
บทที่ 7 ตอนที่ 95 "หอรบจนมุม"
การ์ฟีลที่ยังคงเหนื่อยหอบหลังปราบแม่ทัพคาฟแม่ อิรูลุกซ์ลงได้ เหลือบไปเห็น “มังกรแท้” ที่มีเมฆปกคลุมลอยตัวลงมาจากท้องนภา
มังกรแท้มันปรากฏกายที่หอคอยของเอมิเลีย การ์ฟีลกลัวว่าเธอจะรับมือ “แม่ทัพมังกรบิน” กับ “มังกรเมฆา” พร้อมกันไม่ไหว เขาจึงกะจะรุดหน้าไปเป็นกำลังเสริม
ในฐานะกำลังรบหลักของฝ่าย หากเขาปล่อยให้เอมิเลียเป็นอะไรไป การ์ฟีลคงไม่กล้าสู้หน้าสุบารุอีกเลย
ศึกปะทะกับคาฟม่าทำให้การ์ฟีลบาดเจ็บสาหัส เขาจึงรีบดึงพลังจากผืนดินผ่านพรคุ้มครองเพื่อเร่งความเร็วในการรักษาบาดแผลทั้งภายในและภายนอก
ปกติการเร่งพลังฟื้นฟูขนาดนี้คงทำให้อายุขัยเขาสั้นลง แต่การ์ฟีลเติบโตขึ้นอย่างมากหลังศึกที่เมืองประตูน้ำ มันเลยไม่มีผลอะไรแล้ว
. การ์ฟีล: เฮ้ย พวกเอ็ง! ชั้นคนนี้พังกำแพงให้แล้ว! รีบเข้าไปสิเว้ย!!
ระหว่างที่รอบาดแผลฟื้นฟู การ์ฟีลตะโกนสั่งให้ทัพมนุษย์ม้าที่ยังเหลือรอดอยู่รุดหน้าไปก่อน
ทว่า เหล่ามนุษย์ม้าที่ได้ดูการต่อสู้สุดเดือด รู้สึกเคารพนับถือการ์ฟีลในฐานะนักรบผู้กล้าแกร่ง เลยอยากให้เกียรติเขาเป็นผู้ที่ก้าวข้ามหอรบปคนแรก
การ์ฟีล: โทษทีว่ะ พอดีชั้นคนนี้มีที่อื่นที่ต้องไปก่อน นี่ไม่เหมือน “[วิปฟล็อก] หวนคืน” สักหน่อยเว้ย ――เห็นเจ้านั่นไหม
การ์ฟีลใช้คางชี้ไปหามังกรแท้บนฟากฟ้า เขาอดเจอวอลคานิก้าที่หอคอยเพลอาเดสไปแล้ว ดังนั้นคราวนี้การ์ฟีลจะไม่ขอพลาดโอกาสในการต่อกรกับมังกรแท้อีก
. การ์ฟีลฝากฝังพวกมนุษย์ม้าให้บุกเข้าไปในนครหลวงแทนเขาและเตรียมมุ่งหน้าไปหามังกรแท้สีขาว
ทว่า ตอนนั้นเองที่การ์ฟีลรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง เด็กหนุ่มเลือกเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนและซัดกำปั้นใส่พื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังที่มีเพียงสายลม
??: ――โอ้ ดูการพลางตาของข้าออกด้วยรึ? งานเข้ารึเปล่าเนี่ย?
