webnovel arc7 chapter99

บทที่ 7 ตอนที่ 99 "สิ่งที่ปกครองท้องนภา"

เบียทริซที่นั่งอยู่หน้าสุบารุบนม้าลมกรดที่มีอิโดร่าเป็นผู้กุมบังเหียนรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นกลุ่มมือสมัครเล่นถล่มทหารจักรวรรดิจนยับเยิน

เบียทริซ: …ไม่อยากจะเชื่อเลยย่ะ

สิ่งที่หน่วยรบเพลอาเดสกำลังทำอยู่คงจะพอจำกัดความได้ว่ามันคือ “วอร์คราย” หรือการตะโกนเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้แก่พวกพ้องยามสู้รบ

แต่สำหรับเบียทริซแล้ว เธอเห็นมันเป็นมากกว่าการใช้เสียงตะโกนปลุกระดมธรรมดา

เบียทริซ: ――การปลุกเร้ามนตร์จำแลง

“การปลุกเร้ามนตร์จำแลง” คือศาสตร์โบราณที่หายสาปสูญไปในอดีตกาล แม่มดเอคิดน่าเป็นผู้ตั้งชื่อชั่วคราวให้กับมัน

แต่สุดท้ายกระทั่งเอคิดน่าผู้รอบรู้เวทมนตร์ทุกแขนงยังละทิ้งมันไปเพราะมันเป็นไปแทบไม่ได้เลยในเชิงปฏิบัติที่จะนำการปลุกเร้ามนตร์มาจำแลงใช้

การปลุกเร้ามนตร์จำแลงคือการบังคับเปิดเกทที่ปกติไม่ได้ใช้ในร่างกายเพื่อฝืนปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในสถานะ “ริวโฮ”

มันคือการปลดลิมิตเตอร์ให้กับร่างกาย คล้ายกับเวลาที่อะดรีนาลีนหลั่งในสถานการณ์ฉุกเฉินจนมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาล

. ถ้าหากริวโฮคือการปลดลิมิตเตอร์ร่างกายด้วยตัวคนเดียว การปลุกเร้ามนตร์จำแลงก็คือการบังคับปลดลิมิเตอร์แบบหมู่

ในอดีต เอคิดน่าเคยได้เห็นชนเผ่ากลุ่มเล็กๆ ที่สามารถเปิดใช้การปลุกเร้ามนตร์จำแลงผ่านการตะโกนปลุกขวัญกำลังใจในสนามรบ

ผลลัพธ์ทำให้ชนเผ่ากลุ่มเล็กๆ นั้นสามารถเอาชนะทัพที่ใหญ่กว่าได้ แต่สุดท้ายชนเผ่าที่ว่าก็พ่ายแพ้และเลือนหายในประวัติศาสตร์อยู่ดี

เนื่องจากมันมีข้อจำกัดยิบย่อยอยู่มาก เช่น คนในกลุ่มต้องสนิทกัน สมาชิกในกลุ่มต้องไม่มากเกินไป คนใดคนหนึ่งในกลุ่มจะเก่งเกินหน้าเกินตาเพื่อนมากไม่ได้

สุดท้ายผู้คนจึงละทิ้งแนวความคิดนี้ไปและหันไปฝึกฝนริวโฮแบบเดี่ยวๆ เสียมากกว่า

. หน่วยรบเพลอาเดส: แกร่งสุด! แกร่งสุด! แกร่งสุดยอด!!

กระนั้นหน่วยรบเพลอาเดสกลับมีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การปลุกเร้ามนตร์จำแลงอย่างน่าเหลือเชื่อ

พวกเขามีสุบารุเป็นศูนย์กลางที่ได้รับความเชื่อถือจากพวกพ้อง ทั้งกลุ่มไม่มีใครเก่งแบบโดดเด่นเกินไปจนทำให้เสียสมดุล

ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้รับการพัฒนา พละกำลัง ความถึกทนและความเร็วในการตอบสนองของพวกเขาล้วนแต่ได้รับการเสริมแกร่ง

ด้วยเหตุนี้ กองทหารจักรวรรดิจึงถูกกลุ่มนักรบมือสมัครเล่นบุกทะลวงจนเสียกระบวนรบอย่างง่ายดาย

สุบารุ: ――อัดให้ปลิวเลย แต่อย่าให้ถึงตายล่ะ! ให้พวกมันสำเหนียกว่าไม่มีวันสู้ได้ก็พอ!

