
บทที่ 7 ตอนที่ 94 "ปณิธานเพื่อใครสักคน"
เบียทริซที่ยังคงหลับตาเพื่อเก็บพลังงานได้ยินเสียงแห่งศึกสงคราม คล้ายกับที่เธอเคยได้ยินเมื่อ 400 ปีก่อน
ในยุคสมัยของแม่มด ประเทศก่อสงครามกันเป็นว่าเล่น ผู้คนเข่นฆ่าชีวิตกันเป็นธรรมดา แต่ท่านแม่ก็ให้เบียทริซเก็บตัวอยู่ห่างจากสงครามของมนุษย์ในยุคนั้น
เบียทริซได้ยินเสียงเด็กสามคนคุยกัน ซึ่งประกอบด้วย อูตาคาตะ ชูลท์และรุย อาร์เน็บ
ชูลท์กระวนกระวายไม่หยุดทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดัง ส่วนอูตาคาตะกับรุยใจร้อนอยากเข้าไปบวกด้วยเต็มที แต่พริสซิลล่ากับมิเซลด้าได้กำชับไว้ไม่ให้เด็กทั้งสองเข้าร่วม
เด็กทั้งสามคน รวมถึงเบียทริซ มีหน้าที่เพียง “รอคอย” อยู่ที่ค่ายบัญชาการหลักบนยอดเนินเล็กๆ ที่มองเห็นสนามรบจากชายขอบ
เบียทริซแอบไม่พอใจที่เธอถูกเหมารวมกับกลุ่มเด็กพวกนี้ แต่เธอก็จำใจต้องอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานไปก่อน
. ออตโต้แอบวานเบียทริซให้เธอช่วยจับตาดูรุยไว้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งอาจจะเป็นแค่การปลอบใจให้เบียทริซรู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ ไม่ได้ไร้ประโยชน์
รุย: อู~?
เบียทริซ: …นี่แก ทำอะไรกันยะ?
อยู่ดีๆ รุยก็เอามือมาลูบหัวเบียทริซ เธอจึงระแวงว่าจะถูกกินชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม
อูตาคาตะ: “เบ” ทำหน้าน่ากลัว ยังไม่ชอบ “รู” อยู่อีกเหรอ?
เบียทริซ: กล้าว่าใบหน้าสุดแสนน่ารักของเบ็ตตี้เหรอยะ อีกอย่างเบ็ตตี้ไม่ได้ไม่ชอบยัยเด็กคนนี้ย่ะ… เรียกว่า “เกลียด” เลยดีกว่า
เบียทริซเกลียดรุย อาร์เน็บ ไม่สิ เธอเกลียดชังบิชอปบาปตะกละทุกคนที่ทำให้สุบารุต้องทนทุกข์ทรมาน
สภาพของสุบารุที่พยายามพูดคุยกับเรมที่หลับไม่ฟื้นแทบทุกคืน ทำให้เบียทริซนึกเสียใจที่เธอไม่ได้ให้ความช่วยคนรอบตัวก่อนทำสัญญากัน
ถ้าหาก เบียทริซยอมช่วยพวกสุบารุตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าพวกเธออาจจะป้องกันการที่เรมถูกลบตัวตนไว้ได้
ความเสียใจนั้นทำให้เบียทริซตั้งมั่นที่จะไม่ทำให้สุบารุเผชิญเรื่องทุกข์ทรมานอีกต่อไป แต่ตัวเธอในตอนนี้กลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย
. สักพักหนึ่ง ซีคูร์ ออสมัน ก็เข้ามาแจ้งข่าวพวกเด็กๆ ว่าเหล่าผู้บัญชาการอาจจะต้องเคลื่อนพลไปที่แนวหน้าหลังจากนี้ หากกำลังรบหลักสามารถตีปราการให้แตกได้สำเร็จ
วอลลาเคียคือประเทศแห่งหมาป่าดาบ กระทั่งผู้นำสายบัญชาการก็จำเป็นต้องแสดงความแข็งแกร่งออกมาด้วยการไปอยู่ที่แนวหน้า
ชูลท์: นี่หรือว่า ท่านซีคูร์ก็ต้องไปร่วมศึกเหมือนกันขอรับ?
