
บทที่ 7 ตอนที่ 96 "วาดด้วยความรักอันลึกซึ้ง"
โมโกร ฮากาเนะ แม่ทัพเทวะลำดับแปด ผู้มีฉายาว่า [มนุษย์โลหะ] นั้น แท้จริงแล้ว เขาไม่ใช่เผ่ามนุษย์โลหะด้วยซ้ำ
เดิมที “เผ่ามนุษย์โลหะ” เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีร่างกายประกอบขึ้นจากหินแร่และโลหะ เป็นตัวตนที่ก้ำกึ่งระหว่างสิ่งมีชีวิตและวัตถุ
ส่วน “เผ่าสันโลหะ” ที่มีร่างกายเป็นหินแร่แค่บางส่วนนั้นก็สืบเชื้อสายมาจากเผ่ามนุษย์โลหะอีกที
เผ่ามนุษย์โลหะนั้นสื่อสารด้วยยากเสียยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์มังกรหรือเผ่าวิญญาณ ผู้คนบางส่วนจึงแปลกใจที่โมโกรสามารถสื่อสารด้วยง่ายกว่าแม่ทัพเทวะบางคนเสียอีก
หารู้ไม่ว่า โมโกร ฮากาเนะ เพียงแค่แอบอ้างตนเป็นเผ่ามนุษย์โลหะเท่านั้น เขาอาศัยรูปลักษณ์ภายนอกและนิสัยของเผ่าพันธุ์ที่ไม่นิยมสื่อสารนักในการสร้างเรื่องลวง
และก็เพราะตัวตนที่แท้จริงของเขานี่แหละ วินเซนต์ถึงได้ประเมินว่าแม่ทัพโมโกรคืออุปสรรคใหญ่สุดของการบุกยึดนครหลวง
. ไฮน์เคล แอสเทรอา ได้สติคืนกลับมาพบว่าตัวเขานอนอยู่บนพื้นดิน ศัตรูไม่ได้โจมตีซ้ำระหว่างที่เขาลอยเคว้งกลางอากาศ ไฮน์เคลเลยรอดชีวิตมาได้
ด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่ไฮน์เคลคลำหาก็คือ “ดาบ” ประจำตัวที่หลุดมือไปปักอยู่บนพื้น
ไฮน์เคลมองดูรอบตัวเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ถูกศัตรูระดับเก้าแม่ทัพเทวะฆ่าตายตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก แต่สิ่งแรกที่เขาเหลือบไปเห็นกลับเป็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ
ไฮน์เคล: ――หวา?
เบื้องหน้าของเขาคือนรกสองขุมที่แบ่งซีกกันราวกับว่ามีไฮน์เคลยืนอยู่ตรงกลาง
ที่ฝั่งขวามีปุยเมฆแห่งเปลวเพลิงกำลังแผดเผาโลกที่ลุกเป็นไฟ ส่วนฝั่งซ้ายตัวตนเหนือสามัญสำนึกที่มีเมฆขาวอยู่รอบตัวก็สยายปีกบินลงมายังโลกที่ถูกเยือกแข็ง
นภาที่ลุกไหม้กับมังกรแท้สีขาว เท่านั้นยังไม่พอ ก้อนหินขนาดใหญ่พอๆ กับบ้านจำนวนมากมายยังลอยผ่านหัวไฮน์เคลไปยังทิศตรงข้ามอีก
หินก้อนใหญ่เหล่านั้นถูกเขวี้ยงไปปะทะกับปราการนครหลวงที่ลุกขึ้นมายืน มันคือแม่ทัพโมโกร ฮากาเนะที่ตัวสูงหลายสิบเมตรนั่นเอง
. ไฮน์เคลแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสนามรบขณะนี้
ปราการรูปร่างมนุษย์กำลังต่อสู้โดยใช้ถนนปูผิวทางและแปลงเพาะปลูกเป็นแขนขาและลำตัว กำปั้นหนึ่งของมันรุนแรงราวกับถูกทั้งเมืองร่วงใส่
