
บทที่ 7 ตอนที่ 93 "กองรบก้อนศิลา"
เนื่องจากแม่ทัพ “โมโกร ฮากาเนะ” หายตัวไปจากยอดปราการที่ 3 (ตามข้อมูลของออตโต้) วินเซนต์จึงส่งทีมมาบุกช่องโหว่ทันที
คูนาและโฮลี่ต้องเผชิญหน้ากับตุ๊กตาหินขนาดเท่ามนุษย์ที่ถึงจะยิงธนูสอยหัวขาดก็ไม่ตาย
โฮลี่ถึงกับต้องรัวธนูสามดอกต่อเนื่องเพื่อทำลายร่างของตุ๊กตาหินให้แหลกถึงจะหยุดหนึ่งตัวได้ ทว่า จำนวนของพวกมันดันมีอยู่นับไม่ถ้วนที่หน้าปราการ 3
คูนา: ชิ ควรทำไงดีล่ะเนี่ย!
คูนาสาปแช่งวินเซนต์ในใจที่ส่งพวกเธอมาทำภารกิจนี้ ตามที่เธอได้ยินมา “โมโกร ฮากาเนะ” เป็นเผ่ามนุษย์โลหะซึ่งมีร่างกายทำจากหินแร่ทั้งร่าง
แสดงว่ากองทัพตุ๊กตาหินตรงหน้าพวกเธอก็อาจจะเป็นเผ่ามนุษย์โลหะเช่นกัน
. พวกมนุษย์โลหะนั้นไร้ดวงตา ไร้จมูกและไร้หู ท่าทางเคลื่อนไหวก็ผิดมนุษย์เหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แถมยังมีพละกำลังมหาศาล
ทัพกบฏกลุ่มแรกที่บุกปราการที่สามนั้นถูกกองทัพมนุษย์โลหะเหยียบย่ำจนแหลกเละไปหมดแล้ว
คูนากับโฮลี่เริ่มชั่งใจที่จะถอยทัพก่อน แต่ตอนนั้นเองที่มีกำลังเสริมสามคนวิ่งสวนทางพวกเธอเพื่อบุกทะลวงเข้าไป
มิเซลด้า: ――ตุ๊กตาทำจากหินรึ เกะกะขวางทาง! !
คนแรกคือ “มิเซลด้า” ที่ใช้กระบองทุบมนุษย์โลหะที่ขวางทางจนแหลก
จามาล: เกะกะเกะกะเกะกะ! ไอ้พวกความน่าอายของจักรวรรดิที่ไม่เห็นหัวองค์จักรพรรดิ อย่ามาขวางทางชั้นนะเฟ้ย!
คนที่สองเป็นชายสวมผ้าปิดตาที่ใช้ดาบคู่ผ่าร่างของตุ๊กตาหินแยกเป็นชิ้นๆ แถมยังเตะซ้ำก่อนกระโจนไปหาเหยื่อรายถัดไป
และคนที่น่าประทับที่สุดก็คือนักดาบผมแดงที่วิ่งฝ่าไปกลางดงแล้วใช้วิชาดาบสุดดุดันผ่าร่างของมนุษย์เหล็กคนแล้วคนเล่าจนแหลก
เขาคือ “ไฮน์เคล แอสเทรอา” หนึ่งในผู้ติดตามของพริสซิลล่านั่นเอง
. คูนาและโฮลี่รู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาดยามได้เห็นการต่อสู้ของไฮน์เคล บางทีคงเป็นเพราะใบหน้าที่เจ็บปวดเหมือนคนอยากตายของนักดาบผมแดง
มันคล้ายกับใบหน้าของนักรบที่อยากตายในการสู้รบ เหมือนนักล่าชราบางคนในเผ่าชูดราคที่เลือกไปล่าเหยื่ออันตรายเพื่อจะได้ตายอย่างสมเกียรตินักล่า
ทว่า คูนามองว่าไฮน์เคลไม่ใช่กรณีข้างต้น เขาอยากตาย แต่ก็กลัวความตายจนต่อต้านสุดกำลัง นั่นแหละที่ทำให้ใบหน้าของไฮน์เคลยิ่งดูเจ็บปวดทวีคูณขึ้นไปอีก
. ทาริตต้าตามมาสมทบเป็นคนสุดท้าย ในความเห็นของเธอ ไฮน์เคลแอบน่าขนลุกก็จริง แต่กำลังรบของเขาก็เป็นสิ่งจำเป็นในภารกิจบุกปราการครั้งนี้
ทาริตต้า: ลูกธนูใกล้หมดแล้วสินะคะ หาเวลาไปเก็บลูกธนูที่หล่นอยู่กลับมาเติมก่อนก็ได้ อย่าเปลืองลูกธนูกับศัตรูหนึ่งคนมากเกินจำเป็นค่ะ
คูนา: คือมันมีเหตุผลอยู่…
โฮลี่: ศัตรูมันไม่ตายในดอกเดียวนะสิค้า~!
