webnovel arc8 chapter12

บทที่ 8 ตอนที่ 12 "นัตสึกิ สุบารุและวินเซนต์ อาเบลุกซ์"

เมื่อกำปั้นสัมผัสโดนใบหน้าของวินเซนต์ สุบารุก็สาปส่งร่างเด็กของตนที่ไร้พละกำลัง ในวินาทีนั้นเขายอมแลกได้ทุกสิ่งเพื่อสลับเอาร่างโตมาต่อยหน้าวินเซนต์แทน

หมัดที่ไร้กำลังของสุบารุทำได้เพียงป้ายเลือดไว้บนแก้มของจักรวรรดิ ก่อนที่ตัวเขาจะร่วงลงพื้น แต่แทนที่จะโกรธวินเซนต์กลับประหลาดใจเสียมากกว่า

วินเซนต์: …นี่เจ้า ไม่รักชีวิตหรืออย่างไร!? หากทำร้ายเราผู้นี้ เดี๋ยวแกก็ได้โดนเปลวเพลิงแห่ง “ดาบแสงตะวัน” เผา…

สุบารุ: เออ ก็เอาสิวะ! เทียบกับการไม่ได้ต่อยหน้านายเดี๋ยวนี้เลย ต่อให้ถูกเผาตายก็ไม่กลัวหรอกเฟ้ย!

แม้ว่าปากจะพูดจาข่มขู่ แต่ร่างกายของเขาก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว จนสุบารุจำใจต้องล้มตัวลงนั่งขวางประตูทางออกเอาไว้

สุบารุ: พวกนายพูดถูกแล้ว ชั้นมันไม่เข้าใจอะไรเลย กระทั่งตัวชั้นเองก็ยังไม่เข้าใจมาตรฐานที่ใช้ตัดสินใจของตัวเองด้วยซ้ำ

วินเซนต์: …พวกนายงั้นหรือ?

แน่นอนว่าจักรพรรดิอย่างวินเซนต์ไม่มีทางรู้ว่าสุบารุกำลังเหมารวมตัวเขากับพลทหารยศธรรมดานามว่า “ท็อดด์ แฟงก์”

เนื่องจากว่าทั้งวินเซนต์และท็อดด์ได้สร้างบาดแผลไว้ในใจของสุบารุด้วยคติแบบเดียวกัน

สุบารุ: อยากจะปกป้องคนที่ชอบและคนที่สำคัญเป็นอันดับแรก นั่นแหละคือความรู้สึกที่แท้จริงของชั้น แต่ถ้าเกิดมีคนที่เกลียดหรือคนที่ไม่รู้จักตกอยู่ในอันตรายต่อหน้า ชั้นก็จะ…

ท็อดด์มองว่าสุบารุเลือกช่วยคนตามความชอบส่วนบุคคล ส่วนวินเซนต์มองว่าสุบารุช่วยคนเรื่อยเปื่อยแบบไม่สนว่าชอบหรือเกลียด

ทั้งสองคนพูดถูกคนละส่วน เพราะงั้นถึงได้ผิดทั้งคู่

มันผิดนักหรือไงที่สุบารุจะอยากช่วยคนที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมใจจะแบกรับไปทั้งชีวิตหรือมีเหตุผลสลักสำคัญอะไร?

สุบารุ: ถูกของนาย! ชั้นน่ะอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ด้วยการใคร่ครวญต่อทุกสิ่งที่ตัวเองเห็นและยื่นมือไปช่วยทุกคนที่ตัวเองเอื้อมถึง ทำแบบนั้นมันผิดตรงไหนกัน!

วินเซนต์: นี่เจ้าจะกลับกลอกไปถึงไหน!? ถามว่าผิดตรงไหนงั้นเหรอ? มันก็ออกจะชัดเจนนี่! เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมมองภาพรวมแล้วทำตามอารมณ์ความรู้สึกตัวเองกัน? ทำไมถึงไม่ใช้ประโยชน์จากอำนาจที่ได้รับมา!

