การปะทะกับพวกซอมบี้ ณ ศึกยามค่ำคืนนั้น การ์ฟีลได้เจอกับศัตรูอยู่ 2 ประเภท กลุ่มแรกคือพวกซอมบี้ธรรมดาที่มีดีแค่จำนวนแต่ไร้กระบวนทัพ
ส่วนประเภทที่สองคือซอมบี้มากฝีมือที่โผล่มาให้เห็นสักประมาณ 1 ใน 20 ตัว ซึ่งก่อความลำบากให้พวกการ์ฟีลไม่สามารถบุกตะลุยแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้
ซอมบี้ถือดาบคู่ตัวหนึ่งแสดงวิชาดาบหมายสังหารการ์ฟีล ดาบแรกฟันแบบไม่ลึกเพื่อหลอกให้ศัตรูประมาทระยะ ตามด้วยคมดาบที่สองที่ฟันลึกกว่าเดิมจนเฉี่ยวคอของการ์ฟีลไป
ซอมบี้ดาบคู่ใช้วิชาดาบอีกรอบเพื่อเผด็จศึก แต่คราวนี้การ์ฟีลขยี้ข้อมือข้างขวาของมันทิ้งก่อน แล้วต่อยกำปั้นซัดเต็มหน้าของมันจนหัวระเบิดเหมือนผลไม้ที่แตกออก
การ์ฟีล: เหมือนที่เขาว่า “วาลเกรนถึงจะมีสามหัว ก็มีแค่ลำตัวเดียวอยู่ดี” …ยังไงเล่า!
ร่างศัตรูที่สลายกลายเป็นฝุ่นหลังปราบลงได้ทำให้การ์ฟีลรู้สึกขนลุกแปลกๆ เนื่องจากเขาไม่คุ้นชินในการต่อสู้กับสิ่งที่ไร้ชีวิต
. เดิมทีการ์ฟีลประจำการอยู่ที่หน่วยรักษาคนเจ็บ แต่พอได้เพทร่าช่วยพูดให้กำลังใจ เขาก็เลือกทำตามที่ใจอยากด้วยการกลับมาลุยที่แนวหน้า
ชนเผ่าชูดราคที่นำโดยทาริตต้าเองก็ต่อสู้อยู่ในสนามรบแห่งนี้ด้วยเช่นกัน พวกเธอล่าซอมบี้ลูกกระจ๊อกด้วยห่าฝนลูกธนู และปลิดชีพซอมบี้ที่แข็งแกร่งด้วยลูกธนูที่รุนแรงดุจรถมกรพุ่งชน
อีกกลุ่มที่การ์ฟีลประทับใจก็คือ “หน่วยรบเพลอาเดส” กลุ่มผู้ติดตามของสุบารุซึ่งแข็งแกร่งผิดกับทักษะการสู้รบที่โดยรวมค่อนข้างธรรมดาแบบน่าเหลือเชื่อ
หน่วยรบเพลอาเดส 1: ลุยกันเลย ลุยกันเลย ลุยกันเลย ลุยกันเล๊ยยย!
หน่วยรบเพลอาเดส 2: แกร่งสุด! ไร้เทียมทาน! เข้ามาเลย! แน่จริงก็เข้ามา!!
หน่วยรบเพลอาเดส 3: โอ้ววววว!!