เกราะแขนของเขากระแทกไปโดนบางสิ่งที่ส่งเสียงพูดแหบแห้งกลับมา แต่การ์ฟีลกลับเป็นฝ่ายที่ได้รับแรงกระแทกเสียเอง
ศัตรูใช้ขาเล็กๆ เตะใส่แผ่นหลังของเขาอย่างรุนแรงน่าเหลือเชื่อ ――ไม่สิ มันไม่ใช่แค่นั้น
??: เป็นพละกำลังของเจ้าทั้งนั้นแหละน้อ แค่ส่งมันคืนกลับให้ผ่านร่างกายของข้าเอง
กระดูกทั่วร่างของการ์ฟีลลั่นเอี๊ยด แรงกระแทกสั่นไหวทั้งเครื่องในและสมองของเขาจนทัศนวิสัยพล่ามัว
. การ์ฟีลกัดฟันฝืนดึงพลังจากร่างกายที่ด้านชาเพื่อตั้งการ์ดป้องกันการโจมตีระลอกสองที่อาจเล็งใส่จุดสำคัญ ทว่า ศัตรูกลับไม่โจมตีต่อเนื่องอย่างที่เขาระแวง
นั่นก็เพราะอีกฝ่ายเลือกปามีด “คุไน” ไปปลิดชีพเหล่ากบฏที่พยายามลักลอบเข้าไปในนครหลวงก่อนนั่นเอง
เหยื่อทุกคนถูกมีดคุไนเสียบหน้าผากไม่ก็หน้าอกจนตายคาที่ สายเกินกว่าที่การ์ฟีลจะทันใช้เวทรักษาช่วยเหลือใคร
ศัตรูของเขาคืออสุรกายในคราบชายแก่ตัวจ้อยหลอกตา แม่ทัพ “โอลบาร์ต ดันคลูเคน” นั่นเอง
การ์ฟีล: นี่เอ็ง…
โอลบาร์ต: โอ้ รอก่อนๆ เดี๋ยวค่อยจัดการกับเจ้าทีหลัง อืม นี่แน่ะ
ชิโนบิเฒ่ายกแขนขวาที่กุดหายไปขึ้นมาโบกจนการ์ฟีลตกใจ โอลบาร์ตใช้จังหวะนั้นในการตวัดเท้าสร้างรอยแตกบนพื้นเป็นแนวยาวคล้ายกับเส้นกั้นฝั่ง
โอลบาร์ต: ถ้าข้ามเส้นนี่มาฝั่งนี้ รับประกันว่าได้ตายทุกคนแน่ล่ะน้อ
. ชายแก่เตือนการ์ฟีลและกลุ่มอมนุษย์ที่ยังเหลือรอด แล้วหัวเราะลั่นที่พวกการ์ฟีลว่านอนสอนง่าย ไม่เหมือนชิโนบิที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ทั้งที่เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
การ์ฟีล: โอลบาร์ต ดันคลูเคน… “ผู้เฒ่าใจมาร” สินะ?
โอลบาร์ต: โดนเรียกด้วยฉายานั้นทีไร ก็ไม่ถูกใจจนต้องบอกงี้ทุกที ฉายานั่นมันคำสบถชัดๆ เลยน้อ
การ์ฟีล: ――ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่?
โอลบาร์ตควรจะมีหน้าที่ปกป้องหอรบอื่น มันจึงน่าแปลกที่เขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในจังหวะนี้
โอลบาร์ต: สาเหตุที่มาอยู่นี่ มันก็ออกจะชัดเจนไม่ใช่รึ? หน้าที่ของพวกข้าคือการกันไม่ให้พวกกบฏบุกเข้ามา แต่เจ้าคาฟม่าดันพลาด เลยต้องมาเก็บกวาดงานให้
ตาเฒ่าลืมตัวใช้มือขวาที่กุดขาดชี้คาฟม่าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายชี้แทน
โอลบาร์ต: ดวงซวยแท้ๆ น้อ ให้ตายสิ เพราะงี้ถึงได้บอกให้จิชายอมออกมา แล้วก็เรียกกรูวี่กลับมาด้วย เจ้านี่มันแพ้อย่างที่คาดไว้เลย
การ์ฟีล: อย่างที่คาดไว้เหรอวะ? ตาแก่ เอ็งน่ะไม่มีสิทธิ์หัวเราะเยาะหมอนั่นนะเว้ย
การ์ฟีลเข้ามายืนขวางกลางระหว่างโอลบาร์ตกับคาฟม่า ถึงแม้พวกเขาจะเป็นศัตรูกัน แต่การ์ฟีลจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกนักรบที่ต่อสู้กับเขาอย่างสมน้ำสมเนื้อเด็ดขาด
การ์ฟีล: หมอนี่น่ะแกร่ง แต่ชั้นคนนี้ดันแกร่งกว่าเท่านั้นเอง
โอลบาร์ต: …? เรื่องนั้นแค่ดูก็รู้แล้วล่ะน้อ ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องนั้นหรอก นี่เจ้าคิดจะสื่ออะไรกันแน่เนี่ย?