ซีคูร์: อย่างที่เดาเลย ฉันก็ต้องไปด้วยครับ ถึงทางเราจะได้เปรียบด้านจำนวน แต่ก็ยังเสียเปรียบในแง่จำนวนของ “แม่ทัพ” ที่ยศสูงกว่าชั้นโทอยู่ดีครับ ถึงได้ต้องปรับเปลี่ยนสถานการณ์หน่อย
เบียทริซ: …ทำไมกันยะ? …ทำไมนายถึงต้องถ่อมาที่นี่ด้วยยะ? ด้วยตำแหน่งของนาย สั่งลูกน้องมาแจ้งข่าวแทนก็ได้นี่? ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาหาพวกเบ็ตตี้เองเลยย่ะ
ซีคูร์: อา เรื่องนั้นเหรอครับ ก็ที่ค่ายบัญชาการน่ะมีแต่ผู้ชาย เหล่าสตรีเผ่าชูดราคก็ไปอยู่แนวหน้ากันหมด หากต้องการกำลังใจก่อนไปรบที่แนวหน้า ได้จากสตรีย่อมดีต่อใจกว่าครับ
เบียทริซ: …หา?
ชูลท์: อย่างงี้นี่เองขอรับ! จริงด้วย ที่นี่มีทั้งท่านอูตาคาตะ ท่านรุยและเบียทริซจังเลยนะขอรับ!
ก่อนหน้านี้เบียทริซนึกว่าซีคูร์นั้นเป็นคนที่ปกติที่สุดบรรดาชาววอลลาเคียที่เธอได้เจอ แต่คำตอบที่เหนือความหมายของเขาก็ทำเอาเบียทริซไปต่อไม่เป็น
. แน่นอนว่าการเปลี่ยนข้างเป็นของซีคูร์ย่อมทำให้เขาถูกครอบครัวมองเป็นกบฏ เบียทริซไม่เข้าใจว่าซีคูร์ยอมเสียสละขนาดนั้นเพื่อะไร เขาดูไม่ใช่พวกบ้าการต่อสู้เลยแท้ๆ
ซีคูร์: แน่นอนว่าฉันศรัทธาและภักดีต่ออนาคตของจักรวรรดิวอลลาเคีย แต่ก็เป็น “จอมตาขาว” อยู่วันยังค่ำ เลยไม่รู้ว่าจะต้านทานได้นานแค่ไหนครับ เพราะงั้น ช่วยมอบให้ทีได้ไหมครับ คุณหนูเบียทริซ?
เบียทริซ: …อะไรล่ะยะ?
ซีคูร์: แน่นอนอยู่แล้วครับ ――การอวยพรจากสตรีผู้งดงามไงล่ะ
ซีคูร์มอบดาบของเขาให้แก่เบียทริซ จากนั้นก็คุกเข่าและก้มหัวลง เบียทริซนึกย้อนถึงพิธีมอบยศอัศวินที่สุบารุเคยเข้าร่วมและใช้ดาบแตะไหล่ซีคูร์สองข้างเลียนแบบเอมิเลีย
ซีคูร์น้อมรับคำอวยพรจากเบียทริซแล้วเก็บดาบเข้าฝัก ถัดจากเธอ อูตาคาตะก็ใช้มีดที่ทำจากเขี้ยวสัตว์เฉือนมือตัวเองให้เลือดไหล แล้วประทับฝ่ามือลงบนเสื้อเกราะของซีคูร์
อูตาคาตะ: เลือดของชูดราค คือเลือดของนักรบผู้แกร่งกล้า “ซี” เองก็แกร่งเหมือนกัน
ซีคูร์: ขอบพระคุณ
ชูลท์: อะ…เอ่อคือว่า… ผมคิดอะไรอย่างเบียทริซจังกับท่านอูตาคาตะไม่ออก เลยขอให้กำลังใจแทนนะขอรับ! ฮูเร่! ฮูเร่! ท่านซีคูร์! ขอรับ!
ซีคูร์น้อมรับเสียงเชียร์ของชูลท์ด้วยรอยยิ้ม ถัดจากนั้นรุยก็เข้ามากอดซีคูร์ต่อ เบียทริซรู้สึกประหลาดใจที่รุยมีความรู้สึกโพซิทีฟต่อซีคูร์เช่นนั้น
ซีคูร์ประหลาดใจเล็กน้อยต่อท่าทีของรุย แต่สุดท้ายเขาก็แตะไหล่เธอเบาๆ เพื่อบอกลาแล้วเดินออกจากเต้นท์ไป
แผ่นหลังของซีคูร์ผู้ก้าวเดินเข้าสู่ศึกสงครามด้วยปณิธานแรงกล้านั้น ทำให้เบียทริซนึกถึงผู้คนที่มาเยี่ยมหาท่านแม่ของเธอเมื่อ 400 ปีก่อน
หลังซีคูร์จากไปแล้ว เบียทริซก็หันไปทักหารุยที่ยังทำหน้างงเหมือนเด็กเอ๋อที่ไม่คิดอะไร ทว่า เบียทริซจะไม่ประมาทและด่วนสรุปเช่นนั้น
เบียทริซ: นี่แกน่ะ อยู่ข้างไหนกันแน่ยะ?