มิเซลด้าแอบประหลาดใจที่มีคนเชื่อมั่นในตัวสุบารุมากขนาดนี้ แต่การ์ฟีลก็พูดอวยเพิ่มว่าขุนพลของเขาคือชายที่เหนือกว่าความคาดหวังของคนอื่นเป็นร้อยเท่าอยู่เสมอ
มิเซลด้า: เข้าใจความรู้สึกของนายเลย สุบารุน่ะ ทั้งตอนที่เข้าร่วม “พิธีกรรมโลหิตชีวัน” และศึกหลังจากนั้นก็แสดงให้พวกฉันเห็นมาโดยตลอด ว่าเขามีจิตวิญญาณของนักรบ หน้าตาอาจจะไม่ได้ดีนัก แต่น่าให้เป็นเจ้าบ่าวของทาริตต้าน่ะเนี่ย
การ์ฟีล: อย่านินทาเรื่องหน้าตาเซ่! ขุนพลเขายิ่งคิดมากเรื่องตาดุอยู่! อีกอย่าง… ถึงแม้ว่าตกหลุมรักขุนพลแค่ไหน ขุนพลเขาก็มีคนที่รักอยู่แล้ว
มิเซลด้า: ――อย่างนี้นี่เอง นั่นสินะ
การ์ฟีลแอบภูมิใจที่กระทั่งผู้คนในจักรวรรดิยังเคารพนับถือสุบารุ แต่สถานการณ์ปัจจุบันมันก็ขัดขวางไม่ให้พวกตนได้ใช้เวลาร่วมกับสุบารุอย่างสงบสุข
. การ์ฟีลตั้งข้อสังเกตว่าพวกซอมบี้มีระดับ “ความถึกทน” ไม่เท่ากัน
บางตัวโดนลูกธนูของเผ่าชูดราคปักไหล่ดอกเดียวก็ตาย แต่บางตัวต้องใช้หลายดอก แถมถึงจะยิงโดนจุดตายอย่างเช่นดวงตาก็ไม่เป็นไร
ความถึกทนที่ว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของซอมบี้ตัวนั้นๆ ด้วย มันเป็นอะไรที่การ์ฟีลยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้มิเซลด้าเข้าใจได้
การ์ฟีล: แม่งเอ๊ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว! “กิลตี้เลาช้าไปก้าวนึง” ชัดๆ ขืนเป็นแบบนี้ คงต้องขยี้พวกมันให้หมดทุกตัว…
รอสวาล: ――วิธีคิดแบบนั้นนี่แหละที่เรียกว่า “กิลตี้เลาช้าไปก้าวนึง” หล่า~น้า
การ์ฟีล: นี่เอ็ง ดัดลี่ย์…
รอสวาล: โอ๊ะโอ ถึงจะเริ่มคุ้นชินกับชื่อปลอมแล้ว แต่ไม่มีเห็นเหตุผลให้ต้องปกปิดชื่อจริงแล้วล่ะน้า~ เรียกแบบเดิม…
การ์ฟีล: ไอ้เวรรอสวาล!
เนื่องจากการเจรจาพันธมิตรระหว่างสองประเทศลุล่วงด้วยดี รอสวาลจึงกลับมาพูดจาลากเสียงยาวแบบเดิม ที่แปลกตาคือรอสวาลอุ้มเบียทริซบินมาด้วยกัน
ที่เบียทริซยอมห่างกายสุบารุก็เพื่อมาหาคำตอบเรื่องความรู้สึกแปลกๆ ที่การ์ฟีลสัมผัสได้ก่อนหน้านี้
ซึ่งการจะวิเคราะห์สถานการณ์เหนือสามัญสำนึกในปัจจุบัน ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าสองผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์จากลูกุนิก้า รอสวาลและเบียทริซ อีกแล้ว
(เอมิเลียเป็นผู้ใช้ศาสตร์วิญญาณ รัมเป็นกลุ่มผู้ใช้สัมผัส ส่วนเพทร่าก็ยังเป็นแค่มือใหม่ด้านเวทมนตร์)
. การ์ฟีลเล่าเรื่องความถึกทนที่ไม่เท่ากันของซอมบี้ให้รอสวาลกับเบียทริซฟัง หลังครุ่นคิดอยู่สักพัก รอสวาลก็ถามเบียทริซว่ามีมานาเหลือมากแค่ไหน
เบียทริซ: เจอสุบารุมาแล้ว สบายหายห่วงได้กระมัง
รอสวาล: ――ถ้างั้นก็ดี อาว~ล่ะ
ประกายแสงของมานาสี่ธาตุปรากฏตัวขึ้นรอบตัวรอสวาล แล้วพอเขาดีดนิ้ว เวทมนตร์ทั้งสี่ธาตุก็พุ่งไปจู่โจมพวกซอมบี้ดุจลูกศร