หน่วยรบเพลอาเดส: โอ้ววว!!

หน่วยรบเพลอาเดส: วางใจได้เลย บอส!

หน่วยรบเพลอาเดส: อย่างที่ท่านช่วยพวกข้าไว้!!

สนามรบมีทหารจักรวรรดิที่บาดเจ็บนอนกองเป็นภูเขา พวกเขายังไม่ตาย แต่ทั้งร่างกายและจิตใจแตกสลายจนสู้ต่อไม่ไหวอีกแล้ว

. สุบารุและหน่วยรบเพลอาเดสตะโกนปลุกใจด้วยความฮึกเฮิมอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกตนกำลังใช้การปลุกเร้ามนตร์จำแลงอยู่

เบียทริซมิได้ล่วงรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ทฤษฎีเป็นจริงขึ้นมาได้คืออำนาจ “ราชาตัวจ้อย” ในร่างของสุบารุ กระนั้นเด็กสาวก็ภูมิใจในพาร์ทเนอร์ของเธออยู่ดี

ที่ผ่านมาเบียทริซกุมมือสุบารุจนเธอได้รับมานาที่ขาดหายไปนานกลับคืนมามากพอแล้ว ตอนนี้เธอจึงพร้อมให้การสนับสนุนหน่วยรบเพลอาเดส

เบียทริซ: ――เอล ชามัค!

กลุ่มควันสีดำก่อตัวขึ้นบริเวณศีรษะของทหารที่ป้องกันปราการอยู่ ควันเหล่านั้นช่วงชิงสติสัมปชัญญะไปจากทหารและทำให้จิตต่อสู้หยุดชะงักไปจนต่อต้านไม่ได้

หลังจากที่หน่วยรบเพลอาเดสเข้าร่วมศึกเพียงไม่กี่นาที ปราการที่ 4 ที่ก่อนหน้านี้แทบจะไร้ความเสียหายก็ถูกตีจนแตกพ่ายอย่างง่ายดาย

. ข่าวคราวเรื่องหน่วยรบประหลาดที่ปรากฏตัวจากทิศตะวันตกและพังปราการที่ 4 ดังไปถึงหูของวินเซนต์ที่ค่ายบัญชาการ

เซรีน่า ดราครอยเองก็มาเยี่ยมเยือนวินเซนต์ถึงที่เช่นกัน เซรีน่ายืนยันว่าหน่วยรบเพลอาเดสมิใช่กองกำลังของเธอและแอบบ่นหน่วยรบมังกรบินของเธอถูกแย่งซีนไป

เดิมทีวินเซนต์กับเซรีน่าเป็นคนรู้จักกัน แต่หน้ากากอสูรที่วินเซนต์สวมอยู่ก็ช่วยปกปิดการรับรู้จนเซรีน่าจดจำเขาไม่ได้

วินเซนต์คำนวณไว้แต่แรกแล้วว่าเซรีน่าพร้อมจะแว้งกัดจักรพรรดิเสมอและนับเธอเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่จะใช้ในศึกตัดสิน

หากเซรีน่าสามารถชนะศึกกับฝูงมังกรบินของมาเดลิน เอสชาร์ตได้ เธอก็จะได้กอบกู้ชื่อเสียงคืนมาว่าใครที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าด้านกำลังรบทางอากาศกันแน่

. การปรากฏตัวของหน่วยรบเพลอาเดสอยู่นอกเหนือความคาดหมายจนวินเซนต์แอบไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แม้มันจะส่งผลดีต่อฝ่ายเขาก็ตาม

ตามที่เซรีน่าได้ยินมา เนื่องจากหน่วยรบเพลอาเดสอยู่ไกลจากนครหลวง พวกเขาจึงต้องวิ่งทั้งวันทั้งคืนเพื่อมาถึงลูปุกาน่าให้ทันช่วงเวลาของศึกตัดสิน