. ตัดกลับไปทางเอมิเลีย vs มาเดลิน หลังจากที่มาเดลินถูกดาบคู่น้ำแข็งฟันจนกระเด็น เพราะการโจมตีของเธอถูกสุบารุน้ำแข็งขัดเอาไว้
มาเดลิน: อึก!?
เอมิเลีย: ขอบใจนะ!
เวทสร้างทหารน้ำแข็ง 7 คนนี้ เอมิเลียตั้งใจจะขอให้สุบารุช่วยตั้งชื่ออย่างเป็นทางการให้มันอีกที
เอมิเลีย: เพราะงั้น ตอนนี้เป็นแค่คุณทหารไปก่อน มาลุยกันเลย!
เหล่าทหารน้ำแข็งชูกำปั้นขึ้นเฮตามเอมิเลียแล้วกรูกันเข้าไปรุมมาเดลิน กลายเป็นภาพที่เหมือนผู้ใหญ่ 8 คนรังแกเด็กน้อย
ทว่า มาเดลินกลับใช้กรงเล็บของเธอข่วนทหารน้ำแข็งสองคนจนท่อนบนแหลกสลายโดยทันที ทั้งที่น้ำแข็งของเอมิเลียนั้นแข็งแกร่งราวกับหินผาหรือเหล็กกล้าเลย
. เอมิเลียนึกขอโทษเบียทริซในใจที่ทำสุบารุน้ำแข็งแตกจากนั้นก็เข้าไปลุยต่อ ทว่า ดาบคู่น้ำแข็งของเธอแตกทันทีที่ฟันใส่ไหล่ของเด็กสาวเผ่ามนุษย์มังกร
เอมิเลีย: ถ้างั้นก็!
เอมิเลียไม่รอช้า เธอเปลี่ยนละอองน้ำแข็งจากดาบที่แตกออกให้กลายเป็นค้อนน้ำแข็งโดยทันที จากนั้นก็ใช้ทหารน้ำแข็งสองคนเป็นแท่นเหยียบเพื่อโจมตีต่อเนื่อง
เอมิเลียกระโจนตัวเข้าไปใช้ค้อนน้ำแข็งหวดใส่หน้ามาเดลินด้วยแรงที่ควรจะส่งร่างของเด็กสาวให้กระเด็นขึ้นฟ้า ทว่า ค้อนน้ำแข็งของเธอกลับเป็นฝ่ายที่แตกสลายเสียเอง
มาเดลินเตะสวนเข้ามาทันที เอมิเลียจึงเสกโล่น้ำแข็งมากันไว้ชั้นหนึ่งเพื่อเบี่ยงการโจมตีให้เฉี่ยวศีรษะของเธอไปได้สำเร็จ
มาเดลิน: อย่ามาดูถูก มังกรผู้นี้!!
พอมาเดลินชูกรงเล็บขึ้น สายลมกรรโชกรุนแรงก็พัดร่างของเอมิเลียจนกระเด็นไปมา แถมเธอยังคว้าคมดาบปีกบินที่ปักพื้นอยู่ขึ้นมาเขวี้ยงใส่เอมิเลียที่ลอยอยู่กลางอากาศซ้ำอีก
เอมิเลียเกร็งท้องเพื่อเตรียมรับอาวุธบิน แต่เปลี่ยนใจทันทีเพราะเธอไม่น่าจะป้องกันมันได้ ตอนนั้นเองที่หนึ่งในทหารน้ำแข็งคว้ามือของเอมิเลียและช่วยโยนเธอให้พ้นทาง
นั่นส่งผลให้ทหารน้ำแข็งถูกคมดาบปีกบินขยี้จนแหลกแทนที่ตัวเธอ
เอมิเลีย: สุบารุ!!
. ทหารน้ำแข็งคนที่เหลือพยายามโยนร่างเอมิเลียส่งต่อกันเพื่อให้เธอหลุดพ้นจากระยะโจมตีของมาเดลิน
มาเดลิน: พอกันที! เลิกเล่นได้แล้ว!
