หลังเหตุการณ์สงบลง พวกสุบารุไปรวมตัวกันในห้องประชุมของรถมกรพ่วงเพื่อประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง
รอสวาลที่กลับมาพร้อมเบียทริซเฉลยว่าศัตรูของพวกเขาคือแม่มดผู้ล้มเหลวที่เคยก่อความวุ่นวายในราชอาณาจักร อสุรกายสุดเลวร้ายนามว่า “สฟิงซ์”
สฟิงซ์คือหนึ่งในสามบุคคลอันตรายของฝั่งอมนุษย์ใน “สงครามอมนุษย์” ที่เกิดขึ้นในลูกุนิก้าเมื่อราว 40 ปีก่อน ร่วมกับ “วาลก้า ครอมเวล” และ “ลิเบร เฟลมี”
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ทั้งสามอมนุษย์ตัวอันตรายควรจะเสียชีวิตไปหมดแล้ว เบียทริซเองก็ย้ำเตือนว่าเธอเจอ “หนังสือผู้วายชนม์”ของลิเบร เฟลมี ที่ห้องสมุดไทเกต้าด้วยซ้ำ
ทว่า เนื่องจากศัตรูเป็นซอมบี้ จะเป็นหรือตายย่อมไม่มีผล ยุลิอุสเองก็เริ่มเดาแบบแอบตื่นเต้นว่าหลังจากนี้อาจจะมีซอมบี้ของวีรชนจากในประวัติศาสตร์โผล่มาอีก
. ออตโต้โล่งใจที่อย่างน้อยสฟิงซ์ก็ม่องไปแล้ว แต่การ์ฟีลแทรกขึ้นว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น เพราะมีซอมบี้สฟิงซ์อีกตัวไปโผล่ที่ฝั่งพวกเขาเหมือนกัน
การ์ฟีล: ――พวกเราน่ะ เชือดสฟิงซ์ไปแล้วไม่ผิดแน่นอน ได้เห็นร่างแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตาแบบ “อ้อมแขนที่ร่วงหล่นของริกิริกิ” เลย นั่นน่ะคงจะ…
เบียทริซ: คงจะเป็นเป้าหมายของสฟิงซ์กระมัง
รอสวาล: สรุปก็คือ สฟิงซ์ตายไปต่อหน้าต่อตาพวกเราอย่างแน่นอน แต่ก็ตายไปต่อหน้าพวกสุบารุคุงแบบต่อเนื่องเช่นกัน สามารถอนุมานอย่างเรียบง่ายจากข้อมูลนี้ได้ว่า… สฟิงซ์สามารถตายได้หลายครั้ง และทุกครั้งที่ตายก็จะฟื้นกลับมาเป็นซอมบี้
สุบารุ: หา…
รอสวาล: ที่ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือซอมบี้ที่ฟื้นคืนจากความตายอาจจะตระหนักรู้ถึงความตายในชีวิตก่อนและรู้ว่าอะไรคือสาเหตุ หรือก็คือ ฝั่งนั้นรู้กันแล้วว่าสุบารุกับท่านฮาริเบลคือผู้หยุดยั้งแผนระเบิดรถมกรพ่วง
สุบารุฟังทฤษฎีของรอสวาลแล้วรู้สึกขนลุก นี่มันราวกับว่าฝั่งศัตรูมี “ตายแล้วกลับมา” สฟิงซ์ถึงได้กล้าใช้ความตายของตัวเองเพื่อแลกกับข้อมูลได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
ที่ต่างกันคือ ความตายไม่ได้ถูกแก้ไข มันคือการ “หนีจากความตาย” ซึ่งหากเปรียบเทียบกันแล้ว พลังของสฟิงซ์คงใกล้เคียงกับ “สิงร่าง” ของเพเทลกิอุสมากกว่า
. สุบารุพยายามมองโลกในแง่ดีว่าสฟิงซ์น่าจะมี “ชีวิตสำรอง” ที่จำกัดอยู่ ไม่น่าจะสามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างไม่สิ้นสุด
เพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่อง สุบารุ เอมิเลีย และเบียทริซจึงหันไปขอบคุณเรมที่ช่วยตามฮาริเบลมาได้ทันเวลา และขอบคุณฮาริเบลที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้