ส่วนผู้ที่นำชิ้นส่วนหินผามาปาใส่ปราการมนุษย์นั้นก็คือเหล่าประชาชนหลากเผ่าพันธุ์จากเมืองเคออสเฟลม เหล่าบริวารของยอร์น่า มิชิกุเระที่มีดวงตาลุกเป็นไฟนั่นเอง
ชิ้นส่วนร่างกายของโมโกรแตกออกยามที่ถูกหินผาจากชาวเคออสเฟลมเขวี้ยงใส่ ทว่า หินผาที่ไปปาใส่ก็ถูกโมโกรดูดซึมไปซ่อมแซมร่างกายขนาดยักษ์ของเขาทันที
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของพวกเขาไร้ความหมาย แต่สาเหตุที่ชาวเมืองเคออสเฟลมไม่หยุดมือ ก็เพราะว่าพวกเขากำลังสร้างโอกาสให้ทัพกบฏที่เหลือโจมตีปราการมนุษย์
ไฮน์เคล: …บ้าบอสิ้นดี
. หลังแม่ทัพโมโกรปรากฏตัว ปราการที่ 3 ก็ไม่ใช่จุดอ่อนให้ทัพกบฏเจาะอีกต่อไป กระนั้นทัพกบฏกลับมารวมตัวกันเพิ่มเรื่อยๆ เพื่อเสริมแนวรบนี้ให้แกร่งยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ไฮน์เคลก็เห็นแต่ภาพของนรก เห็นแต่อุปสรรคที่ทัพกบฏไม่มีทางก้าวข้ามได้ ทุกอย่างมันบ้าบอเหลือเกิน
ไฮน์เคล: พอเถอะ พอเหอะน่า… พวกแก! ทุกคน! บ้ากันไปแล้วหรือไง!!
หัวเข่าของเขาสั่นเทา ไฮน์เคลกัดฟันแน่นและวางมือลงบนด้ามดาบที่ปักอยู่บนพื้น แต่มันเปล่าประโยชน์ ตัวเขาในตอนนี้ไม่กล้าพอที่จะดึงดาบกลับมาสู้ต่อ
ต่อหน้าเพลิงโลกันตร์ มังกรแท้และทหารยักษ์ มันผิดบาปนักหรือไงที่คนเราจะไม่กล้าจะต่อกรกับสิ่งเหล่านั้น?
ไฮน์เคล: ชั้นนี่มัน…
ระหว่างที่ไฮน์เคลกำลังคุกเข่าอยู่หน้าดาบในสภาพคอตกไร้เรี่ยวแรง แม่ทัพ “ซีคูร์ ออสมัน” ก็ควบม้าลมกรดสีเกาลัดวิ่งผ่านเขาไป
ซีคูร์มักบอกอยู่เสมอว่าฝีมือการต่อสู้ของตัวเขาไม่ได้เรื่อง แต่จากการประเมินผ่านสายตาของไฮน์เคลเอง ฝีมือดาบของชายร่างเตี้ยคนนี้นั้นดูถูกไม่ได้เลย
แม่ทัพซีคูร์กำดาบไว้ในมือและควบม้าอย่างห้าวหาญเพื่อนำทัพกบฏที่มารวมตัวกันเพิ่มเข้าประจันหน้ากับปราการมนุษย์ โมโกร ฮากาเนะ
ไฮน์เคล: …กะแล้วเชียว ตัวชั้นนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ ลูอันน่า
. เมื่อแม่ทัพซีคูร์ควบม้าผ่านชายผมแดงที่ทรุดเข่าลงเพราะจิตต่อสู้แตกสลาย เขาก็อดไม่ได้ที่เห็นใจอีกฝ่าย แม้ว่าฝั่งไฮน์เคลจะหลงนึกว่าซีคูร์กำลังเย้ยหยันเขาอยู่ก็ตาม
ไม่น่าแปลกใจนัก ในมุมมองของคนนอก การต่อต้านแบบไม่กลัวตายของชาวจักรวรรดิคงจะดูบ้าบอเกินกว่าจะเข้าใจ
ว่ากันตามตรง ซีคูร์เองก็ไม่เข้ากันวิถีแห่งจักรวรรดินัก ยศแม่ทัพของเขาเป็นผลพลอยได้จากเส้นสายตระกูลออสมันที่เป็นตระกูลทหารมาหลายรุ่น
กระนั้นซีคูร์ก็ยังมีความภาคภูมิในฐานะประชาชนชาวจักรวรรดิ
ซีคูร์: ――ฉันคือแม่ทัพชั้นโทแห่งจักรวรรดิ [จอมตาขาว] ซีคูร ออสมัน!!