แต่พวกเขากลับดูไม่เหนื่อยล้าหรือสูญเสียขวัญกำลังใจเลยแม้แต่น้อย

เซรีน่า: ได้ยินว่าผู้นำกลุ่มคือ “องค์ชายรัชทายาทผมดำ” ที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ ทีแรกก็ขำที่ได้ยินว่าฝ่าบาทวินเซนต์มีลูกลับๆ กระจายอยู่ทั่วประเทศ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่เหมือนโดดเด่นเหมือนเป็นของจริงโผล่มา

วินเซนต์: ――เป็นเช่นนั้นเองงั้นรึ?

เซรีน่า: หือ?

หลังได้ยินเรื่องเล่าของเซรีน่า วินเซนต์ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างกระจ่างแจ้งและชำเลืองยังทิศที่ฝุ่นควันฝุ้งกระจาย

วินเซนต์: ――ในที่สุด แกก็พร้อมที่จะใช้พลังอย่างเต็มที่แล้วสินะ?

เรื่องนี้ต้องอยู่นอกเหนือความคาดหมายของจักรพรรดิตัวปลอมด้วยแน่นอนและวินเซนต์จะใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่

วินเซนต์: ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนในสนามรบฝั่งตะวันตก กระนั้น ปราการที่ 3 ก็ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอยู่ดี ไม่ยอมรามือแค่นี้หรอก ――ไฮเคาน์เตสดราครอย

เซรีน่า: เข้าใจแล้ว จะแสดงความแตกต่างระหว่างมังกรบินทั่วไปกับหน่วยรบมังกรบินที่ฝึกฝนมาอย่างดีให้องค์จักรพรรดิตาไม่ถึงที่ดันให้ค่ามนุษย์มังกรจอมป่าเถื่อนได้เห็นเอง

เซรีน่ากล่าวพลางฉีกยิ้มออกมาโดยมิได้รู้ตัวเลยว่าจักรพรรดิตัวจริงนั่งอยู่ข้างๆ เธอนี่แหละ

. ฝูงมังกรบินของมาเดลินที่บินอยู่เหนือน่านฟ้าคอยไล่บุกทลายและจู่โจมผู้คนไปทั่วสนามรบอย่างไม่เกรงกลัว เพราะความดุร้ายอันเป็นธรรมชาติของพวกมัน

ทว่า ฝูงมังกรบินก็ไม่กล้าหาเรื่องศัตรูไปทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เก้าแม่ทัพเทวะกำลังต่อสู้กับนักรบแนวหน้าฝ่ายกบฏอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปราการ 3…

[เมโซเรย์อา: ――ข้า เมโซเรย์อา ข้าขอตอบรับเสียงเพรียกหาของบุตรีผู้เป็นที่รักและจักกลายเป็นสายลมแห่งวิมาน]

เอมิเลีย: ――ไอซิเคิลไลน์!!

เอมิเลียกระโจนตัวออกไปพร้อมใช้มือสองข้างวาดเส้นน้ำแข็งขึ้นมาบนพื้น และในพริบตาต่อมาจุดที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่ก็ถูกหางมังกรฟาดจนแหลก

การโจมตีนั้นรุนแรงขนาดที่พื้นแยกออกและน้ำแข็งระเหยเป็นไอ นั่นคือการจู่โจมของมังกรแท้เกล็ดขาวที่สวมเมฆเหมือนอาภรณ์

――มังกรเมฆา “เมโซเรย์อา”

เอมิเลียจำได้ว่าในประเทศวอลลาเคียนี้มีเมืองที่มีชื่อเดียวกันกับเจ้ามังกรตัวนี้อยู่

ในระหว่างนั้นกำแพงน้ำแข็งสูงตระหง่านก็งอกขึ้นมาจากเส้นที่เอมิเลียขีดไว้ก่อนหน้า กลายเป็นกรงขังที่กักตัวไม่ให้เมโซเรย์อาบินหนีไปที่อื่น

