
บทที่ 7 ตอนที่ 98 "หน่วยรบเพลอาเดส"
สี่ประเทศมหาอำนาจล้วนแต่มีความก้าวหน้าในด้านทักษะการสู้รบที่แตกต่างกันออกไป
นครรัฐคารารากิโดดเด่นในด้านขุมกำลังเทคโนโลยี ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กุสเทโก้โดดเด่นในด้านศาสตร์วิญญาณและคำสาป ราชอาณาจักรลูกุนิก้าโดดเด่นในด้านเวทมนตร์
ในขณะเดียวกัน จักรวรรดิวอลลาเคียมีพัฒนาการด้านเวทมนตร์ต่ำสุดใน 4 ประเทศ แต่พวกเขาโดดเด่นในด้าน “ศิลปะการต่อสู้” แทน
[เอมิเลีย: แทนที่จะใช้เวทมนตร์ สู้วิ่งเข้าไปซัดหน้าศัตรูเลยมันไม่ไวกว่าเหรอ?]
นั่นคือคำกล่าวของผู้ใช้ศาสตร์วิญญาณนอกคอกคนหนึ่ง แต่ประชาชนชาววอลลาเคียส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องกับประโยคข้างต้นยามที่นึกถึงเวทมนตร์
เหล่านักรบผู้มากฝีมือจะเสริมแกร่งร่างกายของตัวเองด้วยมานาเวลาที่ต่อสู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวกระทำแบบ “ใต้จิตสำนึก” โดยอัตโนมัติ
แต่มันก็มีวิชาที่เซียนศิลปะการต่อสู้สามารถควบคุมมานาในการเสริมแกร่งร่างกายได้ดังใจอยู่ มันเรียกว่า “ครรลองสายธาร”
. ปกติแล้ว “ครรลองสายธาร” เป็นศาสตร์การต่อสู้ชั้นสูงที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างยาวนาน
ทว่า เซซิลุสกลับสามารถใช้ครรลองสายธารเร่งความเร็วตัวเองให้เหนือมนุษย์และวิ่งพล่านไปทั่วสนามรบได้ ทั้งที่เขาไม่เคยร่ำเรียนวิชามาก่อน
เรียกได้ว่าเซซิลุส เซ็กมุนต์คือผู้เกิดมามีพรสวรรค์เหนือสามัญสำนึกอย่างแท้จริง
เซซิลุสกระโจนเข้าสู่กลางสนามรบโดยที่ไร้ชุดเกราะหรือกระทั่งรองเท้าดีๆ การบุกรุกแบบป่าเถื่อนของเขาทำให้ถูกทั้งฝั่งกบฏและฝั่งจักรวรรดิมองเป็นศัตรู
กระนั้นเซซิลุสก็หาได้แคร์ไม่ เจ้าเด็กจอมซ่าประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะขอสะเออะมาแจมการสู้รบเพื่อให้กลุ่มทหารเกราะแดงโจมตีเข้ามาก่อน
เซซิลุสอาศัยความไวใช้ฝ่ามือจ้วงสวนใส่ลำคออีกฝ่าย ทหารจักรวรรดิตาเหลือกและหมดสติทันที
ที่จริงเซซิลุสนึกว่าเขาจะกุดศีรษะอีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ แต่พละกำลังในร่างเด็กมันลดลงกว่าที่คิดไว้
แต่นั่นก็เหมาะเจาะพอดี เนื่องจาก “บอส” ของเซซิลุสกำชับมาไม่ให้เขาฆ่าเรื่อยเปื่อย
. เซซิลุสหมุนตัวเตะสวนใส่ทหารอีกคนที่ฟันเข้ามา แล้วใช้โมเมนตัมนั้นกระโจนตัวไปกลางดงศัตรูเพื่อไล่จู่โจมทีละคน โดยแต่ละการโจมตีเล็งใส่จุดสำคัญ
นักรบฝั่งกบฏได้แต่อ้ำอึ้งยืนมองหนุ่มน้อยสายฟ้าแลบที่พุ่งตัวไปมาด้วยความเร็วเหนือมนุษย์และซัดทหารจักรวรรดิจนราบคาบหมด
กบฏ: นี่แก… มาจากฝั่งไหนกัน? ใช่พวกเดียวกันหรือเปล่า?