ม้าลมกรดคู่หูนาม “เลดี้” เร่งความเร็วการออกวิ่งเพื่อจัดกระบวนทัพใหม่ตามการนำของซีคูร์ เหล่ากบฏรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมายามได้เห็นการวิ่งแสนสง่างามของมัน
ซีคูร์: มนุษย์แสงไปปีกขวา! เผ่าสันโหละไปปีกซ้าย! ทั้งสองทัพ เคลื่อนพลตามที่สั่งด้วย! ส่วนที่เหลือ ตามฉันคนนี้มา! เราจะโค่นล้ม [มนุษย์โลหะ] โมโกร ฮากาเนะให้จงได้!
ทัพกบฏ: โอ้วววว!!
. ระหว่างที่ชาวเมืองเคออสเฟลมปาหินผาสกัด หากซีคูร์นำทัพบุกไปถึงบริเวณเท้าของแม่ทัพโมโกรได้ แผนการในครั้งนี้ก็จะประสบความสำเร็จ
เหล่านักรบเผ่าชูดราคก็กระหน่ำยิงลูกศรไปยึดร่างของเหล่าตุ๊กตาหินในแน่นิ่งอยู่กับผืนดิน ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ซีคูร์จึงหวนนึกถึงเด็กสาวที่อวยพรให้แก่เขา
ถึงแม้จะไม่ได้เชื่อในโชคลาง แต่ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด หากเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ภารกิจนี้สำเร็จ ซีคูร์ก็จะน้อมรับไว้
จามาล: ฮ่า! ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็น แม่ทัพชั้นโท [เสือผู้หญิง] ซีคูร์ ออสมันที่แนวหน้า!
ระหว่างที่ซีคูร์กำลังควบม้าอย่างแน่วแน่บุกฝ่าเข้าไปยังแนวหน้า พลหทาร “จามาล โอเรลี่” ก็ถือดาบคู่วิ่งเท้าเปล่าตามมาติดๆ
จามาลรับคำสั่งจากซีคูร์ จากนั้นก็เร่งฝีเท้าจนเร็วกว่าเลดี้และกระโจนเข้าไปในกองทัพตุ๊กตาหินเบื้องหน้าเพื่อเปิดทางให้แก่แม่ทัพภาคสนาม
ซีคูร์รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่ได้เข้าไปช่วยจามาลสู้ แต่เขาก็พึงระลึกดีว่าจามาลกำลังรับบทบาทที่เขาควรจะทำ และตัวซีคูร์เองก็มีบทบาทที่เขาพึงกระทำอยู่เช่นกัน
ซีคูร์: ――ฝ่าบาท เชิญใช้โอกาสนี้ได้เลย
วินาทีเดียวกับที่ซีคูร์ภาวนาในใจ ศิลามนตราบนยอดพระราชวังแก้วผลึกที่ใจกลางนครหลวงก็ส่องประกายขึ้นมา
. ในศึกสงครามครั้งนี้ มีเหตุการณ์หลายอย่างที่อยู่นอกเหนือจากภาพในหัวที่วินเซนต์ “วาด” เอาไว้
อย่างแรกคือการที่พริสซิลล่า บาริเอล ไปช่วยเหลือยอร์น่า มิชิกุเระ จู่โจมปราการที่ 1
อย่างที่สองคือการที่พรคุ้มครองของออตโต้มีประโยชน์ในการสืบเสาะหาข้อมูลสถานการณ์รบเป็นอย่างมาก
อย่างที่สามคือการที่การ์ฟีล ทินเซล สามารถโค่นล้มคาฟม่า อิรูลุกซ์ลงได้ แทนที่จะสูสีจนกลายเป็นศึกยืดเยื้อ
อย่างที่สี่คือการที่เอมิเลียยั่วโมโหมาเดลิน เอสชาร์ต จนเธอเรียก “มังกรเมฆา” ออกมา