การ์ฟีล: เอ็งนี่น่าหงุดหงิดเป็นบ้า! พูดจาแบบนั้นกับคนที่เป็น “แม่ทัพ” ฝั่งเดียวกันได้ไงวะ!? หา!?
โอลบาร์ต: นี่ไม่รู้รึ? ข้าน่ะเป็นแม่ทัพชั้นเอก ส่วนคาฟม่าเป็นแม่ทัพชั้นโท มันไม่เหมือนกันสักนิดเลยล่ะน้อ
. คำพูดของโอลบาร์ตทำให้การ์ฟีลพิโรธจนกระโจนเข้าไปบวกต่อ กับศัตรูแบบโอลบาร์ต การ์ฟีลไม่คิดจะแสดงความเคารพนับถือเหมือนอย่างคาฟม่าเด็ดขาด
การ์ฟีล: อัดแม่งให้เละ!!
การ์ฟีลง้างกำปั้นสองข้างออกแล้วตอกเข้าใส่ศีรษะของชายแก่ร่างเล็กแบบขนาบซ้ายขวา ด้วยพละกำลังมหาศาลระดับต่อยหอรบให้แตกได้
แรงปะทะส่งผลให้พื้นดินเบื้องล่างระเบิดอย่างรุนแรง ฝุ่นควันปลิวว่อนขึ้นฟ้า ――ทว่า โอลบาร์ตกลับยืนยิ้มเยาะโชว์ฟันขาวได้แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร
โอลบาร์ต: สุดยอดไปเลยว่าไหม? แรงปะทะจากการโจมตีของเจ้าถูกปล่อยให้ไหลลงพื้นหมดยังไงล่ะน้อ
การ์ฟีล: …อา
โอลบาร์ต: ที่พื้นระเบิดขนาดนี้แสดงว่าแขนของเจ้ามีพละกำลังใช่เล่นเลยนะเนี่ย
สิ้นเสียงคำพูดนั้น ร่างของชิโนบิเฒ่าก็เล็ดลอดจากสองกำปั้นของการ์ฟีลลงไปเบื้องล่าง แต่พอการ์ฟีลพยายามมองตาม เขากลับถูกโจมตีที่เหนือศีรษะแทน
การ์ฟีล: อ่อก!?
โอลบาร์ต: ถ้าคิดว่าลงล่างก็เล่นงานด้านบน ถ้าคิดว่าขึ้นบนก็เล่นงานด้านล่าง แค่เรื่องพื้นๆ เองนะ
การ์ฟีล: กรรรรร!!
การ์ฟีลที่เดือดดาลหวดกำปั้นสวนเล็งใส่หัวอีกฝ่าย แต่หมัดของเขากลับต่อยวืดลงพื้น แล้วถูกผู้เฒ่าโจมตีสวนใส่ด้านหลังไปสามครั้งในพริบตา
การ์ฟีลเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นใช้หูระบุตำแหน่งศัตรู เขาตวัดแขนไปตามเสียงตาแก่ด้านหลัง คราวนี้คว้าโดนอะไรบางอย่าง การ์ฟีลจึงเหวี่ยงมันกระแทกลงพื้นทันที
ทว่า สิ่งที่การ์ฟีลพึ่งทุ่มลงพื้นดันไม่ใช่ชิโนบิเฒ่า แต่เป็นร่างของคาฟม่าที่ตาแก่แอบโยนหลอก ปากของการ์ฟีลสั่นไหวยามที่เขารู้ตัวว่าพลาดท่า
โอลบาร์ต: นี่เจ้าน่ะ รู้ไหมว่าทำไมเราถึงมีแม่ทัพชั้นโทตั้งห้าสิบสองคน แต่มีแม่ทัพชั้นเอกแค่เก้าคน? ――เพราะว่าพวกข้าน่ะโคตรแกร่งยังไงล่ะน้อ
ในวินาทีนั้น แรงกระแทกที่มาพร้อมเสียงก็พุ่งทะลุผ่านศีรษะของการ์ฟีลโดยทันที
. ตัดไปอีกทางหนึ่ง โทสะของแม่ทัพอาราเคียแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงโลกันตร์ที่ย้อมทัศนวิสัยของยอร์น่า มิชิกุเระ จนแดงฉาน
