webnovel arc8 chapter11

บทที่ 8 ตอนที่ 11 "หนวกหูโว้ย"

ย้อนความไปเล็กน้อย

ระหว่างที่วินเซนต์กำลังเดินข้ามขบวนรถมกรไปยังตู้โดยสารที่มีห้องพักของสุบารุ เรมได้เอ่ยทักทายเขา แต่วินเซนต์ไม่มีอารมณ์เสวนาเรื่อยเปื่อย

เรม: จะไปเยี่ยมหาคนๆ นั้นเหรอคะ คุณอาเบล?

วินเซนต์: มิใช่อาเบล เราผู้นี้คือวินเซนต์ วอลลาเคีย

เดิมทีอาเบลก็เป็นเพียงชื่อปลอมสำหรับใช้ชั่วคราวที่เขาตั้งขึ้นจากนามสกุล “อาเบลุกซ์” อยู่แล้ว ตอนนี้เขาเลยไม่อยากถูกเรียกด้วยชื่อนั้นอีก

วินเซนต์: ――ได้รับรายงานว่าเจ้านั่นลืมตาตื่นแล้ว เราผู้นี้ก็เลยจะไปเผชิญหน้ากับมัน

เรม: คนๆ นั้นน่ะไม่ใช่ศัตรูของคุณอาเบลนะคะ

วินเซนต์: ――ว่าไงนะ? เราผู้นี้คือวินเซนต์ วอลลาเคีย อย่าให้มีครั้งที่สามเชียวล่ะ

วินเซนต์พยายามตัดจบบทสนทนา แต่เรมกลับยังพูดต่อ โดยที่ยังคงเรียกชื่อเขาผิดเหมือนไม่ได้ฟัง

แถมเรมยังย้ำประโยคเดิมอีกว่า “คนๆ นั้นน่ะไม่ใช่ศัตรูของคุณอาเบลนะคะ” จนวินเซนต์เริ่มหมดความอดทน

วินเซนต์: เรม เจ้าทำเราผู้นี้เสียเวลาไปสองรอบแล้ว อย่าให้มีอีกครั้งเชียว ครั้งหน้าที่เสียมารยาทศีรษะจะได้หลุดจากบ่า

. หลังปลีกตัวออกมาจากเรม วินเซนต์ก็มาเผชิญหน้ากับสุบารุที่ห้องพัก จดจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตรและเปิดบทสนทนาด้วยประโยค…

วินเซนต์: เจ้าน่ะแตกฉานในวิชามากเพียงใดกัน นัตสึกิ สุบารุ? ――“นักอ่านดารา” แห่งราชอาณาจักรมิตรมังกรเอ๋ย

สุบารุและวินเซนต์พบกันครั้งแรกในฐานะคนแปลกหน้าในป่าแบดไฮม์ แล้วได้รู้ภายหลังว่าวินเซนต์เป็นจักรพรรดิที่ถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์

ทั้งสองฝ่าฟันอะไรร่วมกันมาหลายอย่างจนตอนนี้วินเซนต์กลับมาเป็นจักรพรรดิดังเดิมแล้ว แม้จะต้องสละนครหลวงไปก็ตาม

สุบารุ: เป็นเกียรติเหลือเกินที่คุณวินเซนต์ วอลลาเคียคนนั้นอุตส่าห์มาเยี่ยม พอดีเลย ช่วยปอกแอปป้าให้ทีได้มะ?

วินเซนต์: ไม่ต้องมาเล่นลิ้น ถึงอย่างไรเราผู้นี้ไม่เคยต้องปอกผลไม้เอง อีกอย่าง ไม่เห็นจะมีแอปป้าเลยนี่?

สุบารุงงว่าวินเซนต์ตาถั่วหรืออย่างไร เพราะว่าในตะกร้าผลไม้เยี่ยมไข้ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงนอนมันมีผลแอปป้าเรียงรายอยู่ชัดเจน

สุบารุ: ในตระกร้าผลไม้นั่นไง สีแด๊งแดงน่ากินเนอะว่าไหม?