ว่ากันตามตรง สุบารุเลือกเดิมพันกับชื่อเสียงของฮาริเบลในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดในคารารากิ โดยไม่รู้ว่าเขาจะช่วยอะไรได้ในสถานการณ์นั้นหรือเปล่า
ซึ่งกระทั่งฮาริเบลเองยังยอมรับว่าหากเรมไม่มาเตือน ตัวเขาก็คงไม่รู้ตัวถึงการลอบโจมตีของสฟิงซ์และตายไปพร้อมๆ กับคนอื่นในขบวนรถมกรนั่นแหละ
สุบารุได้ยินแล้วถึงกับขนลุกเลยว่าพวกเขาโชคดีมากที่ฮาริเบลยังอยู่ในขบวนรถมกร ไม่ได้ไปที่อื่น ไม่อย่างงั้นสถานการณ์คงแก้ไขได้ยากกว่านี้
. วินเซนต์และคนใหญ่คนโตของจักรวรรดิในที่ประชุมฟังสถานการณ์เงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
สุบารุพยายามทวงบุญคุณจากวินเซนต์ที่พวกเขาหยุดยั้งสถานการณ์ไว้ได้ แต่วินเซนต์ก็ยอมรับแบบหน้าด้านๆ ว่าตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะให้นอกจากคำขอบคุณ
สุบารุเลยฝากฝังให้อนาสตาเซียที่เป็นตัวแทนของสหภาพนครแห่งคารารากิทวงหนี้บุญคุณสำหรับการชดเชยคุณงามความดีให้พวกเขาทั้งสามแทน
วินเซนต์ถอนหายใจก่อนจะชวนกลับเข้าประเด็นเรื่องสฟิงซ์ที่เป็นตัวการใหญ่เบื้องหลัง “มหาภัยพิบัติ”
วินเซนต์ตั้งคำถามว่าการอาละวาดของสฟิงซ์ในครั้งนี้ฝั่งลูกุนิก้ามีส่วนผิดด้วยหรือไม่ แต่รอสวาลแก้ต่างว่าแรงจูงใจของศัตรูไม่ใช่เรื่องเดียวกันอย่างแน่นอน
แถมถ้าหากจะมีใครสมควรรับผิดชอบ ก็ควรเป็นแค่คนที่พลาดท่าฆ่าสฟิงซ์ไม่สำเร็จในสงครามกลางเมืองครั้งก่อน แต่วินเซนต์ก็ไม่คิดจะเอาเรื่องทหารแก่จากเมื่อ 40 ปีก่อนเช่นกัน
ที่จริงรอสวาลตั้งใจจะสื่อว่ามีเพียงตัวเขาเองที่ควรรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในอดีต ทว่า มีเพียงแค่เบียทริซคนเดียวที่เข้าใจความหมายแฝงนั้น
. เมื่อวินเซนต์ถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับพวกซอมบี้เพิ่มเติม รอสวาล เบียทริซ และการ์ฟีลจึงรายงานผลลัพธ์จากการตรวจสอบของพวกเขา
การ์ฟีลสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณก่อนว่าพวกซอมบี้มีความถึกทนต่างกันแปลกๆ ทั้งที่ความแข็งแกร่งไม่ได้ต่างกันมากแท้ๆ
วินเซนต์: บอกข้อสรุปมา อะไรกันแน่ที่ทำให้พวกผีดิบแตกต่างกัน?
เบียทริซ: ――แมลงกระมัง
สุบารุ: …แมลง?
พอได้สัญญาณจากเบียทริซ รอสวาลก็ล้วงไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
รอสวาล: ทุกคน ระวังด้วยล่ะ ตอนนี้มันถูกจับแช่แข็งไว้ให้ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าน้ำแข็งแตกเมื่อไหร่ ซอมบี้คงจะเกิดมาจากมันแน่นอน~
สุบารุ: พูดถึงอะไร… เฮ้ยๆๆ ตัวอะไรวะนั่น!?
