อ่างเก็บน้ำแตกออกเปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นคุกน้ำแบบมีเวลาจำกัด จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคียจึงจำใจต้องสั่งอพยพ
เหล่าทหารจักรวรรดิมากมายยังคงต่อสู้อยู่ในนครหลวงเพื่อต้านกองทัพผีดิบไว้ให้ได้นานที่สุด ถ่วงเวลาไปจนกว่าการอพยพจะเสร็จสมบูรณ์
แม่ทัพ: …ทุกนาย เผด็จศึกมันเลย!
หนึ่งในพวกผีดิบมีชายหัวโล้นร่างใหญ่ที่เพียงแค่ตวัดแขนก็ขยี้เหล่าทหารกระจุยเหมือนเศษกระดาษ แต่แม่ทัพภาคสนามก็ไม่ย่อท้อ เขาออกคำสั่งให้ทหารรุมสกรัมผีดิบร่างยักษ์ทันที
ทหารคนแรกที่กระโจนเข้าไปโดนขยี้หัวจนแหลก แต่คนที่เหลือรุดหน้าเข้าไปฟันขาศัตรูจนเสียการทรงตัวได้ ทหารอีกคนเตรียมเผด็จศึก แต่พอเจ้าผีดิบจ้องตากลับ เขาก็ดันมือไม้อ่อนแรงไปเสียก่อน
ทว่า แม่ทัพภาคสนามเอาตัวเข้าไปรับคมดาบของเจ้าผีดิบไว้แทน ทหารคนนั้นจึงมีกำลังใจฮึดกลับมาฟันหัวผีดิบตัวใหญ่จนร่างแหลกกลายเป็นเศษในที่สุด
ศัตรูตายไปแล้ว แต่แม่ทัพของเขาก็เสียชีวิตในหน้าที่เช่นกัน พลทหารไร้ทางเลือกอื่นนอกจากเก็บดาบในมือของแม่ทัพมาใช้ แล้วมองหาศัตรูตัวต่อไป
ทหารจักรวรรดิ: ไอ้เวรเอ๊ย…
ราวกับตลกร้าย ศัตรูตัวต่อไปของพลทหารก็คือผีดิบที่มีรูปลักษณ์เหมือนแม่ทัพที่พึ่งแลกชีวิตเพื่อปกป้องเขาไปเมื่อสักครู่
ทั้งที่ศพของแม่ทัพก็นอนอยู่ข้างตัวเขาแท้ๆ แต่กลับมีผีดิบของแม่ทัพคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขา พลทหารได้แต่สบถออกมาแล้วจับดาบต่อสู้ต่อไปอย่างไม่รู้จบ
. ตัดกลับมาทางรถมกรพ่วงที่กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองการ์คลา สุบารุไม่คาดฝันเลยว่าจะได้เจอกับอนาสตาเซียและยุลิอุส รวมถึงวิญญาณเทียมเอคิดน่าที่ต่างแดนเช่นนี้
สรุปแล้วในบรรดากลุ่มที่ร่วมเดินทางไปหอสังเกตการณ์เพลอาเดส สุบารุยังไม่ได้เจอหน้าแค่พาทรัชกับเมลี่เท่านั้น
ยุลิอุส: ――องค์จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคีย ก่อนอื่นคงต้องขอกล่าวว่าโล่งใจที่ยังปลอดภัยดีนะครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าเฝ้าท่านอีกครั้ง
วินเซนต์: บอกว่าอีกครั้งงั้นหรือ? แต่ทางนี้จำไม่เห็นได้ว่าเคยมีนักดาบจากนครรัฐมาเข้าเฝ้า ใบหน้าของเจ้าเองก็ไม่คุ้นเช่นกัน เหตุใดถึงได้บอกว่า “อีกครั้ง” กันล่ะ?
