
บทที่ 7 ตอนที่ 97 "มาจากสุดขอบทิศตะวันตก"
กระสุนของ “ปืนใหญ่ผลึกมนตรา” ที่ยิงมาจากพระราชวังแก้วผลึกกลายเป็นจุดสนใจหลักของศึกตัดสินที่นครหลวงลูปุกาน่า
เจ้าปืนใหญ่ผลึกมนตรานี้คืออาวุธลับที่มีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ถึงการอยู่ เช่น วินเซนต์ อาเบลุกซ์ / ซีคูร์ ออสมัน / พริสซิลล่า บาริเอล
กระทั่งฝั่งจักรวรรดิยังรู้กันแค่วินเซนต์ตัวปลอม (จิชา โกลด์) / เบลสเต็ตซ์ ฟอนดาลฟอน และโมโกร ฮากาเนะ ที่ตัวตนจริงคือพระราชวังแก้วผลึก
วินเซนต์: พลังงานสำรองของปืนใหญ่ผลึกมนตราน่าจะเหลือพอยิงได้ 3 นัด ทว่า ในสนามรบครั้งนี้คงยิงได้เพียงนัดเดียวเท่านั้น
เนื่องจากว่าปืนใหญ่ผลึกมนตราคือไพ่ตายสำหรับการปกป้องประเทศ การยิงเปลืองกระสุนพร่ำเพรื่อจะทำให้ไม่เหลืออาวุธไว้ต่อต้านภัยคุกคามในอนาคต
วินเซนต์วิเคราะห์ไว้เช่นนั้น และเชื่อมั่นว่าฝ่ายจิชาที่ปลอมตัวเป็นเขาก็คงมีความคิดแบบเดียวกัน
. ตามแผนเดิมของวินเซนต์ เขาตั้งใจจะล่อให้ศัตรูเปลืองกระสุนปืนใหญ่แสนสำคัญไปกับทัพ “เหยื่อล่อ” ที่นำโดยซีคูร์
ทัพเหยื่อล่อมีนักรบจากหลายเผ่ามารวมตัวกันมากที่สุด แถมฝั่งศัตรูยังสามารถยิงโดยไม่สนความเสียหายฝั่งตัวเองได้
ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามที่วินเซนต์คาดการณ์ไว้จนกระทั่งเบียทริซใช้เวทดูดกระสุนปืนใหญ่ผลึกมนตราหายวับไป
และในระหว่างที่คนอื่นมัวแต่อ้ำอึ้งกับเหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นนั้นเอง
วินเซนต์: ดำเนินการตามแผนต่อ! ――เริ่มเดี๋ยวนี้เลย! ข้าสั่งการไปแล้วนะ! ถ้ามัวแต่ชักช้า ซีคูร์ ออสมัน ได้ตายแน่!
ทหาร: อึก ――ขอรับ!
ทหารที่ประจำการอยู่ที่ค่ายเองก็เป็นลูกน้องซีคูร์เสียส่วนใหญ่ ความเชื่อมั่นที่ซีคูร์สร้างไว้กลายเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาเดินหน้าต่อ
วินเซนต์: หน่วยพลีชีพไม่เกิดผลตามเป้า แต่อย่าพึ่งด่วนโล่งใจไป ซีคูร์ ออสมัน ในเมื่อรอดมาได้ก็แปลว่าเจ้ายังมีบทบาทต้องเล่นต่อ ――บทบาทของตัวข้าเองก็ใกล้ถึงเวลาแล้วเช่นกัน
ทหารฝั่งกบฏเริ่มทำการยิงปืนใหญ่ศิลามนตราขึ้นฟ้าเพื่อส่งสัญญาณบอกฝั่งตัวเองให้นำ “ไพ่ตาย” ออกมาใช้เป็นการข่มขวัญฝั่งศัตรู
ในระหว่างนั้นวินเซนต์ก็จดจ่อไปยังสถานการณ์ประหลาดที่ก่อตัวขึ้นจากจุดที่ไกลออกไปทางทิศเดียวกับปราการที่ 3
วินเซนต์: ――เจ้าคนที่คิดจะเดินหมากจากทางฝั่งตะวันตก มันเป็นใครกัน?