แผ่นดินมอดไหม้ กบฎและพืชพันธุ์ถูกย่างเกรียม กระทั่งศพก็ถูกเผาผลาญถึงอวัยวะภายใน กระนั้นยอร์น่ากลับยืนรอรับเปลวเพลิงแบบไม่เกรงกลัว
ยอร์น่า: ――ดาบแสงตะวัน
พริสซิลล่า: ช่างใช้งานลูกสาวเหลือเกินนะ
พริสซิลล่าชักดาบเลอค่าสีชาดออกมาจแล้วฟันแหวกเป็นแนวตั้ง เปลวเพลิงโลกันตร์ของอาราเคียที่ย้อมโลกเป็นสีแดงฉานมลายไปราวกับไม่เคยมีอยู่โดยทันที
พริสซิลล่า: ดาบแสงตะวันจะเผาผลาญและฟาดฟันสิ่งที่ข้าพเจ้าประสงค์เพียงเท่านั้น
ฟังดูเป็นหลักการทำงานที่อยู่นอกเหนือสามัญสำนึก แต่การตวัดดาบเพียงครั้งเดียวของพริสซิลล่าก็ลบล้างการโจมตีใหญ่ของศัตรูได้ในพริบตาจริงๆ
พริสซิลล่า: อย่าพึ่งเบาใจล่ะ ยังไงเสียเจ้านั่นก็เป็น “ผู้เสพวิญญาณ”
พริสซิลล่ากล่าวเตือนแม่ก่อนที่จะกระโจนตัวออกไปทางขวา ยอร์น่าจึงรีบกระโดดหนีไปทางซ้ายซึ่งหลบน้ำแรงดันสูงที่พุ่งมาได้แบบฉิวเฉียด
. ยอร์น่าเคยต่อสู้กับอาราเคียที่นครเคออสเฟลมมาก่อน แม้จะเป็นการต่อสู้แบบหลอกเบื้องหน้า แต่ตอนนั้นต่างฝ่ายก็ต่างเอาจริงทั้งคู่
ฝั่งยอร์น่าได้เปรียบเพราะต่อสู้อยู่ในภายในเมืองที่รัก ได้รับการเสริมพลังจากวิชาคงคงอย่างเต็มที่ เธอจึงประเมินว่าเด็กสาวแกร่งแค่ระดับโค่นล้มกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียว
ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิดมหันต์ เห็นได้ชัดจากการที่เวทวารีของอาราเคียก่อนหน้านี้แหวกพื้นจนแยกยาวไปถึงเส้นขอบฟ้า
ยอร์น่า: นี่เองหรือเจ้าคะ พลังของ “ลำดับสอง” ที่เหนือกว่ากระทั่งโอลบาร์ต?
ในศึกนี้ ยอร์น่าเลือกสวมกิโมโนตัวโปรดเพื่อเสริมพลังป้องกัน กระนั้นเธอก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะรับการโจมตีของอาราเคียไหว
ยอร์น่า: เมื่อตอนนั้นใช้แค่ไฟยังเผานครของข้าน้อยจนราบไปครึ่งเมืองได้
พริสซิลล่าตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะมีคนมอบกลยุทธ์ให้อาราเคียใช้เปลวเพลิงสร้างแนวตั้งรับหน้ากำแพงหิน สร้างสถานการณ์ให้เธอต่อสู้ได้เต็มที่แบบไม่ต้องพะวงหน้าหลัง
. พริสซิลล่าถีบพื้นเพื่อร่นระยะเข้าประชิด ก่อนอื่นพวกเธอต้องหาทางลากอาราเคียที่กระหน่ำยิงจากบนฟ้าอยู่ฝ่ายเดียวด้วยท่อนล่างที่ลุกเป็นไฟลงมาให้ได้เสียก่อน
พริสซิลล่า: ท่านแม่!
ยอร์น่า: ――อึก ทราบแล้วเจ้าค่ะ!