เซซิลุส: หืมๆๆ ผมอยู่ฝั่งไหนเหรอครับ? ถามได้ดีนี่ครับ คุณพี่ คิดว่าผมอยู่ฝั่งไหนกันล่ะ? มิตรหรือศัตรู?
กบฏ: …
เซซิลุส: ไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนนะ นี่ผมลองเค้นสมองคิดแล้วนะครับ คิดจริงจังอยู่เสมอแหละครับ แต่พอดีไม่ได้ตั้งใจฟังที่บอสพูด เลยไม่แน่ใจว่าอยู่ฝั่งไหน
กบฏ: หา?
เซซิลุส: เพราะงั้นในตอนนี้ จัดการทั้งสองฝั่งไว้ก่อนละกัน
พริบตาต่อมาเซซิลุสก็ซัดนักรบกบฏจนหมอบกับพื้นแล้วทยอยไล่เก็บพวกกบฏทีละคนทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาพึ่งจัดการทหารฝั่งตรงข้ามไป
มันเป็นภาพที่ราวกับกลุ่มนักรบกบฏถูกจู่โจมโดยวายุคลั่งที่มีหนุ่มน้อยผมสีน้ำเงินเป็นจุดศูนย์กลาง หรือเรียกอีกอย่างก็คือ…
กบฏ: อัสนีสีฟ้า…
เซซิลุส: เห ดีเลิศไปเลย ฉายานั้นแหละที่ผมจะใช้เรียกตัวเอง
ทหารจักรวรรดิและนักรบกบฏที่เหลืออยู่ไม่สนฝั่งตรงข้ามอีกต่อไป เพราะพวกเขาร่วมใจกันรุมสกรัมเซซิลุสก่อน
ทว่า ความพยายามเหล่านั้นก็ล้วนแต่สูญเปล่า หนุ่มน้อยหลบการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างง่ายดาย แล้วกำราบนักรบทั้งสองฝั่งอย่างราบคาบทั้งที่ไร้อาวุธในมือ
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังกระหึ่มมาจากทางเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป เสียงมันดังจนเหล่านักรบขวัญผวา แต่เมื่อเซซิลุสได้ยินเสียงนั้น เขาก็ฉีกยิ้มออกมา
เซซิลุส: เอาล่ะ สิ่งแรกที่จะแสดงให้เห็นเนี่ยแหละสำคัญที่สุดนะครับ บอส ――ช่วยแสดงความสุดยอดออกมาให้เห็นทีนะ
. ในบรรดาเวทมนตร์ทั้ง 6 ธาตุ “เวทแสงตะวัน” คือธาตุที่ถูกมองว่าด้อยค่าและไร้ประโยชน์ที่สุด โดยเฉพาะในจักรวรรดิวอลลาเคีย
เวทอัคคีมีคุณสมบัติในการควบคุมอุณหภูมิ จึงสามารถเสกได้ทั้งเปลวเพลิงและน้ำแข็ง
เวทวารีมีคุณสมบัติในการแทรกแซงพลังชีวิต จึงสามารถรักษาบาดแผลและโรคภัยไข้เจ็บได้
เวทวายุมีคุณสมบัติในการแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ บางทีมันก็สามารถใช้สร้างเขตปลอดภัยสำหรับมนุษย์ในพื้นที่อันตรายได้
เวทปฐพีมีคุณสมบัติในการแทรกแซงผืนดินเพื่อมอบความอุดมสมบูรณ์หรือทำให้แห้งแล้งได้
เวท 4 ธาตุหลักมีคุณสมบัติตรงตัว ใช้งานได้ง่าย ต่างจากเวทเงาและเวทแสงตะวันที่แค่หายากไม่พอ ยังมีคุณสมบัติคลุมเครืออีกต่างหาก
คนทั่วไปยังเข้าใจผิดอยู่เลยว่าเวทเงาและเวทแสงตะวันมีคุณสมบัติเพียงแค่การลดทอนและส่งเสริมสมรรถภาพของร่างกายมนุษย์
. เวทแสงตะวันสามารถใช้ยกระดับประสาทการมองเห็น ประสาทการได้ยิน เพิ่มความแข็งแกร่งของกำลังกาย หรือเสริมแกร่งมวลกระดูกและกล้ามเนื้อก็ยังได้
ฟังดูเหมือนดี แต่ปกตินักรบที่เก่งกาจจะคุ้นชินกับร่างกายที่ตนเองฝึกฝนมาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
พอนำเวทแสงตะวันมาเสริมแกร่งให้ มันเลยกลายเป็นว่านักรบคนนั้นต้องต่อสู้ด้วยร่างกายที่ถูกอัพสเปคสูงขึ้นอย่างกะทันหันโดยที่ไร้ความคุ้นชิน