. เบลสเต็ตซ์: ――ไม่จริงน่า
ตัดมาทางฝั่งนครหลวง เสนาบดีเบลสเต็ตซ์ ฟอนดาลฟอน ที่ปกติหน้านิ่งตลอดแสดงอารมณ์งุนงงและฉุนเฉียวออกมาจนเหล่าทหารคุ้มกันตกใจ
แต่ชายแก่ก็รีบคุมอารมณ์กลับมาตั้งสติวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะไม่ได้เป็นการแสดงความอ่อนแอให้ลูกน้องเห็น
เบลสเต็ตซ์สรุปสถานการณ์ว่าฝั่งกบฏเตรียมมาตรการรับมือปืนใหญ่ผลึกมนตราเอาไว้เพราะมีข้อมูลจากวินเซนต์
[วินเซนต์(ปลอม): หลังทั้งสองฝ่ายใช้ลูกเล่นไปจนหมด ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงความแตกต่างของกำลังรบ ――ลงมือได้เลย]
นั่นคือความเห็นของจักรพรรดิตัวปลอมหลังเบลสเต็ตซ์ไปขออนุญาตใช้ปืนใหญ่ผลึกมนตรา ซึ่งตัวเขาเองก็เห็นพ้องด้วย
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าวินเซนต์คงจงใจปลุกปลั่นสถานการณ์ให้เขาเล็งปืนใหญ่ไปทางปราการที่ 3 แต่ความเสียหายของฝ่ายกบฏมันก็ไม่ควรจะน้อยอยู่ดี
เบลสเต็ตซ์: นี่ท่านคงไม่ได้คาดการณ์ว่าความเสียหายจากปืนใหญ่ผลึกมนตราจะเป็นศูนย์แต่แรกใช่ไหม?
เบลสเต็ตซ์รู้สึกคิดถึงวินเซนต์ตัวจริงขึ้นมา ความฉลาดหลักแหลมของเขานั้นหาใครเทียบได้ยาก น่าเสียดายที่วินเซนต์ดันไม่ยอมทำตามหน้าที่ของจักรพรรดิ
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องสำคัญที่เสนาบดีเบลสเต็ตซ์มิอาจปล่อยผ่านได้ แม้ว่าเขาจะเลื่อมใสทักษะด้านการปกครองของวินเซนต์ก็ตาม
. เบลสเต็ตซ์เริ่มคำนึงถึงการใช้กระสุนผลึกมนตรานัดต่อไป แต่คราวนี้เขาต้องวิเคราะห์มาตรการรับมือของฝั่งกบฏให้แตกก่อน
ตอนนั้นเองที่เบลสเต็ตซ์และทหารคุ้มกันสังเกตเห็นกระสุนปืนใหญ่ศิลามนตราที่ฝั่งวินเซนต์ยิงขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณ “เรียกกำลังเสริม”
ในไม่ช้า ฝูงมังกรบินที่ผ่านฝึกฝนมาอย่างดีก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับเรือมังกรบินสีแดงโดดเด่นเหนือท้องนภาฝั่งตะวันตก
มีขุนนางเพียงคนเดียวในจักรวรรดิเท่านั้นที่ครอบครองหน่วยรบมังกรบินจำนวนมากขนาดนี้
เบลสเต็ตซ์: ――ไฮเคาน์เตสเซรีน่า ดราครอยงั้นเหรอครับ?
จริงอยู่ว่าแม่ทัพมาเดลิน เอสชาร์ต สามารถบัญชามังกรบินได้ตามใจนึก แต่ข้อยกเว้นก็คือมังกรบินที่ผ่านการเชื่อมสัมพันธ์กับนักขี่มาแล้ว ดังนั้น กำลังรบทางอากาศของทั้งสองฝั่งจึงสูสี
ทว่า ฝั่งมาเดลินเองก็ได้เรียก “มังกรเมฆา” เมโซเรย์อาลงมายังผืนดินเบื้องล่างเป็นครั้งแรก สถานการณ์จึงไม่แน่นอนอีกต่อไป
ทันใดนั้นเอง เบลสเต็ตซ์ก็สังเกตเห็นความผิดปกติเพิ่มเติมจากฝั่งทิศตะวันตก นอกเหนือจากหน่วยรบมังกรบิน มันยังมีอีกกลุ่มรวมตัวกันอยู่บริเวณเนินเขาฝั่งตะวันตก
พวกนั้นไม่ใช่กำลังรบของตระกูลดราครอยแน่ๆ เนื่องจากธงที่ชูเด่นหราไม่ได้มีสัญลักษณ์รูปมังกรบินมีแผลที่แก้ม ไม่ได้ใช้ธงรูปหมาป่าดาบด้วย แต่เป็นรูป…
เบลสเต็ตซ์: ――นั่นมัน รูปดวงดาวงั้นรึ?
. [เฮียอิน: เฮ้ย พี่น้อง มัวทำอะไรอยู่!? แค่นี้เราก็มาสายไปเยอะแล้วไม่ใช่เรอะ!?]
[ไวส์: บ่นอิดออดไรอยู่ได้ ไอ้จิ้งเหลน… ชวาร์ซเขากำลังอึ้งอยู่]
[อิโดร่า: เห็นแหละว่าอึ้งอยู่ แต่เฮียอินก็พูดถูก พวกเราจะเอาไงกันดี? จะเข้าร่วมกับฝั่งกบฏไหม?]
