รอสวาลเปิดฉากจู่โจมสฟิงซ์ด้วยเวทอัคคีที่เผาผลาญทั้งน่านฟ้า เป็นการโจมตีที่ลงทุนลงแรงอย่างเวอร์วังสำหรับการกำจัดศัตรูเพียงคนเดียว
สฟิงซ์: ระดับความเป็นภัยที่รับรู้ “ปรับแก้” จำเป็นค่ะ
ทว่า สฟิงซ์กลับบินทะลุม่านเพลิงออกมาได้อย่างปลอดภัย เบียทริซจึงเข้าจู่โจมต่อเนื่องทันที
เบียทริซ: เอล มีเนีย
เบียทริซเลือกใช้มีเนียซึ่งเป็นเวทที่ใช้ได้ผลดีกับเหล่าผีดิบในการจู่โจมสฟิงซ์ พลางบ่นในใจว่าถ้ามีกองทัพผู้ใช้เวทเงาคงชนะศึกนี้ได้สบาย
น่าเสียดายที่ตลอดชีวิตอันยืนยาวของเธอ เบียทริซเคยเจอกับผู้ที่สามารถใช้เวทเงาแบบเธอกับสุบารุได้ไม่ถึง 10 คนเท่านั้น เพราะผู้ใช้เวทธาตุนี้มีจำนวนอยู่น้อยจริงๆ
เบียทริซหวนนึกถึงรอยยิ้มของริวซู เมย์เอล อดีตเพื่อนคนสนิทของเธอ ก่อนที่จะสลัดความคิดนั้นทิ้งเพื่อจดจ่ออยู่กับการสังหารศัตรูที่มีใบหน้าของริวซู
. สฟิงซ์ยิงลำแสงออกจากนิ้วมือทั้งสิบเพื่อทำลายผลึกของเวทมีเนียและบินเข้าหาเบียทริซ แต่แล้วแท่งผลึกที่แตกเป็นเศษกลับยังคงบินไล่ล่าสฟิงซ์อย่างต่อเนื่อง
ลูกศรผลึกเป็นเพียงผลลัพธ์ของการเคลือบเวลาให้กลายเป็นของแข็ง ตัวผลึกจึงไม่ได้สำคัญ ต่อให้มีแค่เศษเล็กๆ ประสิทธิภาพของเวทมีเนียก็ยังครบถ้วน
สฟิงซ์: ระดับความเป็นภัยที่รับรู้ “ปรับแก้” อีกครั้ง จำเป็น――
การ์ฟีล: ――คิดจะปรับตอนนี้มันก็ช้าไปร้อยปีแล้วเฟ้ย
ระหว่างที่สฟิงซ์กำลังพยายามบินหลบเศษละอองเวทมีเนีย การ์ฟีลก็กระโจนตัวขึ้นมาจากพื้น แล้วง้างแขนเตรียมต่อยสุดกำลัง
ทั้งสองสบตากันในชั่ววินาทีนั้น ความลังเลเริ่มก่อตัวในใจของการ์ฟีลที่จะต้องทำร้ายคนหน้าตาเหมือนคุณยาย ทว่า…
การ์ฟีล: คุณยายน่ะมีกลิ่นของหัวใจที่ต่างออกไปเฟ้ยยย――!!