รอสวาล: เบียทริซบอกไปแล้วนี่? แมลงไงล่ะ ขอเรียกมันว่า “แมลงแกนกลาง” ก็แล้วกัน
ในมือของรอสวาลมีก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าเหรียญซึ่งภายในมีวัตถุสีแดงอยู่ ซึ่งๆหากมองดีๆ แล้ว จะเห็นว่ามันมีลักษณะเป็นหนอนตัวกลมๆ
สรุปแล้ว แมลงแกนกลางพวกนี้ถือเป็นแกนชีวิตหลักหรือหัวใจของพวกซอมบี้ พวกมันสร้างรูปลักษณ์ภายนอกขึ้นจากดินโดยอิงจากข้อมูลของร่างต้น
หากลูกศรบังเอิญยิงโดนแมลงแกนกลางก็จะฆ่าได้ในดอกเดียว แต่ถ้าหากไม่โดน ต่อให้ยิงปักเป็นสิบดอกพวกมันก็ไม่ตาย
. สุบารุภูมิใจในผลงานของพวกพ้องและโอ้อวดกับวินเซนต์เต็มที่ ซึ่งวินเซนต์ก็ยอมรับในผลงาน แต่ก่อนที่จะเดินทางไปถึงนครป้อมปราการ วินเซนต์ยังต้องการข้อมูลจากอีกหนึ่งคน
วินเซนต์จึงพาสุบารุมาพบบุคคลที่ถูกล่ามโซ่ไว้กับเก้าอี้หลังบานประตูแน่นหนาในขบวนรถมกร
อูบิรูค: แหม๊แหม ในที่สุดก็ยอมที่จะรับฟังแล้วเหรอครับ? ถ้าเป็นงั้นจริง ตัวผมอ่ะก็ดีใจมากเลยนะครับ ฝ่าบาท
สุบารุ: เฮ้ยๆ อาเบล แบบนี้มันเกินไปไหม…
วินเซนต์: เป็นมาตรการที่จำเป็น ไม่ว่าอย่างไร การเสียชายคนนี้ไปจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อฝั่งเรา ขอบอกเลยว่าถ้าปลดพันธนาการเมื่อไร เขารนหาที่ตายอย่างไวแน่นอน
อูบิรูค: ไม่ได้จะรนหาที่ตายซ้ากหน่อย! ผมอ่ะก็แค่อยากที่จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหยุดยั้ง “มหาภัยพิบัติ” …ต่อให้ต้องใช้ชีวิตตัวเองเข้าแลกก็ตาม
สุบารุ: โห…
ทีแรกสุบารุคิดว่าวินเซนต์ทำเกินเหตุ แต่พอได้เห็นชายหนุ่มตรงหน้าพูดจาเหมือนคนสติไม่ดีที่ไม่สนชีวิตตัวเอง เขาก็เข้าใจสาเหตุโดยทันที
สุบารุ: คนนี้คือ “นักอ่านดารา” …คุณอูบิรูคใช่ไหม? คนๆ นี้เชื่อถือได้งั้นเหรอ?
อูบิรูค: ชะอ้าว ไม่คิดเลยว่าจะโดนกังขา… แต่พอดูดีๆ แล้ว คุณคือ “นักอ่านดารา” ของราชอาณาจักรที่บังเอิญเจอกันที่เคออเฟลมไม่ใช่เหรอครับนั่น!