เอมิเลีย: จะปล่อยให้เจ้านี่ไปหาทุกคนไม่ได้

แค่สู้กับมาเดลินก็ลำบากแล้ว นี่เธอต้องมารับมือกับเมโซเรย์อาอีก เอมิเลียรู้สึกอยากได้ใครสักคนมาช่วยสู้อยู่เต็มแก่

แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าเป็นคนสู้แบบประสานงานไม่ค่อยเก่ง เอมิเลียจำเป็นต้องมีคู่หูที่ปรับตัวเก่งอย่างพริสซิลล่าจึงจะสามารถสู้เคียงคู่อย่างมีประสิทธิภาพได้

. ในเมื่อไม่มีทางหวังใครมาช่วยเธอได้ เอมิเลียจึงเตรียมใจมุ่งมั่นในการต่อสู้แบบตัวคนเดียว

อุณหภูมิภายในอาณาเขตของไอซิเคิลไลน์เริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ หนาวจนกระทั่งมังกรบินหรือมังกรวารีก็ไม่สามารถทนอยู่ได้

เอมิเลีย: ――เหมือนกับตอนที่พัคอยู่ในช่วงปลดปล่อยเวทเลย

ความหนาวเย็นของสนามรบในตอนนี้เทียบเท่ากับตอนที่พัคเกือบเยือกแข็งคฤหาสน์รอสวาล กระทั่งนักรบสุดแกร่งของวอลลาเคียย่อมต่อสู้ได้ยากในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

[เมโซเรย์อา: ――ข้า เมโซเรย์อา ข้าขอตอบรับเสียงเพรียกหาของบุตรีผู้เป็นที่รักและจักกลายเป็นสายลมแห่งวิมาน]

เมื่อสิ้นเสียงที่ราวกับท้องนภาเป็นผู้เอ่ยขึ้น เมโซเรย์อาก็กระหน่ำโจมตีด้วยหางแส้ที่ฉีกแยกผืนปฐพีได้ กรงเล็บที่ข่วนแยกมิติได้ และลมหายใจที่สามารถเป่าครึ่งเมืองให้หายวับไป

เพียงแค่มังกรเมฆากระพรือปีก กำแพงน้ำแข็งที่เอมิเลียสร้างขึ้นก็พังทลายลงไป

เอมิเลียต้องคอยเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำเพื่อหลบเศษน้ำแข็งที่แตกออกมา บางครั้งก็ต้องใช้ดาบกับโล่น้ำแข็งปัดป้อง

. ที่เอมิเลียสามารถต่อกรกับศัตรูระดับนี้โดยไม่ละสายตาได้เป็นเพราะเธอมีประสบการณ์ต่อสู้กับมังกรเทพวอลคานิก้าที่หอสังเกตการณ์เพลอาเดส

นอกจากนี้ประสบการณ์ที่ได้เจอกับวอลคานิก้า มันยังทำให้เอมิเลียนึกอีกเรื่องหนึ่งออก

เอมิเลีย: เมโซเรย์อา! ขอร้องล่ะ ฟังทางนี้พูดก่อน! ฉันจะสู้กับมาเดลิน…

[เมโซเรย์อา: ――ข้า เมโซเรย์อา ข้าขอตอบรับเสียงเพรียกหาของบุตรีผู้เป็นที่รักและจักกลายเป็นสายลมแห่งวิมาน]

เอมิเลีย: อือ กะแล้วเชียว…

[เมโซเรย์อา: ――ข้า เมโซเรย์อา ข้าขอตอบรับเสียงเพรียกหาของบุตรีผู้เป็นที่รักและจักกลายเป็นสายลมแห่งวิมาน]

เอมิเลีย: แก่เลอะเลือนจนจำอะไรไม่ได้เหมือนวอลคานิก้าเลยสินะ!

ลางสังหรณ์เลวร้ายของเอมิเลียกลายเป็นจริงขึ้นมา มังกรแท้เจ้าแห่งเวหา “เมโซเรย์อา” อยู่ในสภาพผิดปกติไม่ต่างจากวอลคานิก้าเลย

. จบตอน