กำปั้นที่ไร้ความลังเลและเปี่ยมด้วยโทสะซัดเข้าเต็มแรงจนร่างเล็กๆ ของสฟิงซ์ร่วงลงไปโหม่งผืนดินเบื้องล่างและกลิ้งต่อจนฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
กระทั่งเบียทริซที่มองอยู่ห่างๆ ยังมองว่าหมัดนั้นของการ์ฟีลสามารถต่อยร่างของตัวเธอให้สลายเป็นละอองมานาได้ในทีเดียวเลย
. รอสวาลชมว่าพวกเขาทั้งสามมี “ทีมเวิร์ค” ที่ดีไม่เลวเลย แต่เบียทริซกับการ์ฟีลไม่ค่อยจะพอใจที่ได้ยินเช่นนั้นนัก
สฟิงซ์: …อีกครั้ง…ระดับความเป็นภัยที่รับรู้ “ปรับแก้” จำเป็น…ค่ะ
ทันทีที่ฝุ่นควันเริ่มจางลง สฟิงซ์ก็กลับมาขยับร่างกายอีกครั้ง สีหน้าของเธอไร้ความเจ็บปวด แต่ดาเมจที่ร่างกายได้รับแสดงออกมาผ่านน้ำเสียงชัดเจน
ดวงตาสีทองของสฟิงซ์จดจ้องทั้งสามด้วยความรู้สึกสนอกสนใจแทนที่จะเป็นความโกรธแค้น
เบียทริซกำลังจะถามสฟิงซ์ว่า “แกคิดจะทำอะไรกันแน่?” แต่แล้วมิเซลด้าก็ใช้มีดปักทะลุอกของสฟิงซ์จากข้างหลังเสียก่อน
มิเซลด้า: เป็นเด็กสาวที่ชวนขนลุกชะมัด ไม่มีเหตุผลอันควรที่จะปล่อยให้อยู่ต่อ
ว่าแล้วมิเซลด้าก็ดึงมีดออกแล้วจ้วงซ้ำใส่ตำแหน่งเดิมไปอีกสามที จากนั้นก็ดึงผมของสฟิงซ์ให้เงยหน้าขึ้นแล้วปาดคอซ้ำ
ทั้งสามคนรู้สึกอ้ำอึ้งต่อการลงมือสังหารแบบเหี้ยมโหดของมิเซลด้า ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่ศพที่ไม่มีเลือดไหลออกมาด้วยซ้ำก็ตาม
มิเซลด้าเข้าใจดีว่าทั้งสามมีประเด็นกับสฟิงซ์ แต่ในยามศึกสงคราม เธอมองว่าไม่ควรจะเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์กับศัตรูที่ต้องฆ่า
. รอสวาลก้าวเข้าไปหาร่างของสฟิงซ์ที่เข่าทรุดแน่นิ่งอยู่ ท่อนล่างของเธอแหลกสลายไปแล้ว ใบหน้าก็เริ่มแตกหลุดลอก อีกไม่ช้าคงแตกละเอียดจนไม่เหลือซาก
สฟิงซ์: …ควรจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน จำเป็น
ดวงตาสีทองของสฟิงซ์ยังคงจดจ้องรอสวาลในขณะที่กล่าวคำพูดที่ฟังดูคล้ายคำสั่งเสีย ทว่า…
สฟิงซ์: ――สำหรับทางคุณน่ะนะ
การ์ฟีล: เหอ?
รอสวาล: ――แย่ล่ะสิ!
หลังสฟิงซ์ร่างแหลกสลายไปพร้อมคำพูดชวนงงทิ้งท้าย รอสวาลที่รู้ตัวก่อนใครก็รีบหันไปทางขบวนรถมกรพ่วงที่เขากับเบียทริซพึ่งบินจากมา
เบียทริซ: ――สุบารุ
. ตัดกลับไปทางสุบารุ
หลังจากที่เขาเห็นเด็กสาวหน้าตาเหมือนคุณริวซูบินลงมาจากฟ้า เพียงชั่วอึดใจต่อมาแสงสีขาวก็กลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้หายวับไป
ทั้งสุบารุ เอมิเลีย เรม ยุลิอุส ไม่มีใครในบริเวณขบวนรถมกรทันได้ตั้งตัว ――เพียงชั่วพริบตาเดียวนัตสึกิ สุบารุก็ “ตายแล้วกลับมา” อีกครั้ง
[ซาเทล่า: ――รักนะ]
อย่างน้อยเสียงกระซิบนั้นก็บ่งบอกชัดเจนว่าเธอจะไม่ยอมพลัดพรากจากเขาอีก
Death Counts = 1
. เรม: เอ่อนี่ รบกวนช่วยคลายข้อสงสัยก่อนหน้านี้ให้ฉันก่อนจะได้ไหมคะ?
