
บทที่ 7 ตอนที่ 92 "สายใยที่คืนกลับ"
ท่ามกลางจักรวรรดิที่กำลังระอุไปด้วยด้วยเพลิงแห่งการปฏิวัติ ได้เกิดปรากฏการณ์หิมะตกผิดธรรมชาติด้วยฝีมือของเด็กสาวคนเดียว
พอเด็กสาวเห็นว่าเหล่านักรบเผ่าสันโลหะพากันตกตะลึงด้วยความเย็นจนก้าวขาไม่ออก เอมิเลียจึงตะโกนเรียกสติให้พวกเขาถอยทัพกลับไป
การที่เอมิเลียกล้าท้าทายเผ่ามนุษย์มังกรผู้น่าเกรงขามได้อย่างชิวๆ ทำให้เผ่าสันโลหะรู้ซึ้งถึงความต่างชั้นของพลังระหว่างพวกตนกับเด็กสาวสองคนนั้นทันที
. ย้อนไปก่อนหน้าเล็กน้อย กว่าพวกเอมิเลียจะมาถึงสนามรบ ทัพกบฏของบางเผ่าก็รุดหน้าไปโจมตีกำแพงเมืองแบบไม่รอใครแล้ว
วินเซนต์มองว่านั่นคือโอกาสดี เพราะฝ่ายตนจะได้เก็บข้อมูลจากพวกที่รนหาที่ตายก่อนเพื่อน
ทว่า เอมิเลียนั้นต้องการจะลดจำนวนคนตายลงให้น้อยที่สุด เธอจึงทนรอดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ พอเห็นดังนั้น สมาชิกฝ่ายต่างก็พากันสนับสนุนความต้องการของหัวหน้าเต็มที่
ออตโต้ช่วยชี้เป้าปราการที่จะพาเอมิเลียไปปะทะกับมาเดลิน การ์ฟีลรุดหน้าไปบุกอีกปราการ เฟรเดริก้ากับเพทร่าทำหน้าที่สนับสนุนแนวหลัง
ส่วนเบียทริซที่ยังสู้ไม่ไหวก็ฝากฝังให้เอมิเลียช่วยสุบารุแทนเธอไปก่อน
. เอมิเลียเกิดมามีร่างกายที่ไม่เข้าใจความหนาวเย็นเหมือนคนทั่วไป แต่ด้วยความรู้จากเพื่อนๆ และประสบการณ์ที่สั่งสมมา ตอนนี้เธอรู้ข้อได้เปรียบของอากาศหนาวเย็นแล้ว
เอมิเลียจึงจู่โจมศัตรูทั้งหมดในอาณาบริเวณด้วย “ความหนาวเย็น” เพื่อลดทอนทั้งความสามารถและจิตต่อสู้
นิ้วแข็งจนหยิบอาวุธไม่ได้ เข่าสั่นจนใช้วิชาอะไรไม่ออก ฟันแข็งกระด้าง ทัศนวิสัยสั่นไหว ในสภาพนั้น คนทั่วไปย่อมไม่เหลือกำลังใจจะสู้ต่อ
แต่แน่นอนว่าทั้งอากาศเย็นและภูเขาน้ำแข็งที่เอมิเลียใช้เปิดฉากย่อมไม่ได้ผลกับศัตรูระดับมาเดลิน ความแข็งแกร่งของเธอนั้นเห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนเจอกันที่กัวลาลแล้ว
. มาเดลินใช้ “คมดาบปีกบิน” ผ่าภูเขาน้ำแข็งแยกเป็นสองซีก แล้วจดจ้องลงมาจากยอดปราการด้วยดวงตาสีทอง
มาเดลิน: ยัยเด็กไร้ฝีมือ ความเจ็บปวดที่ได้รู้ซึ้งไปก่อนหน้าไม่ได้สั่งสอนอะไรเลยหรือ ครึ่งมาร?
เอมิเลีย: ได้รู้ซึ้งเหรอ… การโจมตีสุดท้ายนั่นทำเอาตกใจอยู่เหมือนกัน แต่มั่นใจว่าฉันกับพริสซิลล่าเกือบจะชนะอยู่แล้ว โกหกมันไม่ดีนะ
มาเดลิน: ――กรอด อย่าได้ดูถูกมังกรผู้นี้ ยัยครึ่งมาร!
