webnovel arc8 chapter15

บทที่ 8 ตอนที่ 15 "พิสมัย"

กอซ: ฮาลิเบล งั้นหรือ…?

มนุษย์หมาป่าขนดำที่ประกาศนามว่า “ฮาลิเบล” มีบรรยากาศเป็นมิตร พูดจาสุภาพไร้จิตมุ่งร้าย แถมยังสูบไปป์คิเซะรุด้วยท่าทางชิวๆ

ทว่า การที่เขาลักลอบเข้ามาในห้องประชุมสำคัญของคนใหญ่คนโตของจักรวรรดิได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยนั้นบ่งบอกถึงฝีมืออันร้ายกาจอย่างชัดเจน

กระทั่งกอซที่เป็นเก้าแม่ทัพเทวะยังมีน้ำเสียงสั่นเทายามที่เขายืนปกป้ององค์จักรพรรดิและเหล่าพันธมิตร

วินเซนต์: ――[จอมพิสมัย] สินะ เสาหลักสำคัญแห่งนครรัฐมีธุระอะไรถึงได้เสนอหน้ามากัน?

ฮาลิเบล: อย่าไปใส่ใจชื่อนั้นเหมือนมันยิ่งใหญ่นักเลย ผมน่ะแค่ถูกเรียกด้วยนามนั้นเพราะชื่นชมคนอื่นไปทั่วเอง เดิมทีก็แค่ยกย่องกันเกินไป

สุบารุ: ยกย่องเกินไป…

ฮาลิเบล: ช่ายๆ เพียงแต่ว่ามันดันไม่มีใครในคารารากิที่แข็งแกร่งกว่าผมล่ะนะ

ฉายาที่วินเซนต์พูดถึงทำให้สุบารุปะติดปะต่อได้เสียทีว่าฮาลิเบลคือชายผู้เป็นที่เลื่องลือว่าแข็งแกร่งที่สุดในนครรัฐคารารากิ

. กอซ: ชิโนบิผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งนครรัฐคารารากิ! เจ้าเข้ามาในรถมกรขบวนนี้ด้วยเหตุอันใดกัน!

กอซกระทืบเท้าอย่างรุนแรงแล้วจ้วงอาวุธสีทองใส่ผู้บุกรุก อาวุธของกอซมีลักษณะเป็นคทาศึกที่มีด้ามจับยาว ส่วนปลายเป็นทรงกลมที่มีหนามแหลมติด

ลักษณะของมันคล้ายกับ “มอร์นิ่งสตาร์” ที่เรมใช้ เพียงแต่พละกำลังมหาศาลของกอซทำให้พลังทำลายของมันรุนแรงยิ่งกว่าเรมหลายขุม ทว่า…

ฮาลิเบล: จริงอยู่ว่าผมอาจจะไม่ควรสอด แต่ใจร่มๆ ก่อนเถอะ ค่อยๆ นั่งคุยกันไม่ดีกว่ารึ?

กอซ: อึก…หนอย!

คทาศึกสีทองหยุดค้างขยับเขยื้อนไม่ได้เพียงเพราะถูกฮาลิเบลใช้ปลายไปป์คิเซะรุสีทองกดทับไว้ ลำแขนแสนกำยำของกอซถึงกับสั่นเทาต่อภาพตรงหน้า

ที่จริงมันไม่เชิงว่ากอซแพ้พละกำลัง แต่ฝั่งฮาลิเบลใช้ศาสตร์ขั้นสูงในการควบคุมทิศทางการไหลของพลังงานจลน์ได้อย่างแม่นยำ

กอซเริ่มโมโหหน้าแดงและกดฟันเสียงดังขึ้นไปทุกที ในขณะที่ฮาลิเบลยังคงนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเอิกเกริก

วินเซนต์: หยุดเลย กอซ หากฝั่งนั้นประสงค์ร้ายล่ะก็ เราทุกคนคงได้หัวหลุดจากบ่าก่อนที่จะได้ยินเสียงปรบมือแล้ว

เอมิเลีย: ด้วยเหตุนั้น คุณถึงไม่ใช่ศัตรูของพวกเรา…ถูกไหมคะ?