ลุกไหม้ ถูกแช่แข็ง ถูกผ่าแขนขาด้วยดาบสายลม ถูกแท่งหินเสยผ่าหมาก หลังรับผลของเวทมนตร์แต่ละธาตุไป ร่างของพวกซอมบี้ก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่น
รอสวาล: อย่างที่ได้ยินมา ธาตุอัคคีได้ผลดีสุดสิน้า~เนี่ย วายุไม่ค่อยได้ผลนัก ส่วนปฐพีก็ไม่ต่างจากการโจมตีกายภาพทั่วไป จับเยือกแข็งก็เปลืองพลังงานไปหน่อย
ระหว่างที่รอสวาลประเมินประสิทธิภาพของเวทมนตร์ 4 ธาตุหลัก เบียทริซก็เริ่มลงมือทดสอบบ้าง
เบียทริซ: ――วีต้า
เบียทริซลองใช้เวทมนตร์เพิ่มน้ำหนักให้ลูกธนูของเผ่าชูดราคแต่ละดอกในปริมาณที่แตกต่างกัน เพื่อทดสอบความถึกทนของพวกซอมบี้เพิ่มเติม
ระหว่างที่ต้านฝูงซอมบี้ที่พยายามกรูเข้ามาไว้ด้วยเวทมนตร์ รอสวาลกับเบียทริซก็เริ่มถกสมมุติฐานกัน
เบียทริซ: ถ้าจะมองว่าเป็นแค่ความถึกทนที่ต่างกันออกไปของแต่ละตัวคงด่วนสรุปไปหน่อยกระมัง
รอสวาล: น่าจะมีสาเหตุอื่นอยู่แหละ กระแสมานามันเท่ากันเลยนี่
เบียทริซ: เท่ากันจริงด้วย…เดี๋ยวก่อนนะยะ นี่มันเท่ากันเป๊ะเกินไปแล้วกระมัง
การ์ฟีลและมิเซลด้าที่มองอยู่ห่างๆ เห็นพ้องกันว่าสองจอมเวททำงานเข้าขากันดีมาก แต่ขืนพูดให้ฟัง เบียทริซมีหวังโมโหมากแหงๆ
. เบียทริซ: ขอลองแตะมันดูสักทีนะยะ
รอสวาล: ――มุทะลุเกินไปไหม
ว่าแล้วเบียทริซก็กระโจนตัวไปหาซอมบี้ที่หันหลังอยู่ตัวหนึ่งโดยอาศัยเวทมนตร์ลดน้ำหนัก แต่ซอมบี้ตัวนั้นรู้ตัวทัน มันจึงหันมาหาเด็กสาว
รอสวาล: จิวาลด์
มือข้างขวาที่พยายามจะตวัดดาบฟันเบียทริซถูกรอสวาลยิงจนละลายด้วยเวทแสงตะวัน เป็นการเปิดโอกาสให้เบียทริซวางมือสัมผัสหน้าผากของเจ้าซอมบี้
เบียทริซ: อย่างที่คิดเลยกระมัง
หลังเธอพึมพำออกมา รอสวาลก็คว้าร่างของเบียทริซเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วใช้กำปั้นจากมืออีกข้างต่อยซอมบี้หน้าแหก
รอสวาล: ไม่ไหวๆ ฉันควรตำหนิสุบารุคุงสักหน่อยไหมเนี่ย?
เบียทริซ: แล้วเดี๋ยวเบ็ตตี้จะชมสุบารุต่อเองย่ะ ――เป็นเวทมนตร์บูรณะกระมัง
ตามความเข้าใจของการ์ฟีล เวทมนตร์บูรณะคือเวทมนตร์ที่สามารถใช้คืนสภาพให้วัตถุที่พังหรือเสื่อมสลายให้กลับไปอยู่ในสภาพดังเดิมได้
แต่มันหาตัวผู้ใช้ได้ยาก การจะซ่อมแซมวัตถุนั้นผู้ใช้ต้องมีความเชี่ยวชาญสูง แถมสิ่งของที่ฟื้นฟูอาจจะมีคุณภาพเสื่อมลงอีก
มิหนำซ้ำเวทมนตร์บูรณะไม่ควรจะใช้กับสิ่งมีชีวิตได้ นั่นมันเข้าข่ายเวทมนตร์ต้องห้ามอย่าง “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” แล้ว
รอสวาล: อาจารย์เลือกใช้มานาเป็นภาชนะ ฉันเลือกใช้เลือดเป็นภาชนะ ――แต่ว่า “ศัตรู” คนนี้เลือกใช้ดินเป็นภาชนะ แถมไม่สนว่าของด้านในอาจจะหกงั้นเหรอ? ――เบียทริซ นี่คงไม่ใช่ “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” ใช่ไหมเนี่ย?