วินเซนต์: เจ้าคนเขลา คิดจะหลอกเราผู้นี้งั้นหรือ? แอปป้าน่ะเป็นผลไม้สีขาวต่างหาก

สุบารุ: เนื้อด้านในมันสีขาวก็จริง …เดี๋ยวนะ ทำไมบทสนทนานี้มันคุ้นๆ อย่างกับว่าเคยได้ยินมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว

ถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับสุบารุที่มีเรื่องสามัญพื้นๆ ที่วินเซนต์ไม่รู้อยู่ด้วย มันคงเป็นความต่างของชนชั้น

. ระหว่างที่สุบารุมัวอ้ำอึ้ง วินเซนต์ก็เดินไปหยิบมีดบนโต๊ะมาผ่าแอปป้าเป็นสองซีกเพื่อดูด้านใน แล้วพอได้เห็นเนื้อสีขาว เขาก็วางผลไม้และมีดลงเงียบๆ

สุบารุใช้โอกาสนั้นวกกลับไปถามเรื่อง “นักอ่านดารา” ที่วินเซนต์กล่าวถึงเมื่อครู่

เขาจำได้ว่านั่นคือคำเรียกนักพยากรณ์ที่อยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิ ซึ่งสามารถทำนายอนาคตได้คล้าย “ศิลาปฏิทินมังกร” ของลูกุนิก้า

วินเซนต์มีอคติต่อนักอ่านดาราอย่างชัดเจนจากท่าทีและน้ำเสียง จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาได้ข้อสรุปเช่นนั้นต่อสุบารุได้อย่างไร

วินเซนต์: เจ้ารู้มากเพียงใดกัน?

สุบารุ: หมายถึงรู้สถานการณ์มากแค่ไหนเรอะ? ถ้างั้นก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนักหรอก พอตื่นมาก็ได้รู้ว่าพวกเอมิเลียช่วยดูแล…และกำลังถอยทัพกันอยู่

วินเซนต์: …

สุบารุ: สงครามกลางเมืองหยุดสต็อปไปตอนที่ทุกคนอพยพออกจากนครหลวงจักรวรรดิ… คงจะสบสันวุ่นวายน่าดู โชคดีที่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาติดข้องอะไร

สุบารุเปิดหน้าต่างดูและพบว่าด้านนอกเป็นยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ตั้งแต่เขาลืมตาตื่น รถมกรไม่ได้หยุดวิ่งเลยสักครั้ง จึงพออนุมานได้ว่าไม่มีปัญหาติดขัดอะไร

. ที่การอพยพคนจำนวนมากถึงหลักแสนดำเนินไปอย่างราบรื่นคงเป็นเพราะความช่วยเหลือจาก “เก้าแม่ทัพเทวะ” ที่วินเซนต์ดึงกลับมาอยู่ใต้อาณัติได้สำเร็จ

วินเซนต์คือตัวท็อปที่มีทักษะความเป็นผู้นำและคาริสม่าเหลือล้น แม้จะกังขาในตอนแรก แต่ในยามนี้สุบารุเชื่อมั่นแล้วว่าวินเซนต์คือผู้ที่สมกับเป็นจักรพรรดิจริงๆ

วินเซนต์: ――เรื่องนั้นเองก็เป็นไปตามคำทำนายของเจ้าด้วยงั้นหรือ?

สุบารุ: เอ๋?

น้ำเสียงที่มีอารมณ์เกลียดชังแฝงอยู่ชัดเจนของวินเซนต์ทำให้สุบารุตั้งตัวไม่ทัน พอรู้ตัวอีกหน้าผากของเขาก็ถูกผลักจนหงายหลังล้มบนเตียง

วินเซนต์จดจ้องดวงตาของสุบารุในระยะประชิดและใช้มีดปอกผลไม้จ่อคอของหนุ่มน้อยเอาไว้ พร้อมจะปาดคอทิ้งทันที่สุบารุตะโกนขอความช่วยเหลือ

สุบารุ: ทำบ้า…อะไรวะเนี่ย…

วินเซนต์: เจ้านั่นแหละคิดอะไรอยู่กันแน่ เจ้าล่วงรู้เหตุการณ์ได้มากเพียงใดกัน ทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงตอนนี้เป็นไปดังนิมิตที่เจ้าเห็นเลยงั้นหรือ?