สองผู้นำเป็นคนเอ่ยแทรกการวิวาทระหว่างกอซกับฮาลิเบล พอเจ้าหมาป่าสีดำได้ยินดังนั้น เขาก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ

ฮาลิเบล: ช่ายๆ น่ายินดีแท้ที่เข้าใจ นอกจากคุณจักรพรรดิแล้ว เด็กสาวครึ่งมารดูท่าจะเป็นเด็กดีนี่นา

เอมิเลีย: ขอบคุณค่ะ ฉันเองก็มองว่าตัวเองโชคดีที่ได้พัคกับพวกท่านแม่เลี้ยงดูมา

. พอฮาลิเบลยอมปลดไปป์คิเซะรุออก กอซก็กลับขยับคทาศึกได้อีกครั้ง เขาไม่คิดจะหาเรื่องต่อ แต่ก็ออกปากเตือนฮาลิเบลไว้ว่าอย่าได้กลับคำพูด

ฮาลิเบลโบกมือแล้วดึงเก้าอี้ออกมานั่งอย่างว่าง่าย ถึงเขาจะตัวสูงพอๆ กับกอซ แต่ฮาลิเบลกลับนั่งกอดเข่าบนเก้าอี้จนดูคล้ายกับว่าเป็นสุนัขตัวใหญ่

รอสวาล: อย่างไรก็เถอะ ไม่นึกเลยว่าคารารากิจะเข้ามาแทรกแซงด้วยนะเนี่ย~ ถึงจะไม่ได้หนักเท่าราชอาณาจักรกับจักรวรรดิ แต่ก็ได้ยินว่านครรัฐกับจักรวรรดิไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไรนัก ยิ่งถ้าคำนึงถึงสถานะที่นายประกาศออกไปอย่างโจ่งแจ้งด้วยล่ะนะ

ฮาลิเบล: โอ๊ะ ทุกคนรู้จักผมกันด้วยเหรอ? รู้สึกเหมือนเป็นคนดังเลย เขินแท้ๆ

สุบารุ: รอสวาล คนๆ นั้นประกาศอะไรออกไปงั้นเหรอ?

รัม: บารุสุท่าทางจะไม่สำเหนียก เพราะงั้นจะบอกให้เอาบุญละกัน [จอมพิสมัย] ฮาลิเบลน่ะเป็นมนุษย์หมาป่ายังไงล่ะ

ก่อนหน้านี้สุบารุหลงนึกว่าฮาลิเบลเป็นมนุษย์สุนัขมาโดยตลอด พอรัมเฉลยว่าเขาเป็นเผ่ามนุษย์หมาป่า ร่างกายและจิตใจของสุบารุก็สั่นเทาโดยอัตโนมัติ

ที่จริงเขาไม่ได้สั่นกลัวฮาลิเบลที่อยู่ตรงหน้า แต่เนื่องจากไม่มีใครทันสังเกตเห็นอาการสั่นของสุบารุ บทสนทนาจึงดำเนินต่อไป

วินเซนต์: น่าจะรับรู้ถึงทัศนคติของจักรวรรดิที่มีต่อมนุษย์หมาป่าดีอยู่แล้ว ดูท่าว่าเจ้าจะเป็นพวกบ้าดีเดือดถึงยังกล้าข้ามพรมแดนมาเหยียบแผ่นดินทางนี้อยู่อีก

ฮาลิเบล: เรื่องนั้นน่ะ แน่นอนว่าผมทราบดี และไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด แต่ว่า ที่ผมไม่เก็บซ่อนเรื่องที่ตัวเองเป็นมนุษย์หมาป่า ก็เพราะว่าไม่มีใครสังหารผมได้ยังไงล่ะ เท่าที่เห็น เซซิลุสไม่ได้อยู่นี่ด้วยสินะ

สุบารุ: ――! คุณรู้จักเซสซี่ด้วยเหรอ?

ฮาลิเบล: หือ? อ้อ รู้จักสิ? เคยพยายามฆ่าผมมาก่อนด้วย แต่ว่าไงดี หลังสู้กันไปแป๊บเดียวก็บอกว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาตัดสินผลครับ!” แล้วกลับไปเฉย

. เซรีน่าเหน็บแนมว่าการที่ฮาลิเบลล่วงรู้ความลับระหว่างจักรวรรดิและราชอาณาจักรเข้า ปกติคงควรส่ง “อัสนีสีฟ้า” ไปสะบั้นคอทิ้งแล้ว

รอสวาลจึงเตือนว่าอย่าไปหาเรื่องอีกฝ่ายให้เสี่ยงตายกันทุกคนเลย หลังบทสนทนาออกนอกเรื่องไปนาน วินเซนต์ก็วกกลับมาถามคำถามแรกเริ่มอีกครั้ง

วินเซนต์: อย่าให้ต้องถามซ้ำเป็นรอบที่สาม มีธุระอะไรถึงได้เสนอหน้ามา [จอมพิสมัย]?

ฮาลิเบล: ไม่เห็นเครียดถึงปานนั้น ธุระของผมก็บอกไปแต่แรกแล้วนี่ ที่ว่าอยากแวะมาทักทายสักหน่อยน่ะ

สุบารุ: ที่ว่าทักทายเนี่ย จะเป็นการทักทายแบบควักหัวใจของพวกเราออกเป็นการแลกเปลี่ยนอะไรทำนองรึเปล่า…?