สุบารุ: มั่วไปใหญ่แล้ว อ๊ะ! หรือว่าจะเป็นนายนี่เองที่เป่าหูหมอนี่ว่าชั้นคือ “นักอ่านดารา” น่ะ! นี่มันต้นเหตุที่ทำให้ต้องต่อยตีกับหมอนี่ชัดๆ เลยนี่ฟะ! ด้วยพลังของสุบารุ มันก็ไม่แปลกนักที่จะคนอื่นจะหลงคิดว่าเป็น “นักอ่านดารา” แต่มันก็เป็นตำแหน่งที่สร้างความลำบากให้สุบารุไว้มากมาย เขาเลยไม่ชอบใจนัก
สุบารุ: ชั้นกับนายน่ะไม่เหมือนกัน หวังว่าทางนั้นจะเข้าใจนะ
อูบิรูค: เอ๋~? แปลกจังเลยนะคร้าบ ผมอ่ะ ได้ยินมาว่าคุณเป็นเหมือนกันแท้ๆ เลยนะครับ…
สุบารุ: ดวงดาวบอกมางั้นเรอะ? ถ้างั้นล่ะก็ อาเบล อย่าไปเชื่อใจมากนักนะ เจ้าคนๆ นี้เนี่ย
. ในตอนนี้พวกสุบารุต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่คำทำนายมั่วซั่วจากดวงดาวที่เป็นแค่ปรากฏการณ์บาร์นัม เขาจึงเตรียมตัวกลับด้วยความผิดหวัง
อูบิรูครีบร้องขอว่าเขาจะไม่เรียกสุบารุว่าเป็น “นักอ่านดารา” อีกแล้ว แถมอูบิรูคยังดิ้นอย่างรุนแรงจนโซ่ที่รัดตัวอยู่บาดเนื้อจนเลือดไหล
ทางวินเซนต์เองก็มีความเห็นว่าอย่างน้อยสุบารุควรลองฟังคำทำนายจากเขาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าข้อมูลน่าเชื่อถือหรือไม่
อูบิรูค: ฝ่าบาท วางใจได้เลย ไม่ว่า “มหาภัยพิบัติ” จะทรงพลังแค่ไหน ดวงดาวก็อยู่ข้างฝ่าบาทนะคร้าบ
วินเซนต์: ดวงดาวอำมหิตที่ไม่สนว่าวินเซนต์ วอลลาเคีย คนไหนจะเหลือรอดมาน่ะหรือ? อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลย ――ว่ามาสิ อยากจะบอกอะไร
อูบิรคู: มีอยู่สองน่ะขอรับ ――มีสองแสงสว่างที่สามารถพลิกฟื้นวิกฤติการณ์จาก “มหาภัยพิบัติ” ได้อยู่ครับ แสงแรกคือเด็กสาวผู้ไม่เข้าใจภาษา ซึ่งเด็กหนุ่มผู้ที่… ไม่ใช่ “นักอ่านดารา” ของราชอาณาจักรพามาด้วย
สุบารุ: …ว่าไงนะ?
จากคำพูดของอูบิรูค สุบารุนึกออกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตรงกับคุณลักษณะดังกล่าว แต่ก่อนที่สมองจะทันได้ประมวลผล อูบิรูคก็กล่าวถึงแสงที่สองต่อทันที
อูบิรูค: ――และมนุษย์สัตว์ผู้เป็นในยอดสูงสุดทั้งเก้า ผู้ที่ช่ำชองเรื่องคำสาปที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ครับ
. ฉากตัดมาทางแม่ทัพคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งหนีสุดชีวิตผ่านถนนในหุบเขา
แม่ทัพ: แม่งเอ๊ยๆๆ ไอ้เวรเอ๊ยยย!!
แม่ทัพผู้นี้คุ้นชินกับการวิ่งหนีและต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนมาตั้งแต่เด็ก แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าตาจนถึงขั้นต้องอดข้าวอดน้ำมาเป็นสิบวันเช่นนี้
แม่ทัพใช้จมูกของเขาดมกลิ่นแปลกปลอมที่ปะปนมากับดินจนระบุข้อมูลได้ว่าเขาถูกศัตรูจำนวนหลักร้อยห้อมล้อมอยู่
แม่ทัพ: ไอ้พวกห่ารากนี่!