สุบารุ: …บอกแล้วไงวะ! พูดบ้าอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง ชั้นจะไปวางแผนอะไร…

วินเซนต์: ――ทำไมถึงเหลือเราผู้นี้ไว้ แทนที่จะเป็นจิชา?

มือที่กำมีดอยู่เริ่มสั่นเทา วินเซนต์กัดฟันถามสุบารุด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าคมมีดในมือ

สุบารุ: อาเบล…

วินเซนต์: วินเซนต์ วอลลาเคียต่างหาก

สุบารุ: …

วินเซนต์: เราผู้นี้มิใช่อาเบล หากแต่เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 77 แห่งจักรวรรดิวอลลาเคีย วินเซนต์ วอลลาเคีย ――นั่นแหละคือสถานการณ์ที่เจ้าปรารถนามิใช่หรือไงกัน?

. แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวเบื้องลึก แต่สุบารุก็พอสัมผัสได้ว่าวินเซนต์ดูฝืนทนเหลือเกินยามที่เขาเรียกตัวเองด้วยชื่อจริงนั้น

ในฐานะจักรพรรดิ วินเซนต์มี “ภาระหน้าที่” อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมา ตั้งแต่สานสัมพันธ์กับเผ่าชูดราคจนถึงสงครามกลางเมือง ทั้งหมดก็เพื่อการนั้น

วินเซนต์: วินเซนต์ วอลลาเคียสิ้นชีพบนบัลลังก์และทิ้งวิธีการต่อต้าน “มหาภัยพิบัติ” ที่จะคุกคามจักรวรรดิเอาไว้เป็นจุดเริ่มต้น นั่นแหละคือภาระหน้าที่ของเราผู้นี้

สุบารุ: หา… พูดอย่างกับว่าตั้งใจจะตายเลยไม่ใช่รึไงฟะนั่น?

วินเซนต์: ใช่แล้ว เราผู้นี้ใช้ความตายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ต่อให้เราผู้นี้ต้องดับสิ้น ก็ได้ทิ้งแผนการที่จะช่วยให้จักรวรรดิวอลลาเคียไม่ต้องพินาศเอาไว้แล้ว

สุบารุ: ไอ้เวรนี่ อย่ามาล้อกันเล่นนะโว้ย!

คำยืนยันของวินเซนต์กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สุบารุบันดาลโทสะ เขาตะโกนด่าไอ้คนขี้ขลาดตรงหน้าโดยไม่สนแม้คมมีดจะเริ่มบาดคอ

สุบารุ: หลังปั่นหัวคนอื่นไปมา ฝ่าฟันอันตรายมามากมาย พาอ้อมแล้วอ้อมอีก สุดท้ายตัวเองกลับคิดจะชิงตายไปก่อนเหรอ? อย่ามาล้อกันเล่นนะโว้ย!

วินเซนต์: มิได้ล้อเล่นเสียหน่อย ทุกสิ่งที่เจ้าเอ่ยมาล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้ผลลัพธ์จะเป็นความตายของเราผู้นี้ แต่มันเทียบกันไม่ได้กับความอยู่รอดของจักรวรรดิเลยสักนิด

สุบารุ: ผิดแล้วโว้ย! ที่ชั้นจะสื่อก็คือ ทำไมแกถึงยอมแพ้ที่จะรักษาชีวิตตัวเองก่อนใครเลยล่ะวะ ภัยพิบัติใหญ่? คืออะไรไม่รู้หรอกโว้ย! แต่นายควรจะเผชิญหน้ากับมันทั้งที่มีชีวิตไม่ใช่รึไงวะ!