หลังได้ยินเสียงของเรม สุบารุก็รีบสังเกตรอบตัวเพื่อประเมินสถานการณ์และได้ข้อสรุปว่าเขาย้อนมายังตอนที่สนทนาอยู่กับเรม เอมิเลียและยุลิอุสที่โถงทางเดินในรถมกรพ่วง
พวกวินเซนต์กับออตโต้กำลังประชุมกันอยู่ที่ขบวนด้านหน้า ส่วนเบียทริซกับรอสวาลกำลังตรวจสอบพวกซอมบี้อยู่ไกลออกไปทางด้านหลัง บริเวณศึกที่มีเผ่าชูดราคกับหน่วยรบเพลอาเดสอยู่ด้วย
เอมิเลีย: สุบารุ?
สุบารุ: เอมิเลีย รอเดี๋ยวก่อนนะ
เอมิเลียสังเกตเห็นความผิดปกติของสุบารุที่พยายามประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็วจนดวงตากรอกไปทั่ว เธอจึงทักขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ตั้งแต่ช่วงที่พยายามรักษาชีวิตของเหล่าสหายที่เกาะกินุนไฮฟ์ สุบารุก็ได้ฝึกตนเองให้สามารถกด “สวิตช์” ปรับเข้าโหมดวิเคราะห์สถานการณ์และสาเหตุการตายได้แบบทันทีทันใด
เรม: …? เอ่อนี่…
เอมิเลีย: เรม ขอร้องล่ะ
เรมที่ตามไม่ทันสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เอมิเลียก็รีบยกมือเป็นสัญญาณห้ามเพื่อไม่ให้มีใครขัดการใช้สมาธิของสุบารุ
. หลังไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ของลูปก่อนในหัวเสร็จ สุบารุก็เหลือบไปเห็นสิ่งแปลกปลอมร่วงลงมาจากฟ้าที่ด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง
สุบารุ: ――ยุลิอุส! ไปข้างนอก!
ยุลิอุส: รับทราบ!
ยุลิอุสชักดาบอัศวินออกมาฟันกำแพงโถงทางเดินแล้วถีบมันออกโดยไร้ความลังเล จากนั้นเขาก็อุ้มสุบารุไว้ในแขนข้างหนึ่งแล้วกระโจนออกนอกรถมกรไปพร้อมกัน
สองหนุ่มที่กระโจนออกนอกระยะ “พรคุ้มครองเลี่ยงสายลม” ได้รับผลกระทบจากลมกรรโชกและแรงเฉื่อยโดยทันที
ยุลิอุสเรียกวิญญาณสีเหลืองและสีเขียวออกมา วิญญาณวายุกลายร่างเป็นพรมสายลม ส่วนวิญญาณปฐพีเปลี่ยนร่างเป็นเนินดินที่หนุนรองรับการลงจอด
ในระหว่างนั้นสุบารุก็ยังคงเพ่งสมาธิจดจ่อไปยังเด็กสาวหน้าตาเหมือนริวซูที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้าไม่หยุดหย่อน
พวกเอมิเลียไม่มีทางลากคุณยายริวซูให้ถ่อมาด้วยกันถึงที่วอลลาเคียแน่ๆ สุบารุจึงอนุมานว่านี่คือริวซูตัวปลอม ไม่ใช่หนึ่งในร่างโคลนอย่างพวกพิโค่
สุบารุ: ยุลิอุส! เด็กคนนั้นนี่แหละ! หยุดเธอไว้ที!