มาเดลินที่เดือดดาลย่อเข่าเพื่อเตรียมกระโจนลงมาจากยอดปราการ แต่เอมิเลียยิงห่าฝนก้อนน้ำแข็งสะกัดไว้ทันที
มาเดลินยกอาวุธมาปัดป้องด้วยอารมณ์รำคาญ น้ำแข็งก้อนเล็กแค่นี้ไม่ควรจะครณามือเธอ ทว่า…
เอมิเลีย: ย่า! ฮึ่ยย่าห์! ยังมีอีกนะ! นี่แน่ะ!
มาเดลิน: อะไรกั…
เนื่องจากเอมิเลียเน้นความเร็วมากกว่าขนาด น้ำแข็งที่เธอเสกจึงมีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือ เรียกง่ายๆ ได้ว่ามันคือ “ลูกเห็บ” นี่เอง
ทว่า ถึงจะเป็นแค่ลูกเห็บ หากโดนเข้าที่หัวก็เจ็บอยู่ดี แถมเอมิเลียยังเสกลูกเห็บออกมาต่อเนื่องกันหลายร้อยลูก กลายเป็นพายุลูกเห็บที่ถาโถมยอดปราการ
. มาเดลินใช้คมดาบปีกบินฟาดฟันเพื่อช่องทางวิ่งหนี แต่พายุลูกเห็บก็ยังไล่กวดไม่หยุด มาเดลินจึงต้องวิ่งสลับหลบหลีก สลับปัดป้อง ไปตามกำแพงปราการราวกับร่ายรำ
แม้จะได้เห็นความคล่องแคล่วอันน่าเหลือเชื่อของศัตรู เอมิเลียก็ไม่ได้เสียกำลังใจ เพราะเดิมทีการโจมตีนี้มีไว้เพื่อถ่วงเวลาตั้งแต่แรก
เอมิเลีย: ทุกคน หนีไปได้แล้ว! ถ้าฉันกับมาเดลินสู้กัน แถวนี้มันจะอันตรายนะ!
เผ่าสันโลหะยังคงเกาะกลุ่มเพื่อรอช่องโหว่เข้าไปเสริม แต่ความต่างชั้นของพลังมันสูงเกินไป
แถมพวกเขาบาดเจ็บไปจนอาวุธบนร่างพังไปเยอะแล้ว ไหนจะอากาศเย็นของเอมิเลียที่ทำให้เคลื่อนไหวช้าลงอีก
มาเดลิน: ――ฝันไปเถอะ!
มาเดลินเขวี้ยงคมดาบปีกบินเหินเวหาลงมาจากปราการ เอมิเลียสามารถกระโดดหลบได้ก็จริง แต่ระยะโจมตีของอาวุธนี้มันกว้างไกล ยังไงพวกเผ่าสันโลหะก็โดนลูกหลง
เอมิเลีย: ฮึ่ย…ย่าห์!!
เอมิเลียกระโจนมาขวางกงจักรสังหารที่เกือบจะขยี้เผ่าสันโลหะที่หลบไม่ทันแล้วเตะสวนใส่คมดาบปีกบิน แรงสะท้อนส่งผลให้กระดูกทั้งร่างของเอมิเลียลั่นเอี๊ยด
แต่เธอก็กัดฟันแล้วใส่แรงไปที่เท้าจนเตะอาวุธลอยข้ามหัวพวกตนไปได้
เอมิเลีย: เท่านี่ก็…
มาเดลิน: คิดว่าจบแค่นี้รึ?
ทันใดนั้นเอง มาเดลินก็โผล่มาจับคมดาบปีกบินที่เอมิเลียพึ่งเตะข้ามหัวไปแล้วตวัดอาวุธซ้ำในระยะประชิดทันที เอมิเลียไม่มีตัวเลือกให้หลบ เพราะยังมีคนอยู่ด้านหลังเธอ
เอมิเลีย: ไอซ์แบรนด์อาร์ตส์!!
ดาบน้ำแข็งที่เอมิเลียเสกขึ้นมารับอาวุธแตกสลายในทันที แต่เธอไม่หยุดมือแค่นั้น เอมิเลียเสกดาบเล่มที่สองในอีกมือ และเสกเล่มที่สามแทนเล่มแรกที่หักไปต่อทันที
เอมิเลียหมุนตัวฟันดาบน้ำแข็งสองเล่มใส่ด้านข้างของอาวุธเล่มยักษ์และเบี่ยงวิถีของมันได้อย่างฉิวเฉียด
คมดาบปีกบินที่ร่วงหล่นเสียบพื้นส่งคลื่นกระแทกมาโดนเอมิเลียและพวกเผ่าสันโลหะจนล้มลง
นั่นเป็นข้อบ่งชี้ว่ามาเดลินมีพละกำลังมหาศาลถึงเพียงใด เธอถึงได้ตวัดอาวุธที่หนักขนาดนี้ไปมาได้
. เอมิเลียลุกขึ้นมาตั้งหลักใหม่ ส่วนมาเดลินก็หยิบอาวุธอีกครั้งแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ
มาเดลิน: มีเจ้าคนเดียวรึ? แล้วยัยผู้หญิงคนนั้นล่ะ?