ทว่า ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นเหตุการณ์เล็กน้อย ที่ไม่ได้สำคัญมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์สุดท้ายที่วินเซนต์วาดไว้ในหัวอยู่ดี
หนึ่งในปัจจัยที่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลยก็คือการมีอยู่ของ “โมโกร ฮากาเนะ” ที่ตัวตนที่แท้จริงคือ “พระราชวังแก้วผลึก” ณ ใจกลางนครหลวง
. พระราชวังแก้วผลึกถูกสร้างขึ้นมาโดย “ผลึกมนตรา” ซึ่งเป็นศิลามนตราที่มีความบริสุทธิ์ขั้นสูงสุด
แถมยังมี “มีทิเออร์” ควบคุมมันอยู่อีกที พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็นอาวุธสำคัญในการต่อกรกับภัยจากนอกประเทศ
ผลึกมนตรารอบพระราชวังแก้วผลึกจะดูดกลืนมานาเข้าไปสะสมและเสริมพลังให้มันกลายเป็นกระสุนสำหรับ “ปืนใหญ่ผลึกมนตรา” ที่ติดตั้งอยู่เหนือวัง
ลือกันว่ากระสุนปืนใหญ่ผลึกมนตราสามารถยิงทำลายนครขนาดใหญ่ได้เลย เมื่อหลายร้อยปีก่อน มันถึงได้ถูกใช้ในการต่อกรกับ “มหาภัยพิบัติ”
นับแต่นั้นมา ปืนใหญ่ผลึกมนตราก็เป็นเพียงแค่ตำนาน ไม่เคยมีใครเคยได้เห็นกระสุนของมันอีก ถึงแม้ว่าปืนใหญ่จะได้รับการบำรุงรักษาให้พร้อมใช้งานอย่างดีก็ตาม
. ตราบใดที่ปืนใหญ่ผลึกมนตรายังอยู่ ฝ่ายจักรวรรดิก็พร้อมที่จะพลิกสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ วินเซนต์ยังคงคิดไม่ตกว่าจะแก้ไขข้อเสียเปรียบนี้ได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงส่งซีคูร์ ออสมันไป “หลอกล่อ” กระสุนปืนใหญ่ผลึกมนตรา ล่อให้ศัตรูเปลืองกระสุนไปกับความเสียหายที่เขาคำนวณไว้ล่วงหน้า
วินเซนต์เตี๊ยมกับซีคูร์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าให้รวมกบฏทัพใหญ่ไปบุกปราการที่ 3 ปลุกจิตต่อสู้ของพวกเขาให้ลุกฮือ จากนั้นก็ให้ซีคูร์แอบถอยทัพออกมาคนเดียว
ทว่า แม่ทัพซีคูร์ไม่คิดจะถอยทัพและได้เลือกที่จะยอมตายร่วมกับทัพกบฏอย่างที่วินเซนต์สังหรณ์ใจเอาไว้
ไม่ว่าซีคูร์จะตัดสินใจอยู่ต่อด้วยเหตุผลอะไรมันก็ไม่สำคัญต่อวินเซนต์ เพราะว่าความเป็นตายของซีคูร์ไม่มีผลต่อผลลัพธ์ของภาพในหัวที่วินเซนต์วาดไว้นั่นเอง
กระทั่งความเป็นและความตายของตัววินเซนต์เอง ก็ไม่สำคัญต่อผลลัพธ์ของ “ภาพวาด” นี้เช่นกัน
ทหาร: มีข้อความจากหน่วยสอดแนม! มองเห็นสัญญาณการใช้ปืนใหญ่ผลึกมนตราจากพระราชวังแก้วผลึก!
วินเซนต์: …
ทหาร: เป้ายิงคือปราการที่สาม!!