ยุลิอุส: ด้วยความเคารพ เคยมีโอกาสได้พบกันเพียงครั้งเดียวขอรับ แถมในตอนนั้นยังพบกันในฐานะอัศวินแห่งราชอาณาจักร มิใช่นักดาบแห่งนครรัฐ
ยุลิอุสผู้มีแผลเป็นใหม่ใต้ตาข้างซ้ายกล่าวทักทายวินเซนต์เหมือนรู้จักกันมาก่อน แต่ว่าทั้งองค์จักรพรรดิและเสนาบดีเบลสเต็ตซ์ต่างก็จำเขาไม่ได้ทั้งคู่
เนื่องจากว่ายุลิอุสท่าทางไม่ได้โกหก วินเซนต์จึงอนุมานได้ว่ามีปัจจัยภายนอกบางอย่างส่งผลให้เขาจดจำยุลิอุสไม่ได้ ทำเอาสุบารุทึ่งไปเลย
. ยุลิอุสแนะนำตัวอนาสตาเซียว่าเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์กษัตริย์ของลูกุนิก้าเช่นเดียวกับเอมิเลีย และยังเป็นประธานบริษัทการค้าโฮชิน
นอกจากนี้ ปัจจุบันอนาสตาเซียยังมีอีกตำแหน่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ…
ยุลิอุส: ในตอนนี้ ท่านอนาสตาเซียได้รับมอบหมายให้เป็นทูตที่ต้องเดินทางมายังจักรวรรดิ ――ในฐานะตัวแทนแห่งสหภาพนครคารารากิครับ
ออตโต้: ――สหภาพนครคารารากิงั้นเหรอครับ!?
นครรัฐคารารากินั้นแบ่งเขตปกครองออกเป็นสิบนคร แต่ละนครจะมีนายกเทศมนตรีเป็นผู้ปกครอง และสภาปกครองใหญ่ที่มีเหล่านายกเทศมนตรีเป็นสมาชิกอีกทีนั้นเรียกว่า “สหภาพนคร”
ฮาลิเบลเล่าว่าที่คารารากิเองก็เกิดอุบัติการณ์ผีดิบอาละวาดขึ้นเช่นเดียวกัน ทางสหภาพนครจึงได้ส่งเขามาหาทางแก้ไขสถานการณ์
พวกสุบารุแตกตื่นกันทันที เนื่องจากเรื่องซอมบี้ดูเหมือนจะกลายเป็นภัยพิบัติระดับโลกไปแล้ว
สุบารุ: คุณฮาริเบล! จะมัวเสียเวลาไม่ได้นะ นี่มันไม่ใช่เวลามาอยู่ที่จักรวรรดิ…
ฮาริเบล: บ่ต้องห่วง เรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับซอมบี้ของฝั่งคารารากิน่ะ ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้น บ่ต้องกึ๊ดนักเรื่องคารารากิก็ได้
ยุลิอุสกับอนาสตาเซียเสริมว่าวิกฤติการณ์ซอมบี้มันเกิดขึ้นที่คารารากิก่อนที่จะลุกลามมายังวอลลาเคีย สหภาพนครจึงต้องการตรวจสอบเหตุที่มาที่ไปและส่งทูตมาเตือนภัยจักรวรรดิที่อยู่ข้างเคียง
เพื่อการนั้น อนาสตาเซียที่เป็นทูตจึงได้จ้างฮาริเบลที่เข้าใจสถานการณ์ดีให้ติดตามมาด้วยกัน
. อนาสตาเซียมีทฤษฎีว่าคารารากิเป็นเพียง “สถานที่ทดลอง” เท่านั้น
แม้ว่านครรัฐจะเป็นที่แรกที่เกิดอุบัติการณ์ซอมบี้ขึ้น แต่เป้าหมายที่แท้จริงของตัวการเบื้องหลังน่าจะเป็นจักรวรรดิวอลลาเคียตั้งแต่แรก
ฮาลิเบลเล่าว่าซอมบี้ที่คารารากินั้นแอบเปลี่ยนตัวกับชาวบ้านตัวจริงแบบลับๆ แล้วแสร้งตีเนียนใช้ชีวิตตามปกติต่อไป
ราวกับว่าเป้าหมายของศัตรูไม่ใช่การล้มล้างคารารากิตั้งแต่แรก เพราะงั้นฮาริเบลจึงสามารถยับยั้งภัยพิบัติได้ก่อนที่มันจะลุกลามเป็นหายนะ
เอมิเลีย: นี่ คุณฮาลิเบล ที่ว่าผู้คนในเมืองกลายเป็น “สอมบี้” เนี่ย …ในเมืองที่ว่ามีคนอาศัยอยู่กี่คนงั้นเหรอ?