ยอร์น่ากระทืบส้นเท้าลงพื้นเพื่อใช้วิชาคงคงเรียกผืนดินให้ลอยตัวขึ้นมาเป็นทางวิ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าให้แก่พริสซิลล่า
อาราเคีย: ――เกะกะ
พออาราเคียโบกไม้คทา วายุกัมปนาทที่รุนแรงราวกับฝ่ามือของยักษ์ก็โหมกระหน่ำทลายแท่นเหยียบจากผืนดินจนหมด
พริสซิลล่า: เล็งการโจมตีใส่ข้าพเจ้าแบบไร้ปรานีเช่นนั้น ไม่เห็นแก่รูปโฉมแสนงดงามของข้าพเจ้าบ้างหรืออย่างไร?
อาราเคีย: ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ต่อให้จะสูญเสียแขนขาไป องค์หญิงก็ยังคงเป็นองค์หญิง
พริสซิลล่าที่กระโดดลมลมพายุได้ทันเสวนากับอดีตบริวารระหว่างที่กำลังร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง แต่อาราเคียไม่รอช้า เธอเล็งโจมตีไปที่แขนขาของอดีตนายหญิงโดยทันที
ยอร์น่า: อย่าลืมว่ายังมีข้าน้อยอยู่สิเจ้าคะ
ตอนนั้นเองที่ยอร์น่ากระโจนตัวขึ้นไปเหนืออาราเคียและเตะเด็กสาวด้วยรองเท้าส้นสูงคู่โปรดที่เธอเก็บรักษาอย่างยาวนาน
ยิ่งเป็นสิ่งของที่ยอร์น่ารักใคร่ให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ วัตถุชิ้นนั้นยิ่งทรงพลังขึ้นด้วยพลังจากวิชาคงคง
. พริสซิลล่าเองก็ไม่พลาดโอกาสกระโจนกลับขึ้นมาฟันประกบด้วยดาบแสงตะวัน กลายเป็นว่าอาราเคียถูกโจมตีคอมโบขนาบสองข้างจากทั้งด้านบนและด้านล่าง
ทว่า การโจมตีของสองแม่ลูกกลับทะลุผ่านร่างกายของอาราเคียไปปะทะกันเอง
ยอร์น่า: ไหลผ่านงั้นเหรอเจ้าคะ!?
พริสซิลล่า: โอหัง
พริบตานั้นเองที่ร่างกายของอาราเคียเปล่งประกายสีขาว จากนั้นก็ระเบิดออก ร่างของอมนุษย์สาวที่กลายเป็นสะเก็ดแสงสีขาวกระจายไปทั่วทิศทาง
ยอร์น่ารีบเรียกผืนดินที่โดนพายุพัดกระจุยก่อนหน้านี้กลับมาหมุนวนรอบตัวเธอและพริสซิลล่าด้วยความเร็วสูง แปรสภาพเป็นเกราะกำบังที่จะสะท้อนการโจมตีของศัตรู
ยอร์น่า: ――อึก!!
ทว่า กระสุนลูกปรายแสงของอาราเคียกลับเจาะทะลุโล่ผืนดินมาโดนสองแม่ลูก ส่งผลพวกเธอถูกแรงระเบิดผลักร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
. ยอร์น่าฝืนเอาเท้าลงจอดอย่างสง่างามได้ ทว่า ปิ่นปักผมที่ทำจากเกล็ดบนศีรษะของเธอกลับแตกสลายเป็นฝุ่น
พริสซิลล่า: ของขวัญจากใครกันน่ะ? ท่านแม่
ยอร์น่า: ――ของขวัญจากเหล่าเด็กๆ ผู้น่ารักของข้าพเจ้าเองเจ้าค่ะ
ทั้งกิโมโน รองเท้าและเครื่องประดับต่างๆ ที่ยอร์น่าสวมอยู่ล้วนแต่เป็นของขวัญที่เธอได้รับมาจากเหล่าชาวเมืองเคออสเฟลมที่เธอแสนหวงแหน
ของขวัญจากเหล่าผู้ที่สมควรได้รับความรักจากยอร์น่านั้น จะแตกสลายเสียเองเพื่อแลกกับการปกป้องยอร์น่ายามที่เธอถูกโจมตี
พริสซิลล่าเองก็ถูกปกป้องไว้ด้วยวิชาแบบเดียวกัน เธอสูญเสียต่างหูที่เป็นของดูต่างหน้าจากอดีตสามีไปหนึ่งข้างจากการโจมตีเมื่อครู่ของอาราเคีย
ยอร์น่า: สามีเหรอเจ้าคะ? พริสซิลล่า นี่ลูกเองก็…
พริสซิลล่า: ทำหน้าประหลาดใจเชียวนะ ต่างหูที่หายไปนี่รู้สึกจะเป็นของขวัญจากสามีคนที่ 4
ยอร์น่า: 4…!?