สุบารุ: ชั้นน่ะใช้มันหมดทุกอย่างหมดแล้วเฟ้ย! เพราะงั้นถึงมาไกลได้ขนาดนี้! จะใส่อารมณ์อะไรนักหนา!? ไม่ได้โง่นะโว้ย! ชั้นจะใช้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองยังไงมันก็เรื่องของชั้น!

วินเซนต์: ถ้างั้นอย่างน้อยก็ทำตามความรู้สึกนั้นสิ! ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นตามความชอบพอไป อย่ามาเปลี่ยนวิถีนั้นเอาดื้อๆ วิถีทางของเจ้าน่ะมันมีแต่ความบิดเบี้ยว

. วินเซนต์พยายามเอื้อมมือไปดึงตัวสุบารุที่ขวางประตูอยู่ออก แต่สุบารุต่อต้านด้วยทั้งการยกขาเตะและกัดสวนใส่มือขวาของวินเซนต์เต็มแรงจนเลือดไหล

พอวินเซนต์เสียจังหวะ สุบารุก็ใช้เทคนิคการวิวาทที่เรียนมาจากไวส์ เขาเอาหัวโขกท้องวินเซนต์จนล้มหงายหลังแล้วขึ้นไปนั่งคล่อมทับ

สุบารุกระชากคอเสื้อของวินเซนต์ด้วยสองมือ แล้วออกแรงผลักให้อีกฝ่ายหัวกระแทกพื้นด้านหลัง ปกติโดนท่านี้เข้าไปไม่กี่รอบคนทั่วไปก็คงน็อคเอาท์แล้ว

วินเซนต์: อย่าเหลิงไปหน่อยเลย!

หลังโขกหัววินเซนต์ไปได้สองรอบ พอกำลังจะโขกรอบที่สามวินเซนต์ก็เป็นฝ่ายดึงผมสุบารุให้ล้มคว่ำมานอนข้างเขาแทน

วินเซนต์พยายามจะเอื้อมมือไปหาลูกบิดประตู แต่สุบารุกระโดดเกาะเข่าสุดแรงจนวินเซนต์โดนผลักหน้าพุ่งไปอัดกระแทกประตู

วินเซนต์ลุกขึ้นมาได้ใหม่ทั้งที่หน้าผากและจมูกช้ำจนแดง เขากระชากคอเสื้อสุบารุ ยกให้ตัวลอยแล้วเอาหลังไปกระแทกประตูคืนบ้าง

วินเซนต์: เจ้าต้องการอะไร? มีจุดประสงค์อะไร? ทำไปเพื่ออะไรกันแน่!

สุบารุ: อยากต่อยแก! จุดประสงค์คืออยากอัดแกไง! อยากจะต่อยแกจังว้อย!

สุบารุขัดขืนอย่างเต็มที่ เขาทั้งดิ้นพล่าน เอานิ้วข่วน พยายามจะกัดมือแต่กัดไม่ถึง เลยถ่มน้ำลายใส่มือแทน

. สุบารุ: ทางแกนั่นแหละ ต้องการอะไรกันแน่? จุดประสงค์คืออะไร ที่จริงแล้วปรารถนาอะไรกันแน่วะ!

วินเซนต์: …ความปรารถนา…ของเราผู้นี้?

ยังไงวินเซนต์ก็ต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่างในการถ่อมาเยี่ยมสุบารุทั้งที่ไม่น่าจะว่าง และบางทีวินเซนต์เองอาจจะยังไม่รู้ตัว

สุบารุเริ่มนึกย้อน ในบรรดาเรื่องที่วินเซนต์เล่าให้เขาฟัง มันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาใส่อารมณ์มากที่สุด ฟังยังไงก็สำคัญที่สุด

ไม่ใช่เรื่อง “นักอ่านดารา” ไม่ใช่เรื่องการอพยพจากนครหลวง ไม่ใช่เรื่องวิถีทางของสุบารุที่เขาไม่เข้าใจ แต่เป็น…

สุบารุ: ――จิชา

วินเซนต์: …ทำไมกัน นัตสึกิ สุบารุ

คำนั้นคำเดียวจุดประกายเพลิงร้อนในตัววินเซนต์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่เพลิงสีแดงแห่งความรุนแรง แต่เป็นเพลิงสีฟ้าในดวงตาของวินเซนต์