ฮาริเบล: ――ประมาณสองพันคนได้
เอมิเลีย: ไม่จริงน่า…
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่จำนวนผู้เสียชีวิตที่น้อยเลย แต่ระดับความเสียหายมันเทียบกันไม่ได้กับฝั่งจักรวรรดิวอลลาเคียที่ถูกศัตรูบุกยึดนครหลวงลูปุกาน่าจนต้องอพยพหนี
สาเหตุที่ฝั่งคารารากิรู้ตัวเกี่ยวกับพวกซอมบี้นั้นเป็นเพราะจำนวนเสบียงที่นำเข้าเมืองมันผิดธรรมชาติ เนื่องจากพวกซอมบี้ไม่จำเป็นต้องกินและดื่ม
. วินเซนต์: เบลสเต็ตซ์ จักรวรรดิส่งกองทัพหนึ่งไปประจำการอยู่ที่ฝั่งตะวันตกด้วยใช่ไหม?
เบลสเต็ตซ์: ขอรับ เราได้รับรายงานเหตุการณ์ความไม่สงบจากชายแดนคารารากิฝั่งตะวันตก มันเป็นช่วงก่อนที่สัญญาณแห่งสงครามกลางเมืองจะเริ่มลุกลาม เราเกรงว่ามันอาจจะเป็นฝั่งเดียวกับกบฎ เลยต้องตรวจสอบและยับยั้งไว้ก่อน ――อย่าบอกนะว่า
วินเซนต์: ผู้ที่ถูกมอบหมายให้นำกองทัพดังกล่าวคือกรูวี่ กัมเล็ตสินะ?
กอซ: ฝ่าบาท! อย่าบอกนะ…ไม่จริงน่า! แม่ทัพเอกกรูวี่คงไม่!
วินเซนต์: เหตุการณ์ความไม่สงบที่ชายแดนติดนครรัฐ… หากว่านั่นคือสาเหตุที่เขาเข้าร่วมศึกที่นครหลวงจักรวรรดิมิได้ แถมยังคงไม่กลับมาแม้ว่าสถานการณ์จะลุกลามถึงที่นี่แล้ว คงได้แต่อนุมานถึงกรณีเลวร้ายที่สุดเท่านั้น
เซรีน่า: กรณีเลวร้ายสุดงั้นเรอะ? กระทั่งตัวฉันยังขำไม่ออกเลย
วินเซนต์: ――กรูวี่ กัมเล็ตและกองทัพของเขาอาจจะพ่ายแพ้ต่อพวกผีดิบไปแล้ว ต่อจากนี้ หากเขายังคงไม่กลับมารวมกลุ่มกับทางเรา คงต้องตีความเช่นนั้นไว้ก่อน
กอซทำได้แต่เพียงกัดฟันด้วยความเจ็บใจต่อความเป็นไปได้ที่หนึ่งในพวกพ้องของเขาอาจจะตายไปแล้ว
แถมจากนี้ไป ข้อมูลที่มาจากถิ่นไกลจะเริ่มประเมินความน่าเชื่อถือได้ยาก เนื่องจากพวกเขาทราบแล้วว่าพวกซอมบี้สามารถเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ได้
ด้วยเหตุนี้ ทูตของสหภาพนครอย่างอนาสตาเซียถึงต้องถ่อมาถึงวอลลาเคียเพื่อแจ้งข่าวด้วยตัวเอง และให้มีผู้ติดตามเพียงน้อยคน
ปัจจุบันกองกำลังเขี้ยวเหล็กกำลังตั้งแนวป้องกันอยู่ที่ชายแดนคารารากิร่วมกับสหภาพนคร เผื่อไว้ในกรณีเลวร้ายสุดที่วอลลาเคียไม่สามารถยับยั้งมหาภัยพิบัติในครั้งนี้ได้