สุดท้ายนักรบเหล่านั้นจึงตายไปในสนามรบโดยไม่ทันจะได้ดึงคุณสมบัติของร่างกายที่ผ่านการเสริมแกร่งมาใช้เลย
ไหนจะมีปัญหาที่ว่าการเสริมแกร่งจากเวทแสงตะวันมีค่าพลังไม่คงที่ เพราะมันขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจของผู้ใช้เวทมนตร์ในแต่ละวันอีก
. ในอดีตกาล “มูรูเคีย วอลลาเคีย” จักรพรรดิองค์ที่ 31 แห่งจักรวรรดิวอลลาเคียเคยคิดจะสร้างกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยการเสริมแกร่งจากเวทแสงตะวัน
จักรพรรดิมูรูเคียได้ทำการจับคู่นักรบแกร่งกล้ากับนักเวทแสงตะวันเพื่อฝึกฝนให้นักรบคุ้นชินกับร่างกายที่ถูกเสริมแกร่งด้วยเวทมนตร์
ทว่า หน่วบรบของเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากนักรบดันถูกฆ่าตายก่อนที่นักเวทที่ทันได้ร่ายเวท ทัพของมูรูเคียจึงแตกกระเจิงจนชีวิตเขาตกอยู่ในอันตราย
สุดท้าย วีวา “นักชำแหละ” บริวารคนสนิทของจักรพรรดิมูรูเคียก็สามารถโค่นแม่ทัพฝั่งศัตรูลงได้จนศึกครั้งนั้นจบลง
กระนั้นชื่อเสียงของมูรูเคียก็เสียหายไปตลอดกาล เขาถูกจดจำในฐานะ “จักรพรรดิผู้พ่ายยับเยิน” โดยคนรุ่นหลัง
เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ประชาชนวอลลาเคียด้อยค่าเวทมนตร์ โดยเฉพาะเวทแสงตะวัน และหันไปเน้นฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แทน
. เดิมทีการใช้เวทแสงตะวันเสริมแกร่งทหารทั้งกองทัพมันก็เป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ อยู่แล้ว เนื่องจากนักเวทสามารถเสริมแกร่งได้แค่ทีละคน
ทว่า ทุกอย่างมันย่อมมีข้อยกเว้นอยู่
สุบารุ: มาลุยกันเถอะ สหาย!!
เมื่อหนุ่มน้อยที่มีนักรบรายล้อมอยู่ไม่ต่ำกว่าพันคนร้องตะโกนขึ้นมา เหล่ามิตรสหายของเด็กชายพากันชูธงรูปดวงดาวขึ้นเพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกัน
นั่นคือกองกำลังของนัตสึกิ สุบารุ ที่มีนามว่า “หน่วยรบเพลอาเดส” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่มีปณิธานร่วมกัน
สุบารุ: ――พวกเราน่ะ แกร่งที่สุด!
หน่วยรบเพลอาเดส: แกร่งสุด! แกร่งสุด!! แกร่งสุดยอด!!
เสียงตะโกนของหน่วยรบเพลอาเดสดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ เบียทริซและรุยได้แต่ประหลาดใจต่อภาพตรงหน้าของพวกเธอ
สุบารุ: ――พวกเราน่ะ แกร่งที่สุด!
หน่วยรบเพลอาเดส: แกร่งสุด! แกร่งสุด!! แกร่งสุดยอด!!
เฮียอิน / ไวส์ / อิโดร่า / กุสตาฟ / กลุ่มออร์สัน / ปู่นูล / เร็กซ์ / มิลแซ็ก / คาชู / โมอิโซ / ดิรอย / ครีกคิน / โคโดโรว์ / เฟมเมล / โจซโร / และทันซ่า ร่วมกันตะเบ็งสุดเสียง
เสียงย่ำเท้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยขวัญกำลังใจของพวกเขาทำเอาผืนปฐพีสั่นสะเทือนไปทั่ว
สุบารุ: ――ท่านโชคชะตาเอ๋ยยย!!
หน่วยรบเพลอาเดส: มาเจอกันหน่อย! มาเจอหน่อยกัน! มาเจอกันสักตั้งโว้ย!!