ทุกอย่างเป็นไปตามที่วินเซนต์คาดการณ์เอาไว้ กระสุนปืนใหญ่ผลึกมนตราจะกวาดล้างทัพกบฏที่หน้าปราการที่ 3 จนหมดสิ้น
แม่ทัพโมโกรที่หลอมรวมกับปราการที่สามจะถูกทำลายไปด้วย แต่ตราบใดที่ร่างจริงของเขายังคงอยู่ในพระราชวังแก้วผลึก ทัพกบฏก็ยังคงกำราบโมโกรไม่ได้
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นแผนการของวินเซนต์ให้ฝ่ายจักรวรรดิเปลืองกระสุนไปหนึ่งนัด
ทหาร: ――มีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างไปขัดขวางวิถีกระสุนของปืนใหญ่ผลึกมนตรา!!
วินเซนต์: …ว่าไงนะ?
ทว่า คำรายงานของทหารสอดแนมกลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของวินเซนต์อย่างสิ้นเชิง
. ตัดกลับไปทางซีคูร์ ตัวเขาเองก็พึ่งได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของปืนใหญ่ผลึกมนตราจากปากวินเซนต์
หน้าที่ของซีคูร์คือการหลอกล่อให้ศัตรูเปลืองกระสุนแสนล้ำค่าดังกล่าว เขาจึงจำใจต้องมอบความหวังแบบลวงหลอกให้แก่ทัพกบฏเพื่อรุมโจมตีปราการที่ 3
เมื่อได้เห็นแสงกระพริบที่ยอดพระราชวัง ซีคูร์ก็หวนนึกถึงแม่ พี่สาวและน้องสาว นึกถึงเหล่าผู้หญิงคนสำคัญในชีวิตและเตรียมใจตายไปพร้อมกับทัพกบฏ
ทว่า แทนที่จะถึงคราวตาย ซีคูร์กลับได้เห็นภาพอันน่าตกตะลึงแทน
ซีคูร์: ――คุณหนูเบียทริซ?
. ตัดไปทางเบียทริซ
เบียทริซ: กะแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ย่ะ
ตั้งแต่ที่ซีคูร์มาขอการอวยพรจากเธอ เบียทริซก็มีลางสังหรณ์ว่าซีคูร์ตั้งใจที่จะไปตาย เพราะเธอเคยเห็นผู้ที่มีดวงตาแบบเขามามากมายในยุคสงครามเมื่อ 400 ปีก่อน
เบียทริซมิอาจเอื้อมมือไปช่วยผู้คนในอดีตเหล่านั้นได้ เธอจึงไม่อยากปล่อยให้ซีคูร์ไปตายเปล่าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจอีก
ผู้ที่ช่วยเหลือเบียทริซก็คือ “รุย อาร์เน็บ” ที่ใช้พลัง “เคลื่อนย้ายระยะสั้น” วาร์ปแบกเบียทริซมาโผล่กลางเวหาเหนือยอดปราการ
ถึงแม้เธอจะยังไม่เชื่อใจรุย แต่เบียทริซก็ขอเลือกที่จะเชื่อมั่นในการตัดสินใจของนัตสึกิ สุบารุ
เบียทริซ: นึกหน้าตอนโกรธของทุกคนออกเลยย่ะ
เด็กสาวนึกถึงใบหน้ายามโกรธและกังวลของเหล่าเพื่อนฝูงจากกระทำอันบ้าบิ่นของเธอ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทำสิ่งนี้ให้จงได้ นั่นก็เพราะว่า…
เบียทริซ: เบ็ตตี้น่ะเป็นพาร์ทเนอร์ของสุบารุไงล่ะยะ
พระราชวังแก้วผลึกเปล่งประกายเรืองรอง จากนั้นลำแสงที่แปรเปลี่ยนได้กระทั่งรูปลักษณ์ของโลกาก็ยิงมาเป็นเส้นตรงหมายกวาดล้างทัพกบฏให้สิ้น