เอมิเลีย: ผู้หญิงคนนั้น? …อา พริสซิลล่าสินะ?
มาเดลิน: คิดว่ามังกรผู้นี้จะลดตัวไปจำชื่อของมนุษย์รึ? หมายถึงยัยผู้หญิงสีแดงไงเล่า
เอมิเลีย: คนนั้นคือพริสซิลล่าไง ส่วนฉันเอมิลี่ พริสซิลล่าน่ะมีคนที่อยากไปพบอยู่
ทั้งพริสซิลล่าและอัลเดบารันนั้นเข้าร่วมสนามรบแนวหน้าทั้งคู่ โดยที่ต่างคนต่างมีเป้าหมายของตัวเอง
มาเดลิน: คนที่อยากไปพบ…
เอมิเลีย: ใช่ค่ะ คงอยู่ที่ไหนสักแห่งในการต่อสู้นี้ เรื่องส่วนตัวน่ะ ฉันเองก็ให้ความสำคัญกับท่านอัศวินของฉันก่อนเหมือนกัน… อ๊ะ! เอ่อคือ ของคุณหนูเพทร่าสิ! เป็นอัศวินล่ะมั้ง!
เอมิเลียเผลอหลุดปากเรียก “ท่านอัศวินของฉัน” ขนาดนี้ แก้ตัวไปก็คงฟังไม่ขึ้นแล้ว เธอจึงเลิกที่จะปิดบัง
เอมิเลีย: อื้อ โกหกน่ะ สุบารุน่ะเป็นอัศวินของฉัน ขอโทษด้วยที่หลอกเธอ
มาเดลิน: พูดถึงอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง!
. มาเดลินเริ่มหมดความอดทน เธอเลิกคุยแค่นั้นแล้วเตรียมที่จะเผด็จศึก อุณหภูมิในร่างกายของเด็กสาวสูงขึ้นจนเกิดไอระเหยไปทั่วตัว ฝั่งเอมิเลียก็ชักดาบคู่น้ำแข็งออกมาเตรียม
มาเดลิน: พวกเจ้าที่เย้ยหยันมังกรผู้นี้ จะเล่นงานให้นองเลือดทีละคนเอง
เด็กสาวมนุษย์มังกรแสยะยิ้มแล้วกระโจนย่นระยะเข้าประชิดเอมิเลียได้ในพริบตา
เอมิเลีย: ถึงพริสซิลล่าจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่ฉันไม่ได้ตัวคนเดียวหรอกนะ!
มาเดลิน: พูดบ้า… อะไรกัน!?
ตอนนั้นเองที่มีอะไรบางอย่างกระโจนเข้ามาขวางคมดาบปีกที่มาเดลินตวัดใส่เอมิเลีย มันคือ “นัตสึกิ สุบารุ” ที่ร่างทำจากน้ำแข็งนั่นเอง
เอมิเลีย: ฮึ่ยย่าห์!!