ฮาริเบลแอบพูดจากหยอกล้ออนาสตาเซียด้วยการเรียกเธอว่า “ยัยหนูอานา” แบบที่ริคาร์โด้เคยเรียก สุบารุที่เป็นคนนอกเลยได้แต่อนุมานว่าฮาริเบลน่าจะเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของทั้งอนาสตาเซียและริคาร์โด้
. อนาสตาเซียกล่าวในฐานะทูตว่าสหภาพนครแห่งคารารากิพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือจักรวรรดิวอลลาเคียเพื่อยับยั้งภัยพิบัติซอมบี้อย่างเต็มที่
ซึ่งวินเซนต์และอนาสตาเซียต่างก็เห็นพ้องกันว่าหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งหายนะผีดิบได้ ก็คือการสังหารตัวการเบื้องหลังหรือผู้ใช้วิชาปลุกชีพผีดิบ
ปัญหาก็คือไม่มีใครในที่ประชุมล่วงรู้ถึงตัวตนของตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหายนะครั้งนี้เลย
แต่ถึงกระนั้นสุบารุก็มั่นใจในความแข็งแกร่งของสมาชิกพวกพ้องที่มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ ทั้งบรรดาสมาชิกฝ่ายเอมิเลีย กำลังรบของจักรวรรดิ และกำลังเสริมจากคารารากิ
สุบารุ: ――ไม่ว่า “ศัตรู” จะวางแผนอะไรไว้ ทางนี้ก็ไม่มีทางแพ้หรอกเฟ้ย!
. ในขณะเดียวกัน น้ำจากอ่างเก็บน้ำก็ได้ไหลทะลักออกมาท่วมนครหลวงจักรวรรดิ หนุ่มน้อยผมน้ำเงินจึงรีบขึ้นที่สูงเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำโคลนที่กลืนทุกสิ่งขวางหน้า
หากไม่ได้ เซซิลุส เซ็กมุนต์ ช่วยต่อสู้ยื้อเวลาเอาไว้ อ่างเก็บน้ำคงจะแตกไปไวกว่านี้ไปแล้ว แต่ว่าผลลัพธ์กลับไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวพอใจนัก
หนุ่มน้อยสายฟ้าได้อาศัยสัญชาตญาณในฐานะดารานำแสดงเด่นของเขาตามมาจนพบตัวบุคคลที่น่าจะเป็น “ตัวการเบื้องหลัง” ของอุบัติการณ์ในครั้งนี้ ทว่า…
เซซิลุส: ――อย่าบอกนะว่าถึงจะกำจัดผู้ใช้วิชาที่เป็นตัวการไปสถานการณ์ก็ไม่ได้จบลงน่ะ!
ที่เบื้องหน้าของ “อัสนีสีฟ้า” มีร่างเด็กสาวผมสีชมพูนอนอยู่แทบเท้าของเขา นั่นคือร่างของ “แม่มด” ผู้ใช้วิชาปลุกชีพผีดิบที่พ่ายแพ้ไปแล้ว
กระนั้นเหล่าผีดิบในตัวเมืองกลับยังพยายามหนีน้ำท่วมขึ้นที่สูงต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
. จบตอน