วินเซนต์: เราผู้นี้เป็นคนปั้นเจ้านั่นมากับมือ หากเป็นเจ้านั่น คงสามารถทำหน้าที่แทนเราผู้นี้ได้อย่างไร้ที่ติ ว่ากันตามตรงแล้ว เจ้านั่นเหนือกว่าในแง่ของการเป็นกำลังรบด้วยซ้ำ

สุบารุ: …

วินเซนต์: ความสามารถของเราผู้นี้กับเจ้าจิชามิได้ต่างกันเลย ไม่ว่าคนไหนจะเหลือรอด ก็จะรับช่วงภาระหน้าที่ต่อกรกับ “มหาภัยพิบัติ” อย่างเต็มกำลัง ――แล้วทำไมกัน?

ดวงตาของวินเซนต์เริ่มสั่นเทา น้ำเสียงก็เปี่ยมล้นด้วยความเศร้าโศก มันมิใช่ดวงตาขององค์จักรพรรดิ หากแต่เป็นดวงตาของคนธรรมดาที่สูญเสียบุคคลสำคัญไป

วินเซนต์: ทำไมถึงยอมให้คนที่เกลียดอย่างข้ามีชีวิตอยู่ต่อ แต่ปล่อยให้จิชาตายกันล่ะ นัตสึกิ สุบารุ?

นั่นแหละคือคำถามที่แท้จริงที่วินเซนต์อยากได้คำตอบคำถามที่ไม่ได้ถามในฐานะจักรพรรดิของ 1 ใน 4 ประเทศมหาอำนาจ แต่ถามในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

. วินเซนต์กับจิชาคนใดคนหนึ่งจะต้องตาย เพราะงั้นวินเซนต์ถึงได้ยอมรับความตายของตัวเองมาตลอด เพื่อหาหนทางแก้ไขไม่ให้จิชาต้องตาย

มันไม่ต่างอะไรจากการที่สุบารุใช้ชีวิตตัวเองเข้าแลกเพื่อรักษาชีวิตของเอมิเลีย เรม เบียทริซ ออตโต้ ทันซ่า ฟล็อป หรือคนอื่นๆ

ปณิธานในการเผชิญหน้ากับความตายเพื่อรักษาชีวิตคนอื่นของทั้งคู่คือสิ่งเดียวกัน

สุบารุ: ――ชั้นน่ะไม่ใช่ “นักอ่านดารา” หรอกนะ อาเบล

จริงอยู่ว่าพลังของเขาอาจจะแทรกแซงโชคชะตาได้เหมือนนักอ่านดาราหรืออาจเหนือกว่า แต่สุดท้ายอำนาจที่สุบารุมีก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ

สุบารุ: เพราะงั้นถึงช่วยคนชื่อจิชาที่นายพูดถึงไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าจะช่วยยังไง แต่ว่า ขอบอกไว้เลยอย่างหนึ่ง

วินเซนต์: …อะไรล่ะ?

สุบารุ: …สมมุติว่าชั้นจะมีพลังอย่างที่นายว่าจริงๆ สุดท้ายชั้นก็คงเลือกช่วยคนที่เกลียดอย่างนายมากกว่าคนแปลกหน้าอยู่ดี และไม่ได้เลือกอย่างนั้นเพราะเห็นอนาคต ก็แค่ทำสิ่งที่อยากทำ

พอได้ฟังคำตอบจากใจจริงของสุบารุ เรี่ยวแรงก็เริ่มหายไปจากมือของวินเซนต์ ถ้าเป็นตอนนี้ หากสุบารุออกแรงหน่อยเขาก็คงดิ้นให้หลุดจากมืออีกฝ่ายได้สบาย

. วินเซนต์เริ่มพึมพำออกมา แต่เขาหยุดประโยคกลางคันและแก้ไขคำพูดไปเรื่อยๆ สุบารุจึงรอฟังอย่างเงียบงัน เพื่อเปิดโอกาสให้วินเซนต์ค้นหาสิ่งที่อยากพูดจริงๆ