เบียทริซ: …รากฐานเป็นแบบเดียวกัน แต่แอพโพรช(วิธีการ)มันต่างออกไปย่ะ “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” น่ะภาชนะต้องมาก่อน ดวงวิญญาณเป็นเรื่องรองกระมัง แต่ว่าซอมบี้พวกนี้น่ะ…
รอสวาล: ดวงวิญญาณมาก่อน ส่วนภาชนะเป็นเรื่องรอง ――กายเนื้อเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เข้ากับดวงวิญญาณ
. สองจอมเวทเห็นพ้องกันในทฤษฎีดังกล่าว กระทั่งการ์ฟีลที่ไม่ได้ฟังรู้เรื่องทั้งหมดยังรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ แต่รอสวาลในตอนนี้มีใบหน้าขมขื่นยิ่งกว่าการ์ฟีลเสียอีก
รอสวาล: บางทีอาจจะพอเดาได้แล้วว่าตัวจริงของ “ศัตรู” คือใคร
การ์ฟีล: ――จริงเรอะ! ถ้างั้น…
รอสวาล: แต่ว่า เดี๋ยวก่อนนะ เป็นไปไม่ได้ ก็ในเมื่อฆ่าเจ้านั่นไปกับมือ…
นี่เป็นครั้งแรกที่การ์ฟีลเห็นรอสวาลสูญเสียความเยือกเย็นและเปี่ยมล้นไปด้วยความลังเลและความกังขา ทำเอาเขาหงุดหงิดจนอยากไปกระชากคอเสื้อ
เบียทริซ: รอสวาล ขอถามอะไรสักอย่างนะยะ ที่นายลังเลแสดงว่าท่านแม่มีเอี่ยวด้วยหรือเปล่า?
รอสวาล: …นี่ตัวฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
เบียทริซ: เรื่องเดียวที่ทำให้นายลุกลนได้ขนาดนี้ต้องเกี่ยวกับท่านแม่อยู่แล้วย่ะ อีกเรื่องที่ทำให้ลุกลนได้คงเป็นเรื่องรัมกระมัง
รอสวาล: ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ฉันก็คงรู้สึกขมขื่นเหมือนกันนั่นแหละ
. สรุปแล้ว การที่ศัตรูสามารถคืนชีพซอมบี้โดยไม่ต้องมีศพ คือการใช้เวทมนตร์บูรณะกับดวงวิญญาณดึงกลับมาโดย “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ”
ทว่า คนที่สามารถใช้เวทมนตร์ชั้นสูงขนาดนั้นได้ มีเพียงสายเลือดของแม่มดแห่งโลภะ “เอคิดน่า” นั่นหมายความว่า…
มิเซลด้า: ――เป็นสายตาที่ชวนไม่สบอารมณ์ชะมัด
ทันใดนั้นเอง มิเซลด้าก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนฟากฟ้า พอการ์ฟีล รอสวาล และเบียทริซมองตามไป แต่ละคนก็ดวงตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
สำหรับการ์ฟีล เขามองเห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย แต่สำหรับเบียทริซกับรอสวาล พวกเขามองเห็นบางสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น
เด็กสาวผมสีชมพูในชุดคลุมสีดำลอยตัวอยู่กลางอากาศ เธอมีใบหน้าของบุคคลที่การ์ฟีลเคารพรักตั้งแต่จำความได้ แต่สายตากลับเยือกเย็นไม่คุ้นเคย
สฟิงซ์: เป็นผลลัพธ์ที่ไม่พึ่งประสงค์แต่ก็ประสบความสำเร็จ… ดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะยอมรับตัวฉันเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยล่ะค่ะ
เธอใบหน้าและน้ำเสียงอันคุ้นเคย แต่มันเป็นใบหน้าที่ซีดเซียวมีรอยแตก ดวงตาสีทองของเด็กสาวจดจ้องมาทางการ์ฟีลอย่างน่าขนลุก
รอสวาล: ยังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ… สฟิงซ์
สฟิงซ์: เปล่าเลย ตายไปแล้วค่ะ ――“สังเกต” จำเป็นค่ะ
แม่มดสฟิงซ์ผู้มีรูปลักษณ์แบบเดียวกับ “ริวซู” คุณยายของการ์ฟีลกล่าวเช่นนั้นด้วยใบหน้าของผีดิบ
. จบตอน