วินเซนต์: ที่พูดไปมันไม่เข้าหูเลยรึไง ตราบใดที่เราผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ “มหาภัยพิบัติ” ก็จะไม่มา มาตรการรับมือมันเตรียมไว้สำหรับกรณีที่ว่า ยังไงก็เปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นมิได้――

สุบารุ: ใครกำหนดกันว่าเปลี่ยนเรื่องนั้นไม่ได้! นายน่ะฉลาดจะตายไป ต่อให้เป็น “มหาภัยพิบัติ” หรืออะไรก็น่าจะหาทางล่อลวงได้นี่…

วินเซนต์: ――ไอ้คนที่พร่ำบอกว่ามันเปลี่ยนแปลงมิได้ก็คือ “นักอ่านดารา” อย่างพวกเจ้ามิใช่หรือไง!

. ต่างฝ่ายต่างระเบิดอารมณ์ใส่กันไม่ยั้ง แถมวินเซนต์ยังดึงมีดออกจากคอสุบารุมากำไว้ในมือซ้ายของตนเอง เขาเลยถูกบาดจนเลือดไหลเปื้อนเตียงนอนหมด

ทว่า ในตอนนี้ทั้งสองไม่ได้สนใจบาดแผลหรือเลือดเลย สุบารุยังคงติดใจคำว่า “นักอ่านดารา” ซึ่งเป็นบ่อเกิดความเกลียดชังของวินเซนต์

สุบารุ: อธิบายเกี่ยวกับ “นักอ่านดารา” ที…

วินเซนต์: ――“นักอ่านดารา” ได้ยินเสียงของผู้สังเกตการณ์บนสรวงสวรรค์ที่อยู่นอกเหนือโครงร่าง พวกเขาจะบอกเล่าเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อมอบโอกาสในการลดทอนความเสียหาย แต่ก็แก้ไขได้เพียงระดับความเสียหายเท่านั้น ไม่อาจระงับเหตุการณ์มิให้เกิดขึ้นได้

สรุปได้ว่ามันคือพลังอำนาจแห่งโชคชะตา หรือก็คือการไหลของเวลาและเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ผู้ใดก็ตามที่พยายามจะหลีกเลี่ยง มีแต่ต้องเข่าทรุดด้วยความสิ้นหวัง

สุบารุที่มีอำนาจ “ตายแล้วกลับมา” เองก็ไม่สามารถต่อต้านโชคชะตาได้ เช่น เขาอาจจะเตือนคนอื่นเรื่องภัยพิบัติได้ แต่ก็หยุดยั้งมันมิได้อยู่ดี

แผนการรับมือของวินเซนต์คือการหาหนทางลดทอนความเสียหายจากมหาภัยพิบัติให้ใกล้เคียงศูนย์ที่สุด

วินเซนต์: ผู้ที่กระซิบบอกถึงความตายของเราผู้นี้ก็คือพวกเจ้า “นักอ่านดารา” นั่นแหละ แล้วพวกเจ้ากล้าดียังไง ถึงมาบอกว่าความตายของเราผู้นี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่ามาปั่นหัวเรา…อย่ามาปั่นหัวข้านะ!!

สุบารุ: ดะ…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ! บอกตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่าชั้นไม่ใช่ “นักอ่านดารา”…

วินเซนต์: ――เจ้าน่ะมองเห็นอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นได้ เลิกวางอุบายได้แล้ว นัตสึกิ สุบารุ

หน้ากากของจักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคียหลุดลอกออก ตอนนี้เขาเป็นเพียงชายผู้มีข้อบกพร่องมากมายนามว่าอาเบล

ในที่สุด สุบารุก็เข้าใจเสียทีว่าวินเซนต์นั้นดูออกว่าตัวเขามีพลังบางอย่างที่สามารถล่วงรู้ข้อมูลจากในอนาคตได้

เพียงแต่วินเซนต์ไม่ได้ล่วงรู้ถึงเนื้อแท้ของอำนาจ “ตายแล้วกลับมา” เขาเลยอนุมานไปเองว่าสุบารุเป็น “นักอ่านดารา”