เขาใช้อาวุธที่พกมาอัดกระแทกใส่ศัตรูที่มีกลิ่นของผืนดิน ศัตรูห้าตัวที่รับการโจมตีเข้าไปเต็มๆ ร่างแหลกสลายโดยทันที
แถมแรงกระแทกยังส่งผลทะลุทลวงไปถึงศัตรูด้านหลังจนพวกมันต้องเปิดทางเพื่อหลบการโจมตี แม่ทัพใช้จังหวะนั้นรีบฝ่าวงล้อมออกไป
. ตั้งแต่ที่กองทัพของเขาพ่ายแพ้พวกตุ๊กตาดินหน้าซีดจนแตกพ่าย แม่ทัพก็วิ่งหนีมาทางทิศตะวันออกมาโดยตลอด
เขายอมหนีเข้าไปในป่าเขา เพื่อดึงศัตรูให้ออกห่างจากพวกลูกน้องและหลีกเลี่ยงการพบปะกับกับผู้คน
การเหม่อลอยของแม่ทัพทำให้เขาเกือบหลบการโจมตีของศัตรูไม่ทัน ดีที่เกราะหัวไหล่ป้องกันการโจมตีไว้ได้
แม่ทัพดีดตัวลงหน้าผาไปเพื่อสลัดการไล่ตามของพวกศัตรู แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็ได้กลิ่นของ “ชีวิต” ที่ไม่ได้พบมานานปะปนมากับกลิ่นอื่นๆ ในธรรมชาติ
แม่ทัพตามกลิ่นของชีวิตไปจนพบกับ “หมู่บ้านลับ” ที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา ตามปกติเขาควรจะรายงานการพบหมู่บ้านของพวกคนเถื่อนที่เลี่ยงการจ่ายภาษีเช่นนี้ต่อจักรวรรดิ
ทว่า ตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เขาจึงตามกลิ่นแห่งชีวิตเข้าไปในหมู่บ้านลับเพื่อขอความช่วยเหลือ อย่างน้อยก็ขอน้ำกับอาหารเพื่อช่วยฟื้นฟูพละกำลังกลับมา
จมูกของเขามั่นใจว่ามีคนอยู่ในอาคารหลังใหญ่ของหมู่บ้านแน่นอน แต่ทันทีที่แม่ทัพเปิดประตูเข้าไปในอาคาร…
แม่ทัพ: เฮ้ย! ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครจากที่ไหน แต่มาช่วยกันจัดการไอ้พวกเวรนี่ ――แม่งเกือบไปแล้วนะโว้ย!!
แม่ทัพเอียงคอลมสองคมดาบที่ฟันมาราวกับสายลมได้อย่างหวุดหวิด เขาจึงแยกเขี้ยวตำหนิตัวการทั้งสองคนด้วยความโมโห
โลอัน: โอ๋? อ้าวๆ ไม่ใช่นี่หว่า! กำลังสงสัยอยู่เชียวว่าเป็นผีดิบผู้ชายหรือผู้หญิง แต่คนเป็นๆ กลับเข้ามาแทนซะงั้น… เนอะ ผมแดง! แปลว่ากระผมเป็นฝ่ายชนะพนันนะเนี่ย!
ไฮน์เคล: หนวกหูโว้ย หุบปาก ไปตายซะ แพ้ชนะบ้าบออะไร แม่งไร้สาระ…
ที่ด้านในอาคาร สิ่งที่แม่ทัพได้เห็นเป็นอย่างแรกคือชายวัยกลางคน 2 คนกำลังนั่งเมาแอ๋อยู่ที่โต๊ะกลม คนหนึ่งถือดาบคาตานะ ส่วนอีกคนถือดาบอัศวินไว้ในมือ
กรูวี่: ไอ้พวกเวรนี่ จักรวรรดิแห่งนี้กำลังชิบหายวายวอดอยู่แท้ๆ ยังมัวแต่ก๊งเหล้ากันอยู่ได้ ห่ารากเอ๊ย!!
“จ้าวเครื่องมือไสยเวท” แม่ทัพกรูวี่ กัมเล็ต โมโหกับภาพตรงหน้าจนเผลอลืมความหิวและความกระหายไปหมด
. จบตอน