พริสซิลล่า: ข้าพเจ้าน่ะมีสามี 8 คน แต่ไม่มีคนไหนเทียบของท่านแม่ได้หรอกนะ
. ระหว่างที่ยอร์น่าตกใจจนอ้าปากค้า พริสซิลล่าก็ชักดาบแสงตะวันออกมาอีกครั้งแล้วชี้ไปทางอาราเคียที่กลับคืนร่างเดิมหลังประกายแสงกลับมารวมตัวกัน
บางทีนั่นอาจจะเป็นหนึ่งพลังของวิญญาณที่เธอกินเข้าไป ช่างน่าสะพรึงกลัวสมกับฉายา “ผู้เสพวิญญาณ”
ถ้าหากกระทั่ง “ดาบแสงตะวัน” ที่ผ่าได้ทุกสิ่งที่ผู้ใช้ปรารถนายังฟันไม่โดน บางทีหนทางเดียวที่ชนะอาราเคียอาจต้องพึ่ง “ดาบชีวัน” ที่สามารถฟันโจมตีดวงวิญญาณ
ทว่า พริสซิลล่ามองต่างจากยอร์น่า สาเหตุที่เธอฟันไม่โดนอาราเคียก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเธอ “ตีความ” เนื้อแท้ของอาราเคียผิดไป
ถึงอย่างไร ดาบแสงตะวันก็คือดาบที่สามารถฟาดฟันได้ทุกสิ่งที่ผู้ใช้ “ประสงค์” มันอยู่ที่ความเข้าใจในเนื้อแท้ของศัตรูต่างหากว่าฟันโดนหรือไม่
พริสซิลล่า: นั่นน่ะคือไฟ น้ำ หรือลมกันนะ? หากไม่ใช่ทั้งแสงและเงา คงจะฟันให้โดนได้ยาก
ยอร์น่าไม่ได้มีบัฟจากเมืองเคออสเฟลมแสนรักอีกต่อไป เธอจึงหมดสิทธิ์ที่โจมตีเผด็จศึกศัตรูระดับอาราเคียได้
มันจึงกลายเป็นศึกระหว่างผู้ถือครองดาบแสงตะวันที่สามารถฟาดฟันได้ทุกสรรพสิ่งปะทะตัวตนเหนือสามัญสำนึกที่สามารถกลายร่างเป็นได้ทุกสรรพสิ่ง
พริสซิลล่า: ――ไม่ว่าเมื่อไหร่ ตำแหน่งดาวเด่นบนเวทีก็เป็นของข้าพเจ้าเสมอสินะ?
กระทั่งในสถานการณ์คับขัน เด็กสาวในชุดแดงก็ยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจและฉีกยิ้มอย่างสง่าผ่าเผย
. ตัดไปอีกทาง เพทร่าได้เรียกสติ “ออตโต้ ซูเวน” กลับคืนมาหลังจากที่เขาดำดิ่งลงสู่ “ชาแนล” ของเขาเพื่อหาข้อมูลสถานการณ์รบแบบลึกเกินไป
ออตโต้รับผ้าเช็ดหน้าจากเพทร่ามาเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลทะลัก
การใช้พรคุ้มครองเกินขีดจำกัดนั้นจะทำให้ผู้ถือครองต้องแบกรับภาระที่แตกต่างกันไป
“พรคุ้มครองแห่งการเลี่ยงสายลม” ของมังกรปฐพีนั้นไร้ข้อเสียในการใช้งาน แลกมากับการที่ไม่สามารถใช้พรต่อเนื่องได้หลังหยุดวิ่ง
“พรคุ้มครองแห่งวิญญาณปฐพี” ของการ์ฟีลเอง หากผู้ถือครองเป็นมนุษย์ทั่วไป คงแบกรับภาระจากการใช้พรตลอดเวลาไม่ไหวจนต้องยกเท้าออกจากพื้นบ้าง
แต่การ์ฟีลดันเกิดมามีร่างกายสุดแสนแข็งแกร่งของมนุษย์สัตว์ เขาเลยไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการใช้พรมากเกินไปนัก