เด็กสาวกระทืบเท้าจนพื้นแตกเพื่อเสริมแรงขว้างอาวุธบิน คมดาบปีกบินหมุนควงด้วยความเร็วสูงจนกลายเป็นกงจักรแห่งความตายที่พร้อมจะขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เอมิเลีย: ขอร้องล่ะ!
แต่ก่อนที่มันจะมาถึงตัว ทหารน้ำแข็งที่มีอาวุธครบมือก็ต่อตัวกันมาขวางกลางระหว่างเอมิเลียกับอาวุธบิน ซึ่งแน่นอนว่าพลทหารสุบารุทั้งหมดแหลกสลายในพริบตา
ทว่า เหล่าทหารทำหน้าที่สำเร็จในการลดความรุนแรงของอาวุธบินลงเล็กน้อย ซึ่งมอบเวลามากพอให้เอมิเลียเสกบู๊ทน้ำแข็งที่มีส้นขนาดใหญ่ขึ้นมาสวม
เอมิเลีย: ฮึ่ย…ย่าห์!!
เอมิเลียที่ใช้สองมือแตะพื้นควงขาเตะสวนเข้าใส่กงจักรสังหาร กระดูกทั่วร่างของเธอลั่นเอี๊ยดจากการปะทะ แต่เธอก็เตะเสยคมดาบปีกบินจนลอยขึ้นฟ้าได้สำเร็จ
มาเดลิน: ได้ไง!?
เอมิเลีย: คราวนี้… เอาคืนไปบ้าง!
ระหว่างที่มาเดลินกำลังฉงน เอมิเลียก็กระโดดตามขึ้นไปคว้าคมดาบปีกบินกลางอากาศด้วยสองมือ แล้วเขวี้ยงมันกลับคืนแบบสุดกำลัง
ทว่า ด้วยน้ำหนักที่มากเกินไปและขาดประสบการณ์ใช้งาน อาวุธบินที่เอมิเลียขว้างเลยบินพลาดเป้าไปผิดทาง
. มาเดลินที่เดือดดาลยิ่งขึ้น พยายามวิ่งตามไปเก็บคมดาบปีกบิน เอมิเลียจึงเสกกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาขวางทาง ปรับเปลี่ยนแผนเป็นการแยกตัวมาเดลินจากอาวุธของเธอ
กำแพงน้ำแข็งทั้งสูงและหนาจนพังทลายหรือกระโดดข้ามได้ยาก มิหนำซ้ำเอมิเลียยังเรียกทหารน้ำแข็งสุบารุทั้ง 7 กลับมายืนกอดอกล้อมเด็กสาวไว้อีก
เอมิเลียยกข้อเสนอต่อมาเดลินที่สูญเสียอาวุธคู่ใจว่าหากเธอยอมแพ้ เอมิเลียก็จะหยุดการต่อสู้ลงแค่นี้
มาเดลิน: ――เหตุใดเจ้าถึงคิดว่ามังกรผู้นี้จะยอมแพ้แค่นี้?
มาเดลินประทับฝ่ามือลงบนกำแพงน้ำแข็ง แล้วส่งคลื่นกระแทกที่ทำให้กำแพงน้ำแข็งแตกร้าวไปทั่ว
มาเดลิน: การพูดคุยกับมนุษย์อย่างพวกเจ้าทำให้มังกรผู้นี้ปวดหัว ทั้งเจ้า ทั้งยัยผู้รักษานั่น ทั้งตาแก่หงำเหงือก ล้วนแต่ขวางทางมังกรผู้นี้กันหมด…
มาเดลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาซึ่งมีทั้งโทสะ ความเศร้าโศกและหลากอารมณ์ปะปนอยู่ กระทั่งตัวเด็กสาวเองก็ไม่รู้เลยว่าอารมณ์ใดเด่นชัดที่สุด
เอมิเลีย: มาเดลิน เธอน่ะต่อสู้ไปเพื่ออะไร?
คำถามนั้นทำให้มาเดลินหันกลับมาจ้องเอมิเลียด้วยสายตาน่าขนลุก แต่เอมิเลียก็ระงับสัญชาตญาณถอยหนีและจ้องดวงตาสีทองกลับ
เอมิเลีย: คงจะเป็นดีที่สุดถ้าหากสามารถคุยกันได้ มาเดลิน ทำไมเธอถึงต่อสู้? สู้ไปเพื่อใครกัน?