วินเซนต์: ข้าน่ะ… ข้าน่ะ เตรียมใจที่จะตายเอาไว้ …แต่ไม่ได้เตรียมใจที่จะต้องอาลัยผู้อื่น

เขาฝึกฝนผู้อื่นให้พร้อมรับช่วงต่อหลังตัวเองไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ได้ฝึกฝนตัวเองให้ทำใจรับมือหากต้องเป็นฝ่ายที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้

วินเซนต์ปล่อยมือจากสุบารุ เพื่อเอามือที่เปื้อนเลือดมาปิดทับใบหน้าของตน จากนั้นก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

วินเซนต์: ทำไมถึงได้ตายแล้วทิ้งข้าไว้กันล่ะ จิชา… ฮึก

วินเซนต์ วอลลาเคีย ผู้มิเคยหลับตาพร้อมกันสองข้างต่อหน้าผู้อื่นเอามือบดบังดวงตาของตนเอาไว้ในยามที่เข่าทรุดลงเพื่อปิดบังหยาดน้ำตา

ต่อหน้าจักรพรรดิผู้ที่พึ่งมีโอกาสได้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลสำคัญ สุบารุทำได้เพียงมอบคำปลอบใจสั้นๆ แด่สหายผู้ร่วมต่อสู้กับโชคชะตาอันไร้เหตุผล

สุบารุ: ――ขอโทษด้วยนะ

. ที่สุบารุเลือกต่อยวินเซนต์เพื่อเรียกสติเป็นเพราะว่าเขาได้ไอเดียมาจากประสบการณ์ที่เคยถูกออตโต้ต่อยหน้าเพื่อสั่งสอนเมื่อนานมาแล้ว

สุบารุคิดเล่นๆ ว่าเขาอาจจะรอถึงวันที่ออตโต้ใกล้แก่ตายอยู่บนเตียงนอน แล้วถึงค่อยยอมรับว่าตัวเขาคิดว่าออตโต้สุดยอดแค่ไหนให้เจ้าตัวฟัง

สิ่งที่ไม่เหมือนกับกรณีออตโต้ก็คือ สุดท้ายแล้วทั้งสุบารุและวินเซนต์ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่คิดจะนับกันเป็น “เพื่อน” อยู่ดี

ตอนนี้สุบารุกับวินเซนต์กำลังนั่งพิงกำแพงห้องอยู่เงียบๆ หลังจากที่ปล่อยให้วินเซนต์ระบายความในใจอย่างเต็มที่

สภาพห้องที่เละเทะเปื้อนเลือดเป็นจุดและบาดแผลบนเนื้อตัวทั้งสองฝ่าย มันทำให้ห้องพักกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรมโดยปริยาย

สุบารุนึกเล่นขำๆ ว่าขนาดเขากับวินเซนต์ตีกันยับเยิน ห้องยังเละได้แค่นี้ ถ้าเป็นเอมิเลียนี่คงทำลายทั้งห้องจนแหลกอย่างง่ายดายด้วยใบหน้าและอุ้งมือสุดแสนน่ารัก

. วินเซนต์: นัตสึกิ สุบารุ ที่เจ้าบอกว่าไม่ได้เป็น “นักอ่านดารา” คือเรื่องจริงงั้นหรือ?

สุบารุ: …จริงสิ ชั้นน่ะไม่ใช่ “นักอ่านดารา” หรอก เรื่องการทำนายอนาคตมันฟังดูเหมือนพลังของพวกลัทธิบูชาแม่มดมากกว่าชั้นนะ เจ้าพวกนั้นกับชั้นยิ่งไม่ชอบขี้หน้ากันอยู่ด้วย

วินเซนต์: ได้ยินข่าวลือจากลูกุนิก้าว่าบิชอปมหาบาปถูกปราบไปแล้วสองคน

สุบารุ: นี่ความลับสุดยอดเลยนะ ที่จริงปราบไปแล้วสามคนแหละ เพิ่ม “ตะกละ” เข้าไป… ไม่สิ พูดยากอยู่ว่าปราบ “ตะกละ” ได้แล้วจริงไหม ช่วยลืมๆ ไปทีละกัน ไหนจะมีเรื่องรุยอีก… อ๊ะ!