พริบตาที่มาเดลินมัวแต่ตกใจจนอ้ำอึ้ง ดาบคู่น้ำแข็งเอมิเลียก็หวดเข้าใส่ร่างของเด็กสาวเต็มๆ
. ตัดไปอีกทาง “ยอร์น่า มิชิกุเระ” กำลังสูดไปป์คิเซะรุพลางสอดส่องสถานการณ์ของศึกสงคราม
การที่ทัพกบฏรุดหน้ามาถูก “อสุรกาย” สุดแกร่งของแต่ละปราการขยี้ทิ้งนี้ดูผิวเผินเหมือนจะส่งผลดีต่อองค์จักรพรรดิ
เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไปขวัญกำลังใจของเหล่ากบฏจะถูกทำลายย่อยยับ จนไม่มีใครกล้าลุกฮือขึ้นมาต่อต้านจักรพรรดิอีกหลายปี หลังจากที่ศึกตัดสินนี้จบลง
เพียงแต่ว่า จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคีย ผู้ที่ควรจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ดันถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์เสียเอง
สถานการณ์มันสับสนวุ่นวายจนกระทั่งยอร์น่าเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะเลือกอยู่ฝั่งไหน หากไม่ได้ล่วงรู้ความจริง ทว่า ตัวเธอในตอนนี้มีคำตอบในใจแน่ชัดอยู่แล้ว
ยอร์น่า: ――แทนที่จะเป็นอนาคตที่สร้างโดยจักรพรรดิตัวปลอม ขอเลือกความสงบสุขที่จักรพรรดิตัวจริงคงรักษาไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ
. ยอร์น่าใช้วิชาคงคงเสกก้อนดินให้ลอยขึ้นมารอบตัวเธอ ทว่า ความเร็วของมันเทียบกับสิ่งปลูกสร้างในนครเคออสเฟลมที่ยอร์น่าผูกพันมานานไม่ได้เลย
ยอร์น่า: ขออภัยที่ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย แต่คู่ต่อสู้ของท่านคือข้าน้อยเองเจ้าค่ะ
ยอร์น่าที่ยืนอยู่บนปราการเอ่ยพลางมองขึ้นไปหาคู่ต่อสู้ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยท่อนล่างที่กลายเป็นเปลวเพลิง “ผู้เสพวิญญาณ” อาราเคีย นั่นเอง
วิธีการต่อสู้ของอาราเคียนั้นโดดเด่นเห็นได้ชัดจากระยะไกล ยอร์น่าจึงเลือกคู่ต่อสู้ล่วงหน้าได้ไม่ยาก
. พริสซิลล่า: ใครกันที่สั่งเจ้าให้ทำแบบนี้ อาราเคีย?
อาราเคีย: อึก…
ตอนนั้นเอง บุคคลที่สามก็โผล่มาร่วมวง ทำเอาทั้งอาราเคียและยอร์น่าตกตะลึงไปพอกัน
พริสซิลล่า: อะไรกัน ท่านแม่? ตายไปครั้งหนึ่งแล้วแท้ๆ ยังปล่อยวางเรื่องลูกไม่ได้อีกรึ?
ยอร์น่า: พริสก้า หากเจ้าจะไม่ยกโทษให้ข้าน้อยมันก็สมควรเจ้าค่ะ…
พริสซิลล่า: โชคร้ายที่เด็กสาวผู้ใช้นามนั้นตายไปแล้ว หากห่วงใยก็ไปเยี่ยมหลุมศพเธอเสีย นามของข้าพเจ้าคือพริสซิลล่า บาริเอล จงอย่าได้เรียกผิดอีกล่ะ
ยอร์น่า: …อาเบลน่าจะบอกไว้แล้วว่าฝากให้ข้าน้อยจัดการที่นี่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?
พริสซิลล่า: แล้วข้าพเจ้าก็บอกไปแล้วนี่ว่าจะไม่ฟังคำสั่งของอาเบลน่ะ
. วินเซนต์ส่งยอร์น่ามาต่อกรกับอาราเคียซึ่งเป็นเก้าทัพเทวะที่แข็งแกร่งที่สุดในปราการทั้ง 5 เนื่องจากในฝ่ายไม่เหลือใครอื่นที่แกร่งไปกว่ายอร์น่าแล้ว
แต่พริสซิลล่าก็ตามมาด้วยเพราะเธอมีเรื่องค้างคาที่ต้องสะสางกับอาราเคียอยู่
กระทั่งตอนที่ยอร์น่าประจันหน้ากับเธอ อาราเคียก็ยังนิ่งเฉยไร้อารมณ์ แต่พอพริสซิลล่าโผล่มาเท่านั้นแหละ เธอถึงกับออกอาการไปไม่เป็นเลย
ชัดเจนว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์บางอย่าง เพียงแต่ยอร์น่าไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคือความสัมพันธ์แบบไหน
พริสซิลล่า: อาราเคีย เจ้าตัดสินใจได้หรือยัง?