. แม้ว่าจะได้ข้อสรุปที่ผิด แต่สุบารุก็ต้องยอมรับว่าวินเซนต์มีสายตาและมันสมองที่เฉียบขาดจริงๆ ถึงเดาได้ใกล้เคียงความจริงขนาดนี้

เขาเป็นคนเดียวที่ดูออกว่าสุบารุไม่ได้มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยโชคเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้วินเซนต์ถึงได้รับฟังความเห็นของสุบารุมาโดยตลอด

วินเซนต์: เจ้าเลือกเหลือข้าไว้ แทนที่จะเป็นจิชา

สุบารุ: …

น้ำเสียงของวินเซนต์ไร้ซึ่งอารมณ์แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มทำการวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของสุบารุซึ่งตรงเผงจนเจ้าตัวเถียงไม่ออก

วินเซนต์: เจ้าน่ะเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา …เช่นนั้นแล้ว ทำไมกัน? ――ทำไมถึงเลือกเหลือข้าไว้ล่ะ นัตสึกิ สุบารุ!

สุบารุ: …

วินเซนต์: เจ้าน่ะมิได้มีความเกี่ยวข้องหรือภาระผูกพันใดต่อจักรวรรดิแห่งนี้ ควรจะพึงพอได้แล้วที่ได้ปกป้องเหล่าคนที่ได้รู้จักมาจนถึงวันนี้ ทำไมถึงช่วยข้าไว้กัน! เหตุใดถึงได้คิดช่วยคนอย่างข้าที่เข้ากันไม่ได้กับเจ้ากัน!

สุบารุ: …

วินเซนต์: ทำไมกันล่ะ…

. ยิ่งพูดวินเซนต์เขาก็ยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ยิ่งกำมีดปอกผลไม้ในมือแน่นจนเลือดไหลอาบ

วินเซนต์: อย่ามาแตะ!

สุบารุ: อึก!

พอสุบารุคิดจะแย่งมีดมา วินเซนต์ก็ปัดมือเขาทิ้ง พอรู้ตัวอีกที มือของสุบารุก็โดนมีดบาดจนเลือดไหลไปด้วย แต่ในตอนนี้แผลแค่นั้นไม่ได้สำคัญเลย

วินเซนต์: ปล่อยให้อารมณ์ ณ ตอนนั้นครอบงำจนความเชื่อและคติส่วนตนไร้ความหมาย เป้าหมายไม่เคยแน่นอน กระทั่งสิ่งที่ตั้งเป้าว่าจะทำยังเปลี่ยนง่ายๆ เจ้าน่ะแยกคนที่ควรช่วยกับไม่ควรช่วยไม่เคยออก ยื่นมือออกไปโดยไม่คิดเสมอ

สุบารุ: …อา

ประโยคนั้นของวินเซนต์ทำให้สุบารุนึกถึงคำพูดที่เขาได้ยินเมื่อเร็วๆ นี้จากบุคคลที่เขาชิงชังอีกคนหนึ่ง

[ท็อดด์: ――แต่ว่านายน่ะชั่งใจว่าจะช่วยคาชัวดีไหมล่ะสินะ?]

สุบารุเริ่มเห็นภาพสะท้อนของ “ท็อดด์ แฟงก์” จากตัววินเซนต์ ทั้งสองปฏิเสธตัวตนของนัตสึกิ สุบารุ และมองว่าไม่มีทางเข้ากันได้อย่างเด็ดขาด

[ท็อดด์: มั่วไปหมดแล้ว! ตัวเองพร้อมจะตายทุกเมื่อ แต่ตีค่าชีวิตคนอื่นตามใจชอบ แต่พอถึงเวลาใกล้ตายดันต่อต้านสุดชีวิตอีก! น่าขนลุกชะมัด!]