สุบารุ: ――ลุยกันเลย
. การประกาศตัวของหน่วยรบเพลอาเดสที่เดินขบวนมุ่งหน้าไปยังปราการที่ 4 เป็นที่รับรู้อย่างชัดเจนต่อทหารจักรวรรดิที่คุ้มกันปราการดังกล่าวอยู่
เดิมทีปราการที่ 4 เป็นพื้นที่รับผิดชอบของแม่ทัพโอลบาร์ต ดันคลูเคน ลำดับ 3 แห่งเก้าแม่ทัพเทวะ ซึ่งชิโนบิเฒ่าก็สามารถป้องกันปราการไว้ได้แบบแทบไร้ความเสียหาย
ทว่า โอลบาร์ตจำเป็นต้องไปอุดช่องโหว่ของปราการแห่งอื่นที่ถูกตีแตก เขาจึงทิ้งลูกน้องชิโนบิไว้คุ้มกันปราการที่ 4 ร่วมกับหน่วยทหารของแม่ทัพชั้นโทนามว่า “กู๊ดด้า เดียร์โม”
เนื่องจากชิโนบิลูกน้องโอลบาร์ตจะเป็นผู้รับมือกับหน่วยรบมังกรบินของเซรีน่า ดราครอย หน่วยทหารของกู๊ดด้าจึงต้องเป็นผู้กำราบหน่วยรบที่ชูธงรูปดวงดาว
กู๊ดด้า เดียร์โม เป็นชายร่างกำยำที่ตัวสูงกว่า 2 เมตร เขาใช้แท่งโลหะคู่ที่แต่ละข้างหนักเกือบ 100 กิโลกรัมเป็นอาวุธ
สมัยที่กู๊ดด้ายังเป็นแม่ทัพชั้นตรี ทัพกบฏเผ่ามนุษย์เสือได้สังหารแม่ทัพชั้นโทซึ่งเป็นผู้บัญชาการของเขาอย่างเหี้ยมโหดด้วยการกัดกระชากศีรษะ
แต่กู๊ดด้าก็ไม่ยอมแพ้และฝืนสู้กลับจนทัพกบฏมนุษย์เสือย่อยยับ เขารอดชีวิตมาจากวันนั้นได้โดยมีบาดแผลจากเล็บเสืออยู่ทั่วร่าง
กู๊ดด้า เดียร์โม จึงได้รับสมญานามว่า “นักล่าพยัคฆ์” นับแต่นั้นมา
. จิตต่อสู้ของกู๊ดด้าไม่หวั่นไหวแม้ยามที่ผู้บัญชาการของเขาถูกสังหาร ดังนั้น เขาย่อมไม่ยำเกรงต่อหน่วยรบที่มีจำนวนคนมากกว่า
กู๊ดด้า: จู่โจม!!
เมื่อกู๊ดด้ากระโจนตัวเข้าหาทัพของศัตรู เหล่าทหารใต้อาณัติก็ชักอาวุธวิ่งตามหลังแม่ทัพของพวกตน
ที่เบื้องหน้าทัพกบฏที่ชูธงรูปดวงดาว มีอาชาลมกรดสีแดงวิ่งนำหน้าอยู่
กู๊ดด้าไม่สนใจสารถีที่กุมบังเหียนม้าลมกรดอยู่ แต่เขามุ่งเป้าไปยังหนุ่มน้อยผมสีดำที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยกัน แถมหนุ่มน้อยคนนั้นยังอุ้มเด็กสาวอีกคนมาด้วยกัน
ลักษณะภายนอกของหนุ่มน้อยบ่งบอกว่าเขาคือ “องค์ชายรัชทายาทผมดำ” ตามข่าวลือ
แต่เหล่าทหารจักรวรรดิอย่างกู๊ดด้าไม่สนใจว่าเรื่องเด็กผมดำจะเป็นจริงหรือเท็จ ――เพราะว่าองค์จักรพรรดิที่พวกเขานับถือมีเพียงผู้เดียว
กู๊ดด้า: ――ศัตรูของจักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคีย ไอ้พวกกบฏต่ำช้าาา!!