“ยอดอัศวิน” วางสุบารุลงบนพื้นดินนุ่มๆ แล้วใช้พรมสายลมเป็นแท่นดีดตัวเพื่อพุ่งไปหาริวซูตัวปลอมที่ยังลงไม่ถึงพื้น เด็กสาวผิวซีดตาสีทองจึงเล็งนิ้วมือไปทางยุลิอุสเพื่อเตรียมยิงลำแสงตอบโต้
ยุลิอุส: ――อิน เนส ขอยืมพลังหน่อยนะ
แสงสีขาวห่อหุ้มร่างของยุลิอุส ในขณะที่ม่านจากแสงสีดำห่อหุ้มร่างของเด็กสาว แล้วหลังจากที่ยุลิอุสตวัดดาบ เรี่ยวแรงก็หายไปจากแขนของสฟิงซ์ในทันที
สฟิงซ์: “คำอธิบาย” จำเป็นค่ะ
ยุลิอุส: ตัดเส้นเอ็นที่หัวไหล่ทิ้งไป แน่นอนว่าอีกไม่นานคงจะต่อได้ใหม่…
ยุลิอุสไม่รอช้า เขายกขาขึ้นแล้วใช้ส้นเท้าตอกร่างของเด็กสาวให้ร่วงลงมากระแทกพื้นโดยทันที
วิญญาณสีเหลืองเปลี่ยนรูปร่างของผืนดินให้ห่อหุ้มร่างของสฟิงซ์ จากนั้นก็ทำให้ดินแข็งตัวเป็นฟูกหินที่ทับร่างของเธอเอาไว้
กระทั่งสุบารุที่ดูอยู่ห่างๆ ยังต้องยอมรับว่ายุลิอุสแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก สมกับที่เป็น “อัศวินวิญญาณ” สายไฮบริดที่เก่งทั้งวิชาดาบและเวทมนตร์
. ยุลิอุสชี้ดาบไปทางสฟิงซ์และเตือนไม่ให้เธอขัดขืน ระหว่างนั้นเอมิเลียก็ส่งเรมไปเล่าเหตุการณ์ให้พวกออตโต้ฟังแล้วรีบตามมาสมทบพอดี
สุบารุมองว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกที่คุณริวซูซึ่งร่างกายสร้างจากมานาสามารถกลายเป็นซอมบี้ได้ นั่นนำไปสู่ความคิดชวนสยองว่าเบียทริซก็อาจจะสามารถกลายเป็นซอมบี้ได้เช่นกัน
สฟิงซ์ลองถามชื่อสุบารุ แต่สุบารุยั้งปากไว้ได้ทันและบอกแค่ว่าเขาคือคนที่จะหยุดแผนการร้ายของเธอ
สุบารุแกล้งเนียนพูดจาล้อเลียนที่สฟิงซ์พลาดท่าบุกเดี่ยวมาคนเดียวโดยไม่มีกำลังเสริม เพราะเขาประเมินว่าสฟิงซ์น่าจะเป็นไทป์ที่มักหลุดปากโชว์ความฉลาดเวลาที่โดนดูถูกว่าตัดสินใจพลาด
สฟิงซ์: ――วาลก้า ครอมเวล
สุบารุ: หือ?
ทันใดนั้นสฟิงซ์ก็พึมพำชื่อหนึ่งออกมา สุบารุรู้สึกคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าเขาเคยได้ยินมาจากที่ไหน
ส่วนเอมิเลียกับยุลิอุสก็มีรีแอคชั่นหลังได้ยินชื่อนั้นต่างกันออกไป แต่ที่แน่ๆ คือสองคนนั้นน่าจะรู้จักชื่อวาลก้า ครอมเวล
สฟิงซ์: นี่คืออุบายที่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้เมื่อครั้งนั้นค่ะ
เอมิเลีย: สุบารุ!!
ชั่วพริบตาต่อมา สุบารุก็ถูกเอมิเลียดึงร่างเข้ามากอดในอ้อมแขน เธอกัดฟันและสร้างกำแพงน้ำแข็งห้อมล้อมทั้งสามคนไว้ทันที
ยุลิอุสเองก็ปรับกระบวนท่าดาบใหม่และผสานพลังเวทจากวิญญาณทั้ง 6 ก่อเกิดเป็นเวทสีรุ้งที่เสริมการป้องกันเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง
สุบารุ: ――อะไร
ทว่า ลำแสงสีขาวที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าก็กลืนร่างพวกเขาทั้งสามจนหายวับไปอยู่ดี ราวกับเป็นการล้อเลียนความพยายามอันสูญเปล่าของเอมิเลียกับยุลิอุส
Death Counts: 2
. เรม: เอ่อนี่ รบกวนช่วยคลายข้อสงสัยก่อนหน้านี้ให้ฉันก่อนจะได้ไหมคะ?