นั่นเป็นคำถามที่อ่อนโยนและดาษดื่นแท้ๆ แต่พริสซิลล่ากลับส่งสายตาจิตสังหารราวกับจะฆ่าแกงผู้ตอบให้ได้ ส่วนฝั่งอาราเคียนั้นพยักหน้าและกลืนน้ำลายก่อนเอ่ยตอบ
อาราเคีย: เอาองค์หญิงกลับคืนมา ――ฆ่าฝ่าบาท องค์หญิงเท่านั้นคือจักรพรรดินีตัวจริง
พริสซิลล่า: อยากได้บทสรุปอย่างเป็นทางการของ “พิธีคัดเลือกจักรพรรดิ” งั้นหรือ? ย่อมได้
หลังได้ฟังคำตอบ พริสซิลล่าก็ยัดพัดในมือลงร่องอกแล้วชักดาบแสงตะวัน “วอลลาเคีย” เล่มสีแดงฉานออกมาจากฟากฟ้าแทน
ยามที่ได้ยลโฉมดาบแสงตะวัน ยอร์น่าก็หวนนึกถึงอดีตคนรักที่เคยถือครองดาบเล่มนั้นมาก่อน ทำให้พริสซิลล่าทักให้เธอเลิกเหม่อ
ยอร์น่าตั้งท่าเตรียมเข้าสู่การต่อสู้พลางรำพึงถึงช่วงเวลาที่ขาดหายไปเพราะเธอไม่ได้เลี้ยงดูลูกสาว ส่วนพริสซิลล่านั้นชี้ปลายดาบแสงตะวันไปหาอาราเคีย
พริสซิลล่า: มีเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกไป ――ยัยนั่นคือพี่น้องบุญธรรมของข้าพเจ้าเอง หลังท่านแม่ตายไป ข้าพเจ้าก็เติบโตมากับยัยนั่นเหมือนเป็นพี่สาวน้องสาว ดูเหมือนว่าเป้าหมายของหล่อนในตอนนี้คือการนำข้าพเจ้าขึ้นครองบัลลังก์
ยอร์น่า: ว่าไงน――
พริสซิลล่า: ลุยกันเลย
ก่อนที่ยอร์น่าจะประมวลผลข้อมูลที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนได้ อาราเคียก็ชิงเปิดฉากโจมตีด้วยการใช้เปลวเพลิงย้อมท้องนภาเป็นสีแดงเสียก่อน
อาราเคีย: จะเอาองค์หญิงกลับคืนมา ด้วยพลังของฉันเอง!! ――นั่นแหละที่เขาบอกมา
. “ท็อดด์ แฟงก์” มองดูท้องฟ้าลุกเป็นไฟจากฝีมืออาราเคียอยู่ในระยะที่ห่างออกไป เขามั่นใจว่าปราการที่ตนกับอาราเคียประจำอยู่นั้นคือปราการที่ปลอดภัยที่สุด
หลังจากที่ทัพของเผ่าตาเดียวถูกกวาดล้างไป ทัพกบฏที่เหลือก็กลัวอาราเคียจนโจมตีสะเปะสะปะ หากเป็นเช่นนั้นต่อไป ชัยชนะก็จะอยู่ในมือได้ไม่ยาก
ทว่า หลังทัพกบฏกลุ่มที่สองมาถึง บรรยากาศมันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทัพกบฏที่รวมตัวกันได้ขวัญกำลังกลับคืนมา เริ่มโจมตีอย่างชาญฉลาดจนความสูญเสียลดลง
ท็อดด์อดคิดไม่ได้ว่ากลุ่มที่สองของทัพกบฏอาจจะมีผู้บัญชาการผู้ปราดเปรื่องอยู่
ท็อดด์: ไม่จริงน่า ที่มาช้านี่คงไม่ใช่หนึ่งในแผนการหรอกนะ?
เขาเริ่มเคลือบแคลงใจว่ากลุ่มที่สองของทัพกบฏนี้คือของจริง ส่วนทัพหน้านั้นเป็นแค่พวกโง่เง่ารนหาที่ตาย
ดูเหมือนว่าฝั่งศัตรูจะเตรียมการไว้สำหรับการปะทะกับผู้พิทักษ์ที่ยอดปราการทั้งห้า กระทั่งพลทหารทั่วไปที่มีหน้าที่เก็บกวาดพวกที่เหลือรอดก็ยังเริ่มสู้ลำบาก
ราวกับว่าผู้บัญชาการคนนี้มีมันสมองชาญฉลาดไม่พอ แต่ยังมีหูตาที่สอดส่องได้กว้างไกลอีกด้วย
“ปล่อยศัตรูที่แข็งแกร่งให้พวกอาราเคียจัดการไป ศัตรูตัวสำคัญของศึกในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่แนวหน้า”
ท็อดด์: ――ต้องกำจัดเจ้าหมอนี่ทิ้ง ก่อนที่มันจะสร้างปัญหาไปมากกว่านี้ล่ะนะ
. จบตอน