กู๊ดด้าคำรามราวกับเสือและกระโจนเข้าไปหวดหัวหน้าของศัตรูด้วยแท่งโลหะคู่ เขากะจะขยี้หนุ่มน้อยผมดำให้แหลกไปพร้อมกับอาชาลมกรด ทว่า…
กุสตาฟ: การปกป้องชวาร์ซ คือภาระหน้าที่ของกระผมในตอนนี้
อมนุษย์สี่แขนที่ร่างกายใหญ่โตยิ่งกว่ากู๊ดด้าใช้โล่ขนาดใหญ่ป้องกันการโจมตีจากแท่งโลหะคู่ของเขาเอาไว้ได้
ไวส์: แล้วก็… การอัดศัตรูของชวาร์ซให้ยับคือหน้าที่ของข้า!
กู๊ดด้า: อ่อก!?
ชั่วขณะที่เขาเปิดช่องว่างเพราะการโจมตีถูกตั้งรับ ชายที่มีรอยสักทั่วร่างก็ใช้ค้อนขนาดใหญ่หวดกู๊ดด้าจนกระเด็นขึ้นฟ้า
อีกฝ่ายเคลื่อนไหวแบบมือสมัครเล่นแท้ๆ ร่างกายก็ไม่ได้มากกำยำมากมาย ชายที่มีรอยสักไม่ควรที่จะมีพละกำลังมหาศาลขนาดนั้นเลย
ทว่า เรื่องประหลาดไม่ได้เกิดกับแค่กู๊ดด้าคนเดียว เนื่องจากหน่วยรบของศัตรูสามารถบดขยี้หน่วยทหารของกู๊ดด้าลงได้อย่างง่ายดาย
กู๊ดด้า: บ้าบอสิ้นดี…
ภาพอันน่าเหลือเชื่อนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่กู๊ดด้าได้เห็นก่อนที่เขาจะหมดสติไป
. หน่วยรบเพลอาเดสมิได้มีทักษะการต่อสู้โดดเด่น อาวุธก็ด้อยกว่า ประสบการณ์ก็เทียบหน่วยทหารที่ฝึกฝนอย่างเคี่ยวเข็ญของกู๊ดด้า เดียร์โมไม่ได้เลย
สิ่งเดียวที่หน่วยรบเพลอาเดสมีคือเจตจำนงค์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันและคำปฏิญาณที่ว่าจะไม่ยอมย่อท้อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
――สิ่งนั้นแหละคือกุญแจสำคัญเบื้องหลังความแข็งแกร่งผิดปกติของพวกเขา
ที่แผนการเสริมแกร่งกองทัพด้วยเวทแสงตะวันของจักรพรรดิมูรูเคียล้มเหลวเป็นเพราะข้อจำกัดด้านความไม่แน่นอนและข้อจำกัดด้านจำนวน
แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อเว้นอยู่ เช่น ถ้าหากว่ากองทัพทั้งหนึ่งพันคนได้รับการเสริมแกร่งในปริมาณที่เท่ากันเป๊ะโดยที่ไม่ได้ผลจากช่องว่างความแตกต่างของระดับพลังก่อนหน้าและหลังการเสริมแกร่ง
และที่สำคัญที่สุดคือการที่ไม่จำเป็นต้องเตรียมผู้ใช้เวทแสงตะวันให้เท่ากับจำนวนของนักรบ แต่มีแค่คนเดียวก็เพียงพอ
สิ่งที่ทำให้เรื่องนั้นเป็นไปได้คือตัวตนของนัตสึกิ สุบารุ ――ไม่สิ ตัวตนของ “นัตสึกิ ชวาร์ซ” ที่ทั้งเคารพรักพวกพ้องและเป็นที่เคารพรักของพวกพ้องในหน่วยรบเพลอาเดส
――สุบารุผู้ได้รับการเสริมแกร่งจากเวทแสงตะวัน แบ่งปันการเสริมแกร่งนั้นให้แก่พวกพ้องทุกคนผ่านอำนาจ “คอร์ ลีโอนิส”
อำนาจแห่ง “ราชาตัวจ้อย” ที่ปกติแบ่งปันบาดแผลและการแบกรับภาระ ถูกนำมาใช้เพื่อแบ่งปันขุมพลังที่ราชามิอาจแบกรับได้คนเดียวกับพวกพ้องที่สนับสนุนเขา
สุบารุ: ――รักพวกนายทุกคนจังเลยเฟ้ย!!
ด้วยเหตุนั้น นัตสึกิ สุบารุ จึงสามารถเปลี่ยนคนธรรมดาหนึ่งพันคนในหน่วยรบเพลอาเดสให้กลายเป็นกองทหารไร้เทียมทานได้
. จบตอน