ฮาลิเบล: ปั๊ดโทะ! เป็นเด็กที่คิดอะไรน่ากลัวแท้ ไม่ใช่หรอกจ้า

ยิ่งคุยสุบารุก็ยิ่งรู้สึกว่าฮาลิเบลเป็นคนดีเหมือนกับไรน์ฮาร์ดเลย แสดงว่ามีแค่เซซิลุสที่ประหลาดคนแบบผ่าเหล่าไป

ถึงแม้วินเซนต์จะไม่ค่อยพอใจที่สุบารุว่าร้ายยอดนักรบของวอลลาเคียนัก แต่เขากับเบลสเต็ตซ์ก็ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนิสัยน่าปวดหัวของเซซิลุสได้อยู่ดี

สุบารุ: ยังไงเนี่ย? สรุปแล้วจุดประสงค์ที่มาทักทายเราคืออะไร? รถมกรคันนี้มุ่งหน้าขึ้นเหนือก็จริงแต่ชายแดนคารารากิยังอยู่อีกไกล…ไม่น่าจะถึงขั้นที่คุณต้องระแวงหรือเปล่า?

ฮาลิเบล: อืม~ เรื่องนั้นไว้ไปถามนายจ้างของผมเอาน่าจะไวกว่า ไม่น่าไปปรบมือให้มันวุ่นวายเลย …อา แต่ก็ได้เวลาพอดี

สุบารุ: อะไรพอดี…

ฮาลิเบลหรี่ตาลง สุบารุจึงมองตามสายตาของเขาไปยังประตูที่เชื่อมต่อกับอีกขบวนรถ ซึ่งมีเสียงเคาะดังขึ้นมาพอดี

??: ――ขออภัยที่รบกวนระหว่างประชุมขอรับ พอดีมีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบ

พอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากอีกฟาก วินเซนต์ก็อนุญาตให้แม่ทัพชายร่างเตี้ยผมฟูเปิดประตูเข้ามายังห้องประชุม

สุบารุ: คุณซีคูร์! โล่งอกไปทีที่ยังปลอดภัย!

ซีคูร์: ครับ อย่าได้ห่วงไปเลย ทางนี้เองก็โล่งใจเช่นกันที่คุณยังปลอดภัยดีนะครับ คุณหนูนัตสึมิ

สุบารุ: ขนาดว่าชั้นอยู่ในร่างนี้ก็ยังเรียกแบบนั้นอยู่เรอะ…

. ซีคูร์สังเกตเห็นฮาลิเบลที่นั่งเด่นอยู่ตรงมุมห้องเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม แต่วินเซนต์สั่งให้เขาไม่ต้องใส่ใจแล้วรายงานมาได้เลย

ซีคูร์: ขอรับ! เรือเหาะมกรบินของไฮเคาน์เตสดราครอยกลับมาถึงแล้ว พร้อมกับบุคคลสำคัญจากนครป้อมปราการการ์คลาและผู้มาเยือนจากนครรัฐ

วินเซนต์: ――ผู้มาเยือนจากนครรัฐ

พอได้ฟังรายงานจากซีคูร์ วินเซนต์ก็หันกลับไปจ้องฮาลิเบล เพราะไม่มีทางที่ผู้มาเยือนจากคารารากิจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับฮาลิเบลที่โผล่มาในจังหวะเหมาะเจาะ

สุบารุ: คุณฮาลิเบล มุ่งหน้ามาก่อนคนพวกนั้นเหรอ?

ฮาลิเบล: ผม ไม่ค่อยชอบความสูงน่ะ

คนบ้าอะไรกลัวความสูงจนไม่กล้าขึ้นเรือเหาะแต่ดันวิ่งมาถึงจุดหมายก่อนเรือเหาะได้ แม้จะคิดเช่นนั้นในใจ แต่ก็คงไม่มีใครกล้าทักท้วงฮาลิเบล

ซีคูร์เรียกผู้มาเยือนด้วยคำยกยอจนวินเซนต์เดาออกว่าแขกเป็นผู้หญิงแน่นอน พอได้ยินข้อมูลดังนั้น เอมิเลียกับเบียทริซก็เริ่มปะติดปะต่อได้

เบียทริซ: เอมิเลีย ถ้าเป็นผู้มาเยือนจากคารารากิล่ะก็

เอมิเลีย: ค่ะ นั่นสินะ ไม่น่าจะผิดคนแน่――

สุบารุ: เอ๊ะ? เอ๋? นี่ทั้งสองคนรู้อะไรมาเรอะ…

??: ――อะไรกัน คนเขาอุตส่าห์บินมาหาถึงจักรวรรดิเลยแท้ๆ ใจร้ายเหลือเกินนะ นัตสึกิคุง

เสียงพูดดังมาจากขบวนด้านหลัง ชัดเจนว่าผู้พูดดักฟังบทสนทนาในห้องอยู่ พอได้ยินดังนั้น วินเซนต์ก็อนุญาตให้แขกเข้ามายังห้องประชุม

พอทุกคนรู้ตัวอีกที ฮาลิเบลก็ไปโผล่ที่หน้าประตูในพริบตา แล้วเปิดบานประตูให้แก่ผู้มาเยือนจากคารารากิ

อนาสตาเซีย: ท่าทางพวกคุณเอมิเลียจะขยันไปเจอปัญหาอยู่เรื่อยจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราอีกเหลือเปล่าน้อ?

