ถูกสัญชาตญาณสัตว์ป่าครอบงำ
การ์ฟีล: …นี่ชั้นคนนี้…แกร่งขึ้นงั้นเรอะ?
นับตั้งแต่ตอนที่ได้ดวลกับคูร์กัน “แปดกร” ที่เมืองพริสเทล่า คาฟม่า อิรูลุกซ์ถือเป็นคู่ต่อสู้คนแรกที่การ์ฟีลต้องสู้แบบทุ่มเทสุดกำลัง
การได้ต่อสู้กับอสุรกายแบบไร้โซ่พันธนาการทำให้การ์ฟีลเติบโตขึ้นอีกครั้ง
การ์ฟีลวางร่างของคาฟม่าลงกับพื้นและสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายยังหายใจอยู่ นี่คือศึกสงคราม หากต้องการการันตีชัยชนะเขาก็ควรที่จะสังหารศัตรูให้เรียบร้อย
แต่เอมิเลียสั่งไว้ให้ลดจำนวนคนตายให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และออตโต้ก็กำชับไว้ว่าอัดศัตรูจนยืนไม่ได้อีกก็พอ
การ์ฟีล: ――ชั้นคนนี้ชนะแล้ว
การ์ฟีลอยากที่จะช่วยเติมเต็มอุดมการณ์จากหัวใจของเอมิเลียและความห่วงใยของออตโต้ เขาจึงชูกำปั้นขึ้นฟ้า พึงพอใจต่อชัยชนะของตนเพียงเท่านั้น
. จบตอน