ส่วน “พรคุ้มครองแห่งประกาศิต” ของออตโต้นั้นมอบภาระแบกรับให้แก่สมองของผู้ใช้โดยตรง โชคดีที่มีเพทร่าช่วยใช้เวทช่วยเสริมความถึกทนให้สมองเขาอีกแรง
. เวทแสงตะวันของเพทร่ามันคล้ายกับการที่นักรบมากฝีมือเสริมแกร่งร่างกายของตนด้วยมานาโดยสัญชาตญาณ
นอกจากคอยบัฟสมองให้ออตโต้แล้ว อีกหน้าที่ของเพทร่าก็คือการช่วยดึงออตโต้ออกมาจากโลกแห่งเสียง ถ้าหากว่าเขาเผลอดำดิ่งลึกเกินไป
หากไม่มีใครช่วยเรียกสติ ออตโต้อาจจะสูญเสียความคุ้นชินต่อ “เสียง” มนุษย์ปกติ จนต้องเปิดชาแนลตลอดเวลาเพื่อสื่อสาร
สุดท้ายเขาอาจเสียสติจนได้ยินเสียงลมหรือเสียงเสื้อผ้าสั่นไหวเป็นคำพูดได้เลย
. ข้อมูลล่าสุดที่ออตโต้หามาได้คือหอรบ 1 และหอรบ 2 ไร้เสียงอย่างสมบูรณ์
หอรบ 1 น่าจะเป็นเพราะเปลวเพลิงของอาราเคียเผาสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นจนตายเกลี้ยงหรือไม่ก็หนีลงใต้ดินกันหมด
ส่วนหอรบ 2 เหล่าสัตว์น่าจะเกรงกลัวเด็กสาวเผ่ามนุษย์มังกร “มาเดลิน เอสชาร์ต” จนถอยหนีกันหมด
หอรบ 5 การ์ฟีลน่าจะพอรับมือไหว หอรบ 3 เผ่าชูดราคกำลังต่อสู้อยู่กับตุ๊กตาหิน
ส่วนหอรบ 4 ตอนนี้เผ่าตาเดียวกับเผ่าสันโลหะที่ยังเหลือรอดกำลังเคลื่อนพลไปเป็นกำลังเสริมให้แก่เผ่ามนุษย์แสงตามการสั่งการของวินเซนต์
ออตโต้และเพทร่าช่วยกันจดบันทึกตำแหน่งของเสียงและข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆ ในลงไปในแผนที่ ออตโต้รู้สึกตื้นตันใจที่เพทร่าอยู่ค่อยช่วยเขาที่นี่
. สักพักหนึ่ง มีเดียมกับทหารอีกสี่คนก็ตามมาขอรับข้อมูลอัปเดตจากออตโต้เพื่อนำไปมอบให้แก่วินเซนต์ ออตโต้จึงมอบแผนที่ให้แก่พวกเขาไป
ออตโต้: ขอให้เอาเจ้านี่ไปใช้งานให้ดีนะครับ ลายมือบางส่วนอาจจะอ่านยากหน่อย แต่สัญลักษณ์กับลูกศรที่คุณหนูเติมเข้าไปน่าจะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นครับ
ทหาร: รับทราบครับผม ท่านนักวิเคราะห์เองก็ระวังหน่วยสอดแนมให้ดีล่ะ
ออตโต้: นักวิเคราะห์…
ทีแรกเขาเป็นพ่อค้าเร่ จากนั้นก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ภายใน ต่อด้วยเจ้าหน้าที่ภายในสายบู๊ แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นนักวิเคราะห์อีกที
ออตโต้เริ่มปลงว่าเขาจะถูกเปลี่ยนอาชีพอีกกี่ครั้ง กว่าการคัดสรรกษัตริย์จะจบลง
. พอกลุ่มผู้ส่งสารกำลังเดินจากไป ออตโต้ก็เปิด “ชาแนล” อีกครั้งเพือหาข้อมูลอีกครั้ง แต่เขากลับได้ยินเสียงดังลั่นจนสมองสั่นสะท้าน
เพทร่า: คุณออตโต้?
ออตโต้: อุ…อา!?