สุบารุ: ――เฮือก
สุบารุคำนวณสาเหตุการตายพลาดไป ลำแสงสีขาวที่ปัดเป่าพวกสุบารุจนไม่เหลือซากในทั้งสองลูปที่ผ่านมาไม่ได้มาจากริวซูตัวปลอม แต่มาจากบนฟ้า
เอมิเลีย: สุบารุ?
สุบารุ: ――เอมิเลีย รอเดี๋ยวก่อนนะ
สุบารุเริ่มเพ่งสมาธิวิเคราะห์สถานการณ์อีกครั้ง
ยุลิอุสกับเอมิเลียดูเหมือนจะรู้จักชื่อ “วาลก้า ครอมเวล” แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะถาม เพราะถึงจะรู้ว่าวาลก้าคือใครก็ช่วยหยุดลำแสงไม่ได้อยู่ดี
ริวซูตัวปลอมพูดจาได้ก็จริง แต่การเจรจากับเธอไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะฝ่ายนั้นกะมาฆ่าพวกสุบารุเต็มที่
เรม: …? เอ่อนี่…
เอมิเลีย: เรม ขอร้องล่ะ
บทสนทนาของสองสาวเป็นไปตามเดิม แต่คราวนี้สุบารุต้องลองตัดสินใจอะไรที่ต่างออกไป ไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะลงเอยแบบเดิม
สุบารุ: ――ยุลิอุส! ไปข้างนอก! เอมิเลียก็มาด้วยกันเลย!
ยุลิอุส: รับทราบ!
เอมิเลีย: ค่ะ! เข้าใจแล้ว!
สุบารุ: ――เรม! ขอวานอะไรหน่อยสิ!
. ในลูปนี้ เอมิเลียเป็นคนอุ้มสุบารุไว้และช่วยในการลงจอดจากรถมกร ส่วนยุลิอุสถูกส่งให้รุดหน้าไปจัดการริวซูตัวปลอมเป็นอันดับแรก
ยุลิอุสสามารถฟันตัดเส้นเอ็นและขังร่างของสฟิงซ์ไว้ในผืนดินได้เช่นเคย แต่สุบารุยังคงกังวลต่อภัยอันตรายที่กำลังจะตามมา
สุบารุรีบเตือนเอมิเลียกับยุลิอุสให้เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีระลอกสองจากบนฟ้าไว้ล่วงหน้า ทั้งสองจึงตั้งสมาธิเตรียมร่ายเวทไว้เลยโดยที่ไร้ข้อกังขา
สฟิงซ์: ――คุณเป็นใครกัน?
สุบารุ: “วาลก้า ครอมเวล”
สฟิงซ์: …
สุบารุ: นั่นน่ะคือชื่อของกุนซือแผนการรบของแกใช่ไหมล่ะ?
สุบารุไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวาลก้าคือใครหรือสฟิงซ์มีเป้าหมายอะไร แต่เขาเลือกที่จะบลัฟว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
ข้อมูลจากลูปก่อนที่สุบารุไม่ควรล่วงรู้ทำให้สฟิงซ์รู้สึกประหลาดใจ ใบหน้าของเด็กสาวที่ปกติจะไร้อารมณ์จดจ้องสุบารุอย่างดุดันกว่าทุกที
สฟิงซ์: นึกว่าคนที่ต้องระวังมีแค่ผู้ใช้เวทมนตร์กับวิญญาณตนนั้นเสียอีก สังเกตคุณเพิ่ม จำเป็นค่ะ
สุบารุ: …อุบายถูกมองออกแล้ว ถึงจะยอมแพ้แต่โดยดีก็ไม่เห็น…
สุบารุกำลังบลัฟต่อบอกว่า “ถึงจะยอมแพ้แต่โดยดีก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” แต่ฝั่งริวซูตัวปลอมกลับตัดสินใจแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน
สฟิงซ์: อุบายของวาลก้าน่ะ ถึงจะถูกมองออกก็หยุดยั้งไม่ได้อยู่ดีค่ะ
ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีขาวก็กระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า มันไม่ได้เล็งใส่พวกสุบารุ แต่เล็งไปที่ร่างของสฟิงซ์ที่ถูกหุ้มไว้ด้วยกำแพงหินแทน
เอมิเลีย: ――สุบารุ!!