ทาริตต้า: มีเคล็ดลับในการเก็บในดอกเดียวอยู่ เล็งไปที่หัวใจค่ะ ――แบบนี้
ว่าแล้วทาริตต้าจึงแผลงศรออกไปสามดอกในทันที ลูกธนูพุ่งไปปักใส่แผ่นหลัง ศีรษะและต้นขาของตุ๊กตาหินสามตัวที่พยายามตลบหลังมิเซลด้า
ลูกธนูเข้าเป้าคนละจุดกันแท้ๆ แต่มนุษย์โลหะทั้งสามสิ้นชีพในดอกเดียวทันที
คูนา: เดี๋ยวสิๆๆ ไหงมันถึงตายในดอกเดียวล่ะเนี่ย!? หัวใจเรอะ?
โฮลี่: แต่เพราะเป็นตุ๊กตาหิน ก็เลยไม่รู้ว่าหัวใจอยู่ตรงไหนนี่สิค้า
ทาริตต้า: งะ…งั้นเหรอคะ? ถ้าลองสังเกตให้ดี มันจะมีตำแหน่งที่ดูท่าทางสำคัญอยู่ค่ะ…
คูนาและโฮลี่พากันอึ้งในประสาทสัมผัสที่เฉียบคมของทาริตต้า เธอช่างเติบโตขึ้นมากหลังเดินทางไปเคออสเฟลม ดูพึ่งพาได้สมกับที่เป็นหัวหน้าเผ่าและน้องสาวของมิเซลด้า
. ถึงแม้คูนากับโฮลี่จะเลียนแบบทาริตต้าไม่ได้ แต่พวกเธอก็ตั้งมั่นที่จะจู่โจมต่อด้วยวิธีการของพวกเธอเอง
ทาริตต้าเตือนว่าแม่ทัพโมโกรตัวจริงอาจจะปะปนอยู่ในหมู่ตุ๊กตาหิน ดังนั้น พวกเธอจึงต้องระวังตัวให้ดี ถึงอย่างไรเก้าแม่ทัพเทวะก็เป็นพวกอสุรกายเหนือสามัญสำนึก
ระหว่างนั้นเอง มิเซลด้าที่เหลือขาข้างเดียวจนต้องติดขาเทียมก็ลุยทะเล่อทะล่าอยู่แนวหน้าจนน้องสาวอดเป็นห่วงไม่ได้
ทาริตต้า: ท่านพี่ อย่าไปไกลเกินไปนะคะ! เดี๋ยวก็ได้ตายคนเดียวหรอกค่ะ!
ทาริตต้ายิงธนูไปสอยหัวตุ๊กตาหินหนึ่งตัว พอมิเซลด้าได้ยินน้องสาวตะโกนเตือน เธอก็โบกมือให้แบบไม่ทุกข์ร้อน
คูนาและโฮลี่ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เห็นทาริตต้าออกจากเงาของพี่สาวแบบนี้
คูนา: เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับมารีอูลี เลยไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้…
โฮลี่: พอได้เห็นทาริตต้าเติบโตขึ้นอย่างสง่างามแล้ว พวกเราก็ปลื้มใจไปด้วยค่า~
ทาริตต้า: ใช่เวลามาพูดอะไรแบบนั้นเหรอคะ!? ทั้งสองคน ตั้งใจต่อสู้หน่อยค่ะ!!
กองทัพตุ๊กตาหินเริ่มเข้าล้อมทั้งสาม โฮลี่จึงเปิดฉากด้วยธนู แล้วคูนาก็ใช้ขวานเล็กจามซ้ำต่อทันที สองสาวรู้สึกมั่นใจขึ้นที่ได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่หัวหน้าเผ่าที่พึ่งพาได้
ในศึกตัดสินครั้งนี้ เหล่านักรบเผ่าชูดราคตั้งใจจะเอาชัยชนะมาให้ได้เพื่อเติมเต็มพันธสัญญาเก่าแก่ระหว่างจักรพรรดิหลายรุ่นก่อนและเผ่าของพวกเธอ
. ตุ๊กตารูปร่างมนุษย์ที่ไร้ใบหน้าและไร้จิตสังหารกระโจนเข้ามาหา ไฮน์เคล แอสเทรอาจึงตวัดดาบอย่างรุนแรงเพื่อเป่าท่อนบนของศัตรูให้ขาดกระจุย
ในเมื่อศัตรูเป็นตุ๊กตาหิน วิชาดาบที่เฉียบคมสง่างามย่อมไม่ได้ผลดี สิ่งที่จะช่วยในการเผด็จศึกได้เร็วคือวิชาดาบแบบดุดันที่ผ่าร่างศัตรูให้แหลก
“ทำไมเราถึงมากวัดแกว่งดาบอยู่บนแผ่นดินจักรวรรดิ?”