เด็กสาวสองคนที่โผล่มาขวางวิถีกระสุนจับมือกันไว้ จากนั้นก็…
เบียทริซ: ――อัล ชามัค
หลุมต่างมิติเปิดขึ้นมาดูดกลืนลำแสงที่เปลี่ยนแปลงได้กระทั่งรูปลักษณ์ของโลก จากนั้นก็ปิดตัวลง
. หากทุกอย่างเป็นไปตามภาพที่วินเซนต์วาดไว้ในหัว ความเสียที่หายเกิดขึ้นต่อฝ่ายกบฏคงใหญ่หลวง แม้ว่าจะเป็นความเสียหายที่คำนวณไว้ก่อนแล้ว
ทว่า พอมันไม่เกิดขึ้น ซีคูร์ ออสมันก็ยังคงนำทัพกบฏบุกตะลุยกองทัพตุ๊กตาหิน เอมิเลียก็ยังคงต่อกรกับมาเดลินและ “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อา
“ผู้เฒ่าใจมาร” โอลบาร์ตก็ยังคงไล่ล่าการ์ฟีล สองแม่ลูกยอร์น่าและพริสซิลล่ายังคงปะทะกับ “ผู้เสพวิญญาณ” อาราเคีย
ออตโต้ เพทร่าและมีเดียมก็ยังคงต้องเผชิญหน้ากับ “วายร้ายจอมโฉด” ต่อไป
ทุกอย่างดำเนินไปดังเดิม แทนที่จะฝั่งกบฏจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แลกกันกับการเสียสละตัวเองของเด็กสาว
. รุย: อูอา! อาอู! อาอูววว!!
ร่างของเบียทริซในอ้อมแขนของรุยเริ่มที่จะกลายเป็นละอองแสง ถึงแม้รุยจะร้องตะโกนสุดเสียง เธอก็มิอาจหยุดยั้งการสลายหายไปของเบียทริซได้
รุย: อาาา!!
การใช้เวทมนตร์บทใหญ่ช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมายของเบียทริซ ทำให้มานาที่ค้ำจุนร่างกายของเธอหมดลง รุยได้แต่เพียงเฝ้าดูโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้
รุย: ――อา?
ในตอนนั้น อยู่ดีๆ รุยก็หันหน้าไปจากยอดปราการและสนามรบ เธอเมินเฉยต่อทุกสิ่งและมองไปยังทิศไกลๆ ที่ไม่น่าจะมีอะไรอยู่
จากนั้นเธอก็เริ่มทำการเคลื่อนย้ายไปยังทิศดังกล่าว การวาร์ประยะสั้นของรุยทำได้เพียงทีละประมาณ 10 เมตร การวาร์ปต่อเนื่องย่อมทำให้ร่างกายแบกภาระ แต่รุยไม่สนใจ
เธอวาร์ปแล้ววาร์ปอีก วาร์ปแล้ววาร์ปอีกจนไปถึงจุดหมาย จากนั้นรุยก็ยกร่างของเบียทริซที่แทบจะสลายจนไม่เหลือเหมือนยื่นให้ใครบางคนตรงหน้าเธอ
รุย: อูอาอู
??: ――เข้าใจแล้ว พวกเธอนี่ทำตัวบ้าบิ่นทั้งสองคนเลยนะ
เด็กชายผมดำตรงหน้ารุยอุ้มร่างของเบียทริซไปโอบกอดอย่างอ่อนโยน มันเป็นอ้อมกอดที่เปี่ยมล้นด้วยความรักอันลึกซึ้ง ดวงตาลายผีเสื้อของเด็กสาวกลับมากระพริบอีกครั้ง
เบียทริซ: ――อย่าทำให้ห่วงนักสิยะ
สุบารุ: อา ชั้นก็รักเธอเหมือนกัน
เด็กชายและเด็กสาวแลกเปลี่ยนคำพูดเปี่ยมรักฉันครอบครัว จากนั้นเด็กชายผมดำก็ฉีกยิ้มออกมา
สุบารุ: เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีไหม ――มาดวลกันหน่อย ท่านโชคชะตาเอ๋ย
. จบตอน