[เซซิลุส: ว้าว เห็นนั่นไหมครับ บอส? จะฝั่งซ้ายหรือขวาก็เละเทะไปหมด เหมือนสงครามแบ่งโลกเป็นสองฝั่งเลย! หัวใจเต้นรัวเพราะอดใจรอไม่ไหวแล้วเนี่ย!]
[สุบารุ: โอ๊ย หนวกหูเฟ้ย!! คนเขาอุตส่าห์อินกับซีนตรงหน้าอยู่!?]
หลังอยู่กับกลุ่มทาสดาบกินุนไฮฟ์นานเข้า สุบารุก็เริ่มชินชากับชื่อปลอม “นัตสึกิ ชวาร์ซ” ของเขา
แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ พอมีคนเรียกชื่อจริงของเขา สุบารุก็จะจดจำได้เสมอว่าตัวเขาคือ “นัตสึกิ สุบารุ”
รุย: อูอาอู! อูอาอู อูอาอู อูอาอูว!
สุบารุ: รู้แล้ว! เข้าใจแล้วน่าว่าเรียกชื่อกันอยู่! อี๋ สกปรก!
รุยโผเข้ามาเอาหน้าซุกสุบารุในสภาพที่ทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหลเลอะเทอะจนตัวเขาเปื้อนไปหมด
กระนั้นสุบารุก็อดใจไม่หักห้ามรุย เพราะเขาติดหนี้บุญคุณเธอเอาไว้เยอะเช่นกัน แต่ก่อนหน้านั้นสุบารุก็ยังมีเด็กสาวอีกคนที่ต้องคุยกันก่อน
สุบารุ: ――เบียทริซ
เบียทริซ: ――สุบารุ
สุบารุจดจ้องเบียทริซที่อยู่ในอ้อมแขน เขารู้สึกยินดีที่ได้เธอช่วยย้ำเตือนอีกครั้งว่าชื่อจริงของตนคือ “นัตสึกิ สุบารุ”
ทันซ่า: ――ท่านชวาร์ซ ขออนุญาตหน่อยนะคะ?
รุย: อูอาอู!
ตอนนั้นเองที่เด็กสาวเผ่ามนุษย์กวาง “ทันซ่า” ปรากฏตัวขึ้น เธอมาเพื่อตามสุบารุให้อย่ามัวแต่ชักช้า เพราะสถานการณ์รบมันไม่คอยท่า
สุบารุเองก็เข้าใจหัวอกทันซ่า เพราะเธอคงอยากรีบกลับไปเจอนายหญิงยอร์น่าที่กำลังต่อสู้อยู่ที่ไหนสักแห่งในสนามรบนี้
. เบียทริซ: …สุบารุ นี่มันอะไรกันยะ ยัยเด็กกวางหน้าด้านนี่เป็นใครกัน?
ทันซ่า: ชื่อว่าทันซ่าค่ะ ตอนนี้เป็นเหมือนผู้ดูแลของท่านชวาร์ซ
เบียทริซ: หึ เข้าใจแล้วย่ะ คงลำบากแย่เลยสินะ จากนี้ไปพวกเบ็ตตี้จะดูแลสุบารุเองย่ะ ฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อแล้วนะยะ
ทันซ่า: ดูแลแทน เหรอคะ? ในสภาพแบบนั้นเนี่ยนะ? ดูเหมือนว่าจะขยับไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีท่านชวาร์ซช่วยอุ้มด้วยซ้ำนะคะ…
เบียทริซ: การได้อุ้มเบ็ตตี้ถือเป็นเป้าหมายชีวิตของสุบารุ เพราะงั้นไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลยย่ะ
สุบารุ: เดี๋ยวก่อนๆๆๆ ไหงพวกเธอถึงได้ตีกันล่ะ!? เป็นสาวน้อยด้วยกันก็ดีกันไว้เถอะนะ!?
พอเห็นว่าบทสนทนาไม่ไปไหนเสียที “กุสตาฟ มอเรโล” อุปราชสี่แขนแห่งเกาะกินุนไฮฟ์จึงเอ่ยแทรกขึ้นมา
รูปลักษณ์น่าเกรงขามของกุสตาฟทำให้เบียทริซตกใจจนเผลอร้องเสียงประหลาดออกมา
เบียทริซ: สุ…สุบารุ คนนี้คือ…?
สุบารุ: คุณกุสตาฟน่ะ ถึงภายนอกจะดูน่ากลัว แต่เป็นคนที่จริงจังและกล้าหาญมากเลย คุณกุสตาฟครับ ที่เกาะหลังผมอยู่คือรุย ส่วนเด็กคนนี้คือเบียทริซ เด็กคนนี้น่ะเป็น… ของชั้น?
กุสตาฟ: …อะไรของชั้นล่ะ?