“หลังจากความอัปยศเมื่อคราวก่อน ทำไมเราถึงยังถือดาบอยู่อีก?”
“ทำไมเราถึงมาสู้อยู่ในที่ที่บุคคลที่เราต้องการแสดงความมีประโยชน์ให้เห็นไม่ได้อยู่ด้วย?”
คำถามมากมายเริ่มก่อตัวขึ้นในหัวของไฮน์เคล ระหว่างที่เขากวัดแกว่งดาบปัดเป่าร่างของเหล่าตุ๊กตาหินให้กระจุยกระจาย
ไฮน์เคลลืมไปแล้วว่าครั้งล่าสุดที่เขารู้สึกสนุกยามได้กวัดแกว่งดาบคือเมื่อไร เพราะว่าดาบนั้นเป็นภาระที่เหนี่ยวรั้งตัวเขาไว้มาโดยตลอด
ไฮน์เคล: บ้าเอ๊ย
นักดาบผมแดงได้แต่กวัดแกว่งดาบสังหารศัตรูในรัศมีและถามตัวเองย้ำๆ ว่า “ทำไมกัน?”
ไฮน์เคล: แม่งเอ๊ย
ไฮน์เคลเคยได้รับการสอนว่านักดาบต้องตั้งสมาธิและทำจิตให้ว่างเปล่าเพื่อที่จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ จากนั้นวิชาดาบก็จะเฉียบคมขึ้น
มันคือคำสอนจากบิดาที่ตัวเขาไม่เคยจะเข้าใจได้เลย
ไฮน์เคล: แม่งเอ๊ย
การทำจิตให้ว่างเปล่ามันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อแค่การ “คิด” จะทำจิตให้ว่างเปล่าก็แปลว่าจิตไม่ได้ว่างเปล่าจริงๆ แล้ว
คนบ้าอะไรคิดแต่เรื่องดาบอย่างเดียวโดยที่ไม่เหลืออย่างอื่นในหัวเลยได้?
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์ย่อมมีความคิดกังวลตลอดเวลา เราหิว เราหายใจ เรารู้สึกคัน รู้สึกง่วง คิดถึงครอบครัว กังวลถึงอนาคตวันพรุ่งนี้ กังวลถึงสิบวินาทีต่อจากนี้ นึกเสียใจต่อความผิดพลาดเมื่อสิบวินาทีก่อนหรือของเมื่อวาน ความคิดของผู้คนนั้นไร้ที่สิ้นสุด
“การเป็นนักดาบที่แท้จริงต้องแยกจิตตัวเองได้แบบเหนือมนุษ์มนาขนาดนั้นเชียวเหรอ? นั่นเหรอคือเหตุผลที่ตัวเราไม่ใช่นักดาบ?”
ไฮน์เคล: เชี่ยเอ๊ย!
. ภายใต้ความเครียดในใจที่ถาโถมเข้ามาไม่สิ้นสุด ไฮน์เคลยังคงกวัดแกว่งดาบต่อไปเพื่อป่นเหล่าตุ๊กตาหินตรงหน้าให้เป็นเศษหินกรวด
คำพูดของเด็กหนุ่มผมทอง(การ์ฟีล)ที่เขาพบตอนกำลังเมากลับมาหลอกหลอนอยู่ในหัว
[การ์ฟีล: คนที่จะแก้ไขเรื่องที่ตัวเองทำพลาดไปได้น่ะ ก็มีแต่ตัวแกเองเท่านั้นล่ะวะ เพราะงั้นแหละ ลุงเองก็น่าจะทำได้เหมือนกันนะเฟ้ย――]
ไฮน์เคล: หุบปากไปเลย ไอ้เด็กเวร!!
จะคำให้กำลังใจ คำปลอบใจ ความสงสารหรืออะไรก็ช่าง ไฮน์เคลไม่ต้องการอะไรจากบุคคลอื่น นอกจากผลประโยชน์ที่จะได้มาจากผลงานของเขาเท่านั้น
. ไฮน์เคลตวัดดาบ “แอสเทรอา” เป็นแนวนอนเก็บตุ๊กตาหินตรงหน้าสองตัวในฉับเดียว แล้วกระทุ้งปลอกดาบใส่ศัตรูอีกตัวที่ลอบมาทางด้านข้าง ก่อนจะชักดาบกลับมาแทงซ้ำ
ศัตรูไร้สามัญเหล่านี้ จะมาสิบหรือยี่สิบตัวพร้อมกันเขาก็เก็บกวาดได้ แต่จะทำไปเพื่ออะไรในเมื่อบุคคลที่เขาอยากแสดงพลังให้เห็นไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย?