มาเดลิน: …เจ้านี่ ทำไมถึง… ทำไมเจ้าถึงได้ต่อต้าน? ไม่มีทางที่จะเอาชนะมังกรผู้นี้ได้อยู่แล้ว
เอมิเลีย: อา…
มาเดลิน: เหตุใดเจ้า…เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ต่อต้านกัน?
พอมาเดลินตอกกลับด้วยคำถาม เอมิเลียจึงรู้ตัวว่าฝ่ายเธอต้องยอมเปิดใจก่อน หากอยากที่จะถามความในใจของอีกฝ่าย
เธอต่อสู้ไปเพื่ออะไร? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? คำตอบนั้นก็คือ――
เอมิเลีย: เพื่อมารับตัวท่านอัศวินคนสำคัญของฉัน… อื้อ ท่านอัศวินคนสำคัญของทุกคนเลยนั่นแหละ
เอมิเลียเอ่ยพลางแตะไหล่ของสุบารุน้ำแข็งข้างตัวที่จำลองออกมาได้เหมือนทั้งทรงผมและ “เสื้อวอร์ม” แต่ถึงอย่างไรก็จำลองความพึ่งพาได้ของสุบารุตัวจริงไม่ได้อยู่ดี
ทั้งคำพูดที่มองด้านบวกอยู่เสมอ ท่าทีที่พึ่งพาได้ ความอ่อนโยนที่ทำให้เปี่ยมสุข ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับนัตสึกิ สุบารุ ทำให้หัวใจของเอมิเลียอบอุ่นยามที่นึกถึงเขา
. เอมิเลีย: นั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันต่อสู้ มาเดลิน แล้วเธอล่ะ?
หากอีกฝ่ายมีคนที่อยากปกป้องอยู่ ไม่แน่ว่าพวกเธออาจจะตกลงร่วมมือกันได้ นั่นอาจจะเป็นการเปิดทางให้เธอไปช่วยสุบารุกับเรมได้สำเร็จ
มาเดลิน: ――บัลรอย เทเมกริฟ
เอมิเลีย: …นั่นเป็นชื่อของใครเหรอ?
มาเดลิน: นามของชายผู้ที่ควรจะเป็นคู่ชีวิตของมังกรผู้นี้ ――เขาคือเหตุผลทุกอย่างที่มังกรผู้นี้ต่อสู้
ทว่า มาเดลิน เอสชาร์ต นั้นต่อสู้ไปเพื่อสิ่งที่ตัวเธอได้สูญเสียไปแล้ว
เด็กสาวมนุษย์มังกรแค่เพียงฝืนทนเพื่อเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ มันจึงสายเกินกว่าที่เอมิเลียจะสรรหาคำพูดมาโน้มน้าวมาเดลินได้อีก
มาเดลิน: ――สังหารชายผู้ที่ฆ่าบัลรอย นั่นแหละคือความปรารถนาที่รอคอยมาเนิ่นนานของมังกรผู้นี้
หลังเอ่ยจบ มาเดลินก็ใช้ฝ่ามือขยี้กำแพงน้ำแข็งจนพังทลายในคราเดียว เอมิเลียจึงจำใจต้องส่งทหารน้ำแข็งเข้าไปขัดขวางมิให้มาเดลินเก็บคมดาบปีกบินขึ้นมาได้
มาเดลิน: เมโซเรย์อาาาาาา――!!
เด็กสาวแหกปากตะโกนขึ้นสู่ฟากฟ้าท่ามกลางสะเก็ดน้ำแข็งที่แตกสลาย เอมิเลียรู้ตัวทันทีว่าการโจมตีใหญ่แบบตอนเมืองกัวลาลกำลังจะตามมา
ลำแสงสีขาวในครานั้นทำลายเมืองจนราบคาบ เปลี่ยนลักษณะภูมิประเทศไปหมด มิหนำซ้ำในคราวนี้เอมิเลียยังตัวคนเดียว ไม่ได้มีพริสซิลล่าอยู่ช่วยป้องกันอีก
[เมโซเรย์อา: ――ข้า เมโซเรย์อา ขอน้อมรับเสียงเพรียกหาของบุตรีผู้เป็นที่รักและจักเป็นสายลมจากเวหา]
“มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา กระพือปีกสีขาวเพื่อนำร่างที่รายล้อมไปด้วยหมู่เมฆลงมาสู่นครหลวงลูปุกาน่าตามเสียงเรียกของมาเดลิน เอสชาร์ต
. จบตอน