สุบารุ: เอ่อคือ… แบบว่า… ไอ้นั่นไง ไอ้นั่นน่ะ
สุบารุพยายามเค้นสมอง แต่ก็นึกศัพท์คำว่า “พาร์ทเนอร์” ที่เขามักใช้เรียกเบียทริซเป็นประจำไม่ออก ทำเอาเบียทริซฉุนเฉียว
แต่ในขณะเดียวกันเบียทริซก็เข้าใจทันทีว่าไม่ใช่แค่ร่างกายของสุบารุที่ผิดปกติไป
. สุบารุขอให้เบียทริซช่วยเก็บความลับเรื่องที่เขาตัวหดลงเอาไว้ก่อน เพราะไม่อยากอธิบายกับพวกทาสดาบให้เรื่องมันยุ่งยาก
เขาให้สัญญาว่าไม่ได้ลืมเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเบียทริซ ว่าแล้วสุบารุจึงพิสูจน์ด้วยการกุมมือเบียทริซเพื่อให้เธอดูดมานาออกจากร่างเขา
สุบารุ: ถ้าขาดเธอไป ชั้นก็อยู่ไม่ได้ จริงมั้ย?
เบียทริซ: …รู้สึกอย่างกับว่าถูกเป่าหูอยู่เลยย่ะ อีกอย่าง…
สุบารุ: มีอะไรเหรอ?
เบียทริซ: ――สุบารุ นี่มัน…แปลกจังเลยย่ะ ตอนที่แยกจากเบ็ตตี้ สุบารุไม่มีหนทางดูดมานาออกนี่ยะ เพราะงั้นมานามันก็ควรจะสะสมอยู่หรอก แต่ปริมาณแบบนี้มัน…
สุบารุ: …?
สุบารุได้ยินเบียทริซพึมพำว่า “มากเกินไป” แต่ก่อนที่เขาจะทันได้จับใจความ ก็มีเหตุการณ์บางอย่างดึงความสนใจของเขาไปเสียก่อน
เฮียอิน: ――อ๊ะ พี่น้อง ชิบหายแล้ว! เจ้าเซซิลุสมันวิ่งไปนู่นแล้ว!
สุบารุ: หา!?
. สุบารมองตามเสียงเรียกของเฮียอินไปเห็นกลุ่มควันที่ปะทุขึ้นกลางสนามรบ เป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวป่วนเข้าไปลุยกลางวงแล้ว
สุบารุมองว่าคงไม่มีใครตามตัวเซซิลุสกลับมาได้อยู่ดี เขาเลยเตรียมดำเนินแผนขั้นต่อไป ไวส์และอิโดร่านำธงประจำกลุ่มขึ้นมาโบกทันทีเหมือนรู้ใจสุบารุ
เหล่าสหายจากเกาะทาสดาบกินุนไฮฟ์ติดตามสุบารุมาเข้าร่วมศึกนี้ด้วย แถมเขายังเกณฑ์พรรคพวกเพิ่มเติมได้ระหว่างทางอีกต่างหาก ทุกคนพากันชูธงเป็นหนึ่งเดียวกัน
――ธงที่มีสัญลักษณ์เป็นรูป “ดวงดาว”
สุบารุ: รุย ลงจากหลังชั้นก่อน
รุย: อา อู!
สุบารุ: ไม่หายไปไหนอีกแล้วน่า อย่าห่วงไปเลย คืนดีกับต้นเหตุที่พาบินไปนู่นไปนี่มาแล้วล่ะ
รุยยังคงระแวงว่าสุบารุจะถูกวาร์ปหายไปไหนอีก แต่สุดท้ายเธอก็ยอมลงจากหลังเขา
เบียทริซ: ――เบ็ตตี้ไม่คิดจะไหนหรอกนะยะ
สุบารุ: อา เธออยู่ด้วยกันนี่แหละ ――ทันซ่า พร้อมแล้วหรือยัง?
ทันซ่า: ค่ะ ――“หน่วยรบเพลอาเดส” พร้อมออกศึกทุกเมื่อแล้วค่ะ
สุบารุ: เซสชี่มันรู้แนวทางของชั้นดีโดยที่ไม่ต้องคอยบอกทุกครั้ง จุดนั้นก็ถือเป็นข้อดีล่ะนะ… เอาล่ะ ไปลุยกันเลยดีกว่า ทุกคน!
หน่วยรบเพลอาเดส: โอ้วววว!!
ธรรมเนียมปลุกใจก่อนออกลุยของสุบารุทำให้เบียทริซและรุยที่ไม่คุ้นเคยประหลาดใจเล็กน้อย
เบียทริซ: สุบารุ คิดจะทำยังไงต่องั้นเหรอยะ?
สุบารุ: ก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่? ――สงครามที่ไอ้พ่อเฮงซวยก่อขึ้นมาเนี่ย จะพังมันให้ป่นปี้เลย
. จบตอน