“ทำไมเราถึงยังมีชีวิตอยู่?”
“เราคิดจะใช้ดาบเล่มนี้พิสูจน์อะไร?”
“เราต้องการสิ่งใดกันแน่?”
เหล่าทัพกบฏเริ่มรุดหน้าบุกได้ลึก นอกจากไฮน์เคลแล้ว มิเซลด้าที่ใช้กระบองกับจามาลที่มีวิชาดาบสง่างามผิดกับหน้าตาก็ทำผลงานได้โดดเด่น
กระทั่งหัวหน้าเผ่าชูดราคยังถือธนูเข้ามาต่อสู้ในแนวหน้า เป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้คนที่ถอยทัพก่อนหน้านี้กลับมาลุกฮืออีกครั้ง
. การที่ไฮน์เคลสามารถบุกตะลุยอยู่ที่แนวหน้าได้เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าปราการที่ 3 มีการป้องกันอ่อนแอที่สุดอย่างที่วินเซนต์ประเมินเอาไว้
หากมีศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ อยู่ ไฮน์เคลมองว่าตัวเขาคงลุยอยู่แนวหน้าแบบนี้ไม่ไหวและคงไม่มีผู้คนมากมายติดตามหลังเขาเหมือนหัวหน้าทัพอยู่แบบนี้แน่ๆ
ทาริตต้า: ――ตามหลังเขาไป!
จามาล: อย่าให้ผู้ชายผมแดงได้ความดีความชอบไปคนเดียว! ตามกันไปเลย พวกเรา!
มิเซลด้า: วิชาดาบไม่เลวเลย ขอแค่โกนเคราสักหน่อย หน้าตาก็ใช้ได้แล้ว
ไฮน์เคล: บ้าเอ๊ย… เข้ามาเลย มาอีกสิวะ! ทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้ทำคะแนนอะไรไม่ได้แท้ๆ…
ปราการที่ 3 อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่แน่ว่าถึงแม้ตัวเขาจะไม่ได้ปราบแม่ทัพฝ่ายศัตรู แต่ถ้าหากยึดจุดยุทธศาสตร์นี้ได้สำเร็จ
บางทีเกียรติยศนี้อาจจะพอแก้ไขความผิดพลาดที่ตัวเขาก่อที่นครกัวลาล มันอาจจะช่วยให้พริสซิลล่ายกโทษให้เขา แม้จะแค่เล็กน้อยก็ยังดี
. ทว่า ระหว่างที่ไฮน์เคลกำลังกระโจนเข้าไปหากำแพงปราการนั้น ก็มีน้ำเสียงไร้อารมณ์ดังขึ้นมาข้างหูเขา
??: ――แก ฆ่าฉัน ก่อน
ไฮน์เคล: …
แค่เสียงเรียกเพียงสั้นๆ นั้น ทำให้ไฮน์เคลถึงกับหยุดหายใจและสั่นกลัวไปทั้งร่าง
ความคิดความกังวลทั้งหลายในหัวพลันขาวโพลนไปหมด เหลือแต่เพียงความกลัวจากการที่เขาได้เผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ต่างชั้นกับตนเองจนเกินไป
??: มาฆ่า ฉัน ก่อน เพราะงั้น ฉัน จะฆ่า แก
ปราการที่ 3เริ่มบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนแปลงรูปร่าง แถมยังมี “ลูกแก้ว” เรืองแสงสีเขียวจำนวนมากมายปรากฏขึ้นบนกำแพง
ไฮน์เคลเข้าใจทันทีว่า “ลูกแก้ว” เหล่านั้นคือดวงตาของสิ่งมีชีวิตที่จดจ้องมาทางเขาพร้อมๆ กัน แรงกดดันนั้นทำให้มือที่กำดาบของเขาเริ่มหละหลวม
??: หายไปซะ
ชั่วพริบตาต่อมา ร่างของไฮน์เคลก็ถูกกำปั้นศิลาขนาดยักษ์ซัดเข้าเต็มๆ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วระหว่างที่เขากระเด็นไปกลางเวหา
โมโกร: ――เก้าแม่ทัพเทวะ “ลำดับแปด” โมโกร ฮากาเนะ
อีกฝ่ายแนะนำตัวเป็นพิธีตามแบบฉบับนักรบ แต่ระดับมันต่างกันเกินไป ร่างของไฮน์เคลที่ทัศนวิสัยหมุนวนอยู่กำลังจะหมดสติลง
ไฮน์เคล: …
แม่ทัพ “โมโกร ฮากาเนะ” ผสานร่างเข้ากับปราการที่สามจนกลายเป็นปราการที่สามารถต่อสู้กลับได้เสียแล้ว
. จบตอน