เหล่าสรรพสัตว์ทั่วอาณาเขตบริเวณกรีดร้องพร้อมกันจนออตโต้หูเกือบดับ ส่วนสาเหตุก็เป็นเพราะ “มังกรแท้” สยายปีกบินลงมาจากท้องนภา
ทั้งเพทร่า มีเดียมและทหารผู้ส่งสาร 4 คน ต่างพากันอ้ำอึ้งอ้าปากค้างยามได้ยลโฉมของสิ่งมีชีวิตผู้สูงศักดิ์ มีอยู่เพียงแค่ “สองคน” ณ ที่แห่งนั้นที่ไม่ได้มัวแต่ยืนตะลึง
คนแรกคือออตโต้ที่รีบผลักมีเดียมให้พ้นระยะและคว้าแขนเพทร่าเพื่อดึงตัวเธอเข้าหาเขาเพื่อหลบหลีกอะไรบางอย่าง
พริบตานั้นเองที่กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีแดงฉานพุ่งเฉียดพวกออตโต้ไปเผาร่างของกลุ่มทหารที่มารับสาร 4 คนจนไหม้เกรียมไปพร้อมกับแผนที่ข้อมูล
มีเดียม: ――อึก อันตราย!
เท่านั้นยังไม่พอ ใครบางคนยังเหวี่ยงอาวุธเล็งใส่ออตโต้ช่วงทีเผลอย้ำต่อเนื่อง โชคดีที่มีเดียมชักดาบมาป้องกันไว้ได้อย่างทันท่วงที
เพทร่า: รีบลุกเร็ว คุณออตโต้!
??: ――พลาดเลยๆ กะว่าจะเก็บรวดหมดในทีเดียวแท้ๆ
. ศัตรูคือบุคคลที่สองนอกจากออตโต้ที่ไม่ได้มัวแต่ยืนตะลึงยามที่มังกรสีขาวปรากฏกาย
เขาเป็นทหารจักรวรรดิที่สวมผ้าโพกหัว ในมือถือขวานด้ามยาวเป็นอาวุธ ดูจากที่ปลอกแขนแล้ว อีกฝ่ายไม่ใช่ทหารยศสูงอะไร
เขาเป็นแค่ “ทหารธรรมดา” แต่ดันเล็ดลอดการตรวจจับเสียงจาก “ชาแนล” ของออตโต้เข้ามาใกล้ได้อย่างน่าประหลาด
ออตโต้ยืนบังเพทร่าไว้ และมีเดียมที่มีอาวุธในมือก็ยืนค้ำหน้าระหว่างออตโต้กับผู้บุกรุกอีกที
ออตโต้: ไม่คิดจะปรานีกระทั่งเด็กและผู้หญิงเลยเหรอครับ? ป่าเถื่อนซะไม่มีนะเนี่ย
ท็อดด์: ตอบง่ายๆ ก็เด็กและผู้หญิงที่ว่าดันมาอยู่กลางสนามรบ จริงอยู่ว่าพวกนายอาจจะเป็นพลเรือนที่ถูกทิ้งไว้กลางสนามรบ แต่ทางนี้ไม่คิดจะนับคนที่ทำหน้าที่อยู่กลางสนามรบเป็นพลเรือนหรอกนะ
ออตโต้รู้ดีว่าเจรจากับศัตรูคนนี้ได้ยาก กระนั้นเขาก็จะลองชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปก่อน
ออตโต้: ผมกับเด็กพวกนี้กำลังทำหน้าที่อยู่เหรอ? อยู่ห่างจากค่ายทหารขนาดนี้จะไปทำหน้าที่อะไรได้…
ท็อดด์: ไม่รู้สิ ลางสังหรณ์ของชั้นก็แค่บอกมาน่ะ ว่าพวกนายคือต้นเหตุของความเลวร้ายทั้งมวลในสงครามนี้ อีกอย่าง ลางสังหรณ์ชั้นบอกไว้งี้ด้วย…
ออตโต้: อะไรล่…?
ท็อดด์: ――ว่าไม่ควรเสียเวลาคุยกับพวกนาย
พลทหาร “ท็อดด์ แฟงก์” ตวัดขวานหมายสังหารพวกออตโต้ทันทีโดยไม่คิดจะเสวนาไปมากกว่านั้น
. จบตอน