วินเซนต์: อะไรรึ?

สุบารุ: นายคงไม่ได้ทำอะไรกับรุยใช่มั้ย? ชั้นน่ะยังไม่ให้อภัยเรื่องที่นายบอกว่าจะฆ่ารุยหรอกนะ

เดิมทีที่สุบารุกับรุยต้องแยกกลุ่มที่เมืองเคออสเฟลมก็เพราะคำพูดของวินเซนต์ แต่ฝั่งวินเซนต์นั้นไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ารุยแต่แรกแล้ว สุบารุนั่นแหละที่ด่วนสรุปไปเอง

วินเซนต์: เจ้าคนเขลาเอ๊ย เดิมทีมันก็ฝั่งเจ้านั่นแหละที่เกลียดชังเด็กสาวคนนั้นเข้าไส้มิใช่หรือไง?

สุบารุ: อดีตกับปัจจุบันมันคนละเรื่องกัน อีกอย่างถ้ามัวแต่คำนึงถึงความประทับใจแรก พอได้รู้จักเมมเบอร์ที่สนิทด้วยแล้ว รับรองว่านายต้องคิดว่าชั้นบ้าแหงๆ

วินเซนต์: รู้สึกกังขาในสติของเจ้าตั้งแต่ที่หมู่บ้านเผ่าชูดราคแล้ว

ไม่ว่ายังไง ต่างฝ่ายก็ต่างคิดว่าอีกฝ่ายน่าโมโห เรื่องนี้คงเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ในความสัมพันธ์ระหว่างวินเซนต์กับสุบารุ

. สุบารุนึกย้อนถึง “จิชา” ผู้ที่การจากไปทำให้วินเซนต์ถึงกับเสียสูญ เขาคือคนที่สวมรอยเป็นองค์จักรพรรดิและขับไล่วินเซนต์ออกจากบัลลังก์

ว่ากันตามตรงจิชาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่สุบารุเคยเจอแค่ครั้งเดียวที่เมืองเคออสเฟลม ซึ่งตอนนั้นจิชาปลอมแปลงรูปลักษณ์เป็นวินเซนต์อยู่

สุบารุ: คนที่ชื่อจิชาเนี่ยสุดยอดไปเลยนะ

กระนั้นเพียงแค่ได้ฟังเรื่องราวของชายที่สามารถทำเรื่องเหนือความคาดหมายขององค์จักรพรรดิผู้ปราดเปรื่องที่สุดได้ สุบารุก็รู้สึกชื่นชมจิชาจากใจริง

สุบารุ: นายบอกว่าระหว่างตัวเองกับเขาคนนั้น ให้ใครเหลือรอดก็ไม่ต่างกันมาก ถ้าเป็นงั้นจริง แสดงว่าเขาคนนั้นมีเหตุผลให้สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาอยู่

วินเซนต์: จะบอกว่าเจ้าเข้าใจงั้นหรือ? ว่าทำไมจิชาถึงวางอุบายตลบหลังข้า

สุบารุ: เขาโมโหโชคชะตาที่จะฆ่านายและโมโหนายที่ยอมแพ้ต่อโชคชะตายังไงล่ะ

วินเซนต์: ――หา?

สุบารุ: จิชาเขาโมโหนายไงล่ะ เพราะงั้นถึงได้พิสูจน์ให้เห็น

วินเซนต์: พิสูจน์ให้เห็นงั้นหรือ?

สุบารุ: เราสามารถต่อกรกับโชคชะตาได้ ――ไม่มีเหตุผลอะไรให้ยอมแพ้เลย

นั่นแหละคือสิ่งที่จิชาต้องการจะพิสูจน์ให้วินเซนต์ได้รับรู้ด้วยการใช้ชีวิตของเขาเองเข้าแลก

. ที่ผ่านมาวินเซนต์ไม่เคยมองสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่าง “โชคชะตา” เป็นศัตรูมาก่อน เขาจึงไม่คิดจะขัดขืนหรือต่อต้านมัน

แต่ถ้าหากว่าองค์จักรพรรดิผู้ปราดเปรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ได้รับรู้เสียทีว่าศัตรูที่แท้จริงคือสิ่งใดแล้วล่ะก็…