เอมิเลียรีบกระชากสุบารุถอยกลับมาและกางกำแพงน้ำแข็งโดยทันที ลำแสงสีขาวปัดเป่าร่างของสฟิงซ์จนระเหิดหายไป แถมรัศมีทำลายล้างของมันยังมาถึงพวกสุบารุต่อ
. บางทีนี่อาจจะเป็นอุบายของศัตรูตั้งแต่แรก ริวซูตัวปลอมเป็นเหมือน “มาร์คเกอร์” ระบุตำแหน่งให้ใครสักคนโจมตีด้วยลำแสงสีขาวที่ทำลายล้างทุกอย่างในรัศมี
“บุกไปกลางดงศัตรู เพื่อกลายเป็นเป้าเคลื่อนที่สำหรับการยิงโจมตีจากระยะไกลแสนยานุภาพสูง”
สุบารุมองว่าใครก็ตามที่คิดอุบายดังกล่าวขึ้นมาต้องเป็นพวกสติผิดเพี้ยนแน่ๆ
สุบารุ: ――วาลก้า ครอมเวล ไอ้เวรตะไลเอ๊ย!!
ยุลิอุส: อัล คราวเซเรีย!!
ยุลิอุสสร้างม่านสีรุ้งขึ้นมาเสริมการป้องกันร่วมกับกำแพงน้ำแข็งหลายชั้นของเอมิเลีย ในลูปนี้ทั้งสองมีเวลาเตรียมการล่วงหน้า เลยสามารถยื้อการโจมตีไว้ได้
เอมิเลีย: อึก… ย้ากกกกก!
ยุลิอุส: กรอด หนอย…
สุบารุ: สู้เขานะ! ทั้งสองคน พยายามเข้า!
สุบารุที่รู้ตัวว่าช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงส่งเสียงเชียร์เอมิเลียกับยุลิอุสที่ยื้อลำแสงทำลายล้างไว้สุดชีวิต แต่สุดท้ายแล้ว ความพยายามของพวกเขามันก็ไม่เพียงพอ
??: ――โชคดีนะที่เรียกผมมา แจ่มเลยๆ
ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมน้ำเสียงชิวๆ ผิดสถานการณ์ เขาลูบหัวสุบารุแล้วเดินเข้าไปด้านหน้าเอมิเลียกับยุลิอุสเหมือนไม่ทุกข์ร้อน
??: “จุดตาย” อยู่ตรงนี้นี่แหละ
เขาล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อแล้วปาเข้าไปหาลำแสงทำลายล้างที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัสให้กลายเป็นฝุ่นได้
เอมิเลีย: ไม่จริงน่า…
เพียงพริบตาต่อมา ลำแสงสีขาวแห่งความตายก็เลือนหายไปหมด เหลือไว้เพียงท้องฟ้ายามราตรีที่หมู่เมฆถูกเจาะเป็นรูด้วยลำแสงก่อนหน้านี้
ฮาริเบล: ดีนะเนี่ยที่หนูโอนิสีฟ้าคนนั้นเรียกมา แต่ทั้งสามคนก็พยายามได้ดีมาก เอาลูกอมไปกินไหม?
ชายเผ่ามนุษย์หมาป่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในนครรัฐคารารากิหันกลับมาทางพวกสุบารุ แล้วทำท่าล้วงหาของในกระเป๋า แต่สุดท้ายเขาดันล้วงไม่เจออะไรสักอย่างเสียอย่างงั้น
ฮาริเบล: อ้าว ผมไม่มีลูกอมติดมาเลยนี่หว่า
. จบตอน