แต่ก็มีความจริงอย่างหนึ่งจากคำพูดของสองคนนั้นที่มิอาจปฏิเสธได้ สุบารุนั้นเลือกว่าจะให้ใครอยู่หรือตาย

เขาใช้อำนาจ “ตายแล้วกลับมา” ช่วยชีวิตพวกพ้องและเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน สุบารุก็ไม่ได้เลือกช่วยทุกคน

สุบารุไม่ได้รีเซ็ตเพื่อย้อนไปช่วยคนที่ไม่สนิททุกคน สุบารุอาจจะไม่ได้ฆ่าศัตรูทุกคนก็จริง แต่ก็ไม่เคยคิดจะย้อนไปช่วยศัตรูที่ตายไป

ท็อดด์ แฟงก์นั้นปักใจเชื่อว่าสุบารุเลือกช่วยหรือไม่ช่วยใครตามความชอบพอส่วนตัวต่อบุคคลนั้นๆ ทว่า วินเซนต์นั้นมองต่างออกไป

วินเซนต์: หากเจ้าเลือกช่วยหรือไม่ช่วยใครตามความชอบพอส่วนบุคคลเฉกเช่นธรรมชาติของมนุษย์ ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ว่า เจ้าน่ะช่วยกระทั่งคนที่ชิงชัง เฉกเช่นตัวข้า

สุบารุมิอาจปฏิเสธคำกล่าวหานั้นได้ เพราะกระทั่งท็อดด์ สุบารุยังคิดจะช่วยจนวินาทีสุดท้ายเลย รวมถึงกรณีรุยที่เขาเคยชิงชังเป็นอย่างมากก็ด้วย

. วินเซนต์: ――จงพาพวกพ้องจากราชอาณาจักรออกไปจากจักรวรรดิเสีย

พอเห็นสุบารุนิ่งเงียบไป วินเซนต์ก็กล่าวขึ้นเช่นนั้นแล้ววางมีดปอกผลไม้คืนที่เดิม ความขุ่นเคืองที่แล้วมาหายไป กลับไปมีสีหน้าเยือกเย็นแบบเก่า

วินเซนต์: จากนี้ไป จักรวรรดิจะเปิดศึกกับ “มหาภัยพิบัติ” หน้ากระดานมันเปลี่ยนไปจากที่ข้าเตรียมการไว้ แต่ก็ยังพอหาทางได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าแล้ว

สุบารุ: ห๊ะ…

คราวนี้วินเซนต์ตัดจบบทสนทนาอย่างไว เขาเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ได้ไม่เหมือนตอนที่พูดถึง “จิชา” วินเซนต์เลือกที่จะปิดกั้นความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้นั่นเอง

สุบารุเดาว่าคนที่ชื่อจิชาคงเสียชีวิตไปแล้วช่วงบุกยึดนครหลวงจักรวรรดิ วินเซนต์ถึงได้เอาแต่เค้นถามว่าทำไมเขาถึงไม่ช่วยจิชาไว้

วินเซนต์: เตรียมตัวกลับบ้านได้เลย จะเตรียมการสิ่งที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการข้ามพรมแดนไว้ให้ ที่เหลือหลังจากนี้เป็นปัญหาของจักรวรรดิ ――เป็นปัญหาของเราผู้นี้

นัตสึกิ สุบารุไม่มีวันเข้าใจวินเซนต์ วอลลาเคีย และวินเซนต์ วอลลาเคียก็ไม่มีวันเข้าใจนัตสึกิ สุบารุ ยังไงความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องแตกหักไม่ต่างจากคราวท็อดด์

[ท็อดด์: นายน่ะเป็นอสุรกายยิ่งกว่าเจ้าซอมบี้ตัวนั้นอีก]

สุบารุ: เฮ้ย อาเบล

วินเซนต์: เข้าใจเสียที เราผู้นี้คือวินเซนต์ วอลลาเคีย ชายที่ชื่ออาเบลน่ะ――

สุบารุ: ――หนวกหูโว้ย กัดฟันไว้ซะ

สุบารุใช้เตียงนอนเป็นสปริงเพื่อเด้งตัวไปหาวินเซนต์ แล้วต่อยหน้าเขาอย่างเต็มแรงด้วยกำปั้นที่เปี่ยมล้นด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นมาอย่างยาวนาน

. จบตอน