สุบารุ: ――อาเบล ชั้นน่ะไม่ใช่ “นักอ่านดารา”

วินเซนต์: …

สุบารุ: แต่ว่า ชั้นก็ยังจะช่วยทุกคนที่มือคู่นี้เอื้อมไปถึงได้ แต่ถึงอย่างนั้น…ว่ากันตามตรง…แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีชีวิตที่ไม่อาจช่วยเอาไว้ได้อยู่ดี นั่นน่ะ…

วินเซนต์: …ไม่ใช่ว่านั่นคือการพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาหรอกหรือ?

สุบารุ: ――แต่มันก็ไม่ได้ชนะขาดหรอก เพราะว่าชั้นน่ะไม่ได้ต่อสู้กับโชคชะตาด้วยตัวคนเดียว

แม้ปากจะพร่ำบอกว่า “จัดมาเลยท่านโชคชะตา” อยู่บ่อยๆ แต่สุบารุก็นึกเสียใจต่อชีวิตที่ไม่สามารถช่วยเหลือไว้ได้อยู่เสมอ

สุบารุมิอาจช่วยได้ทุกชีวิต เขายอมรับในเรื่องนั้น แต่เพื่อที่จะลดการหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจลงให้ได้มากที่สุด สุบารุจึงตัดสินใจว่า…

สุบารุ: ขอยืมพลังของนายหน่อย อาเบล แล้วจะให้ยืมพลังของชั้นเป็นการแลกเปลี่ยน

วินเซนต์: …

สุบารุ: จากนี้เป็นต้นไป จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่! …ที่จริงต้องไปปรึกษาพวกเอมิเลียก่อนอยู่หรอก แต่ความตั้งใจน่ะของจริง เพราะงั้นแหละ

. สุบารุตบเข่าแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปที่ตระกล้าผลไม้เพื่อหยิบผลแอปป้าที่วินเซนต์ผ่าครึ่งทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ติดมือมา

สุบารุ: แอปป้าที่นายผ่าเป็นสองซีก เดี๋ยวจะช่วยกินให้เอง

ว่าแล้วสุบารุจึงโยนแอปป้าซีกหนึ่งให้วินเซนต์ แล้วเริ่มกัดชิมอีกซีกที่เหลือโดยไม่สนแม้ว่าส่วนเนื้อสีขาวจะโดนอากาศนานจนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้ว

แล้วหลังจากที่ลังเลอยู่เล็กน้อย วินเซนต์ก็กัดแอปป้าอีกซีกตาม ทั้งสองแบ่งปันรสชาติหวานเปรี้ยวของผลไม้ลูกนั้น โดยไม่สนความเกลียดชังที่มีต่อกัน

วินเซนต์: นัตสึกิ สุบารุ

สุบารุ: มีอะไร?

วินเซนต์: ข้าเกลียดขี้หน้าเจ้า

สุบารุ: อ้าวเฮ้ย

วินเซนต์: ――แต่ว่า จำเป็นต้องขอยืมพลังของเจ้า

วินเซนต์ลุกขึ้นยืน เขากลับเข้าไปสวมบทบาทของจักรพรรดิผู้ปราดเปรื่องและเยือกเย็นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่คิดจะเก็บซ่อนอารมณ์จากดวงตาและน้ำเสียงอีกต่อไป

วินเซนต์: ต้องขออภัยต่อการดูหมิ่นหลายคราที่ผ่านมาด้วย อัศวินแห่งราชอาณาจักรเอ๋ย

พอได้เห็นองค์จักรพรรดิแห่งวอลลาเคียก้มหัวขอโทษเขา สุบารุก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วกัดกินแอปป้าที่เหลืออยู่

สุบารุ: แต่ทางนี้ไม่ขอโทษต่อการเสียมารยาทที่แล้วๆ มาหรอกนะ องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ

ด้วยการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ทั้งสองได้เริ่มต้นก้าวแรกในการแก้ไขความสัมพันธ์ของพวกเขาใหม่ หลังจากที่มันผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อคราวก่อน

. จบตอน