แขกจากคารารากิเป็นหญิงสาวผมสีม่วงอ่อนในชุดกิโมโนที่สวมผ้าพันคอจิ้งจอก “อนาสตาเซีย โฮชิน” นั่นเอง

สุบารุ: คุณอนาสตาเซียกับยุลิอุส!?

และที่ข้างตัวอนาสตาเซีย หนุ่มหล่อในชุดญี่ปุ่นสไตล์วะโซก็ชำเลืองดูสุบารุแล้วลูบแผลเป็นที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาข้างซ้าย

ยุลิอุส: ――อยากบอกว่าโล่งอกไปทีที่ยังปลอดภัยอยู่หรอก แต่ทำไมนายถึงได้เป็นงี้อยู่เรื่อยทุกที?

สุบารุ: อย่าพูดเหมือนว่าชั้นสามารถก่อทรับเบิลเลเวลที่อยู่ดีๆ ตัวเล็กลงได้ตลอดเวลาจะได้ไหมฟะ!!

. ตัดไปทางชายคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งรกร้างอย่างเดียวดาย

เข่าของเขาหมดแรงจนล้มหน้ากระแทก จมูกปวดร้าว ปากแตกจนเลือดไหล แถมคอยังแห้งผาก เรี่ยวแรงในตัวก็แทบไม่เหลือหรอแล้ว

เขาคงจะเน่าตายอยู่ที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พยายามมาล้วนแต่สูญเปล่า ถึงอย่างไรเขาก็หนีไปจากนรกขุมนี้ไม่พ้น เพราะว่านรกมันอยู่ในตัวเขาเอง

??: บ้า…เอ๊ย…

แค่น้ำตาก็ไม่เหลือให้ไหล ชีวิตมีแต่เรื่องให้นึกเสียใจ เขาไม่มีทางรักตัวเองได้ แค่รักสิ่งที่เคยรักก็ยังทำไม่ได้เลย เขาเกลียดตัวเองที่เป็นเช่นนั้นเหลือเกิน

ชายแปลกหน้า: ――โอ๋? ทีแรกว่าจะเปลื้องผ้าทิ้งเพราะนึกว่าเป็นศพ แต่ว่ายังหายใจอยู่นี่ นั่นน่ะก็ถือว่าดีแล้วๆ

ชายแปลกหน้าคนหนึ่งพลิกร่างของเขาที่นอนคว่ำอยู่ให้กลับมาหงายหน้าดูท้องฟ้าจนแสบตา ซึ่งนั่นทำให้เขาน้ำตาไหลทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้ น่าสมเพชเหลือเกิน

พอได้เห็นความหมดอาลัยตายอยากของเขา ชายแปลกหน้าก็บอกว่ารู้วิธีแก้อาการแบบนั้นอยู่

ชายแปลกหน้า: มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว้า ――ไปดื่มเหล้าให้หนำใจกันเหอะ

ว่าแล้วเขาก็ถูกชายแปลกหน้าดึงคอเสื้อแล้วลากไปตามทุ่งรกร้างโดยที่ต่อต้านไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรร่างกายก็หมดเรี่ยวแรงเกินกว่าจะไปขัดขืนอยู่ดี

โลอัน: เราชื่อโลอันเป็นโรนินยาจก ลูกพี่ล่ะ?

??: …

โลอัน: ลูกพี่ อย่างน้อยน่าจะมีชื่อนี่ บอกกันสักหน่อยไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย

เขาไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องตอบกลับเลยแท้ๆ แต่พอได้ฟังชายที่ชื่อโลอันพูดจาสนิทสนมแบบชิวๆ ปากมันก็เผลอตอบกลับไปหลังถอนหายใจเฮือกใหญ่

ไฮน์เคล: …ไฮน์เคลน่ะ

ไฮน์เคล แอสเทรอา ตอบกลับไปเช่นนั้นโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าการพบเจอที่ดูเหมือนเป็นเพียงเหตุบังเอิญครั้งนี้เป็นสิ่งที่โชคชะตาได้กำหนดเอาไว้

. จบตอน