webnovel arc8 chapter21

บทที่ 8 ตอนที่ 21 "โชคชะตาที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้"

ภายในโรงเตี๊ยมที่กรูวี่เปิดเข้าไปมีขวดเหล้าและเศษดินจากซากศพพวกซอมบี้กองอยู่เกลื่อน รวมถึงชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งก๊งเหล้าไม่สนบ้านเมืองอยู่สองคน

โลอัน: โอ๋? ท่านผู้นี้หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อนเลยนะ… ว่าไหม ผมแดง! พอจะรู้จักท่านขนปุยเขาไหม!

กรูวี่: เอ็งเรียกใครว่าขนปุยวะ! ไม่ขำด้วยนะโว้ย! ทางนี้อุตส่าห์วิ่งหนีอดข้าวอดน้ำมาได้จนถึงป่านนี้ เหนื่อยชิบหายเลยโว้ย! ――เฮ้ย! ไอ้เวรผมแดงตรงนั้นน่ะ! เอ็งก็เห็นด้วยกับไอ้เวรผมน้ำเงินงั้นเรอะ?

ไฮน์เคล: …

กรูวี่: อย่าเมินกันเซ่! แม่งเอาแต่เงียบอยู่ได้ ทางนี้เขา…

ไฮน์เคล: ――หนวกหูเฟ้ย

แทนที่จะตอบ ชายผมแดงที่นั่งเมาอยู่กลับฟันแหวกอากาศเล็งมาใส่ลำคอของกรูวี่ มันเป็นวิชาดาบที่แม่นยำ หากอีกฝ่ายไม่ใช่กรูวี่คงจะตายไปแล้ว

ด้วยความเดือดดาล กรูวี่ใช้กำปั้นสวมถุงมือเกราะต่อยสวนกลับไปอัดชายผมแดงปลิวกระแทกกำแพง แล้วคว้าขวดเหล้าที่หลุดมือลุงขี้เมาจากกลางอากาศมากระดกแก้กระหาย

กรูวี่: แหวะ! แม่งเอ๊ยแสบคอชะมัด! ที่ต้องการจริงๆ คือน้ำกับอาหารแท้ๆ…

โลอัน: ――ยอดเยี่ยมๆ แหมๆ ทักษะแกร่งกล้าเหลือเกินน้า ท่านขนปุย ผมแดงเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือเหมือนกันแท้ๆ แต่ก็ไม่ครณามือเลย!

ชายผมน้ำเงินกล่าวเช่นนั้นพลางคุกเข่าลง วางดาบคาตานะ แล้วโค้งคำนับเหมือนอยากบ่งบอกว่ายอมแพ้และไม่คิดจะขัดขืน

. ลุงผมน้ำเงินเล่าว่าพวกเขาทั้งสองเป็นแค่คนหลงทางที่บังเอิญเดินมาเจอหมู่บ้านแห่งนี้และพบว่าพวกตุ๊กตาดินยึดหมู่บ้านไปเรียบร้อยแล้ว

หลังกำจัดพวกตุ๊กตาดิน ด้วยความเบื่อหน่าย สองลุงจึงพนันกันว่าผีดิบก้อนดินตัวต่อไปที่จะเข้ามาในโรงเตี๊ยมจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

แต่ถึงแม้ว่าลุงผมน้ำเงินจะคุกเข่าเหมือนยอมแพ้ จมูกที่ไวของกรูวี่ก็ยังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเงียบงันที่เก็บซ่อนอยู่ เขาจึงเตือนไม่ให้ลุงขี้เมาทำอะไรวู่วาม

ลุงคนนี้ตั้งใจจะฆ่ากรูวี่ตั้งแต่ที่เห็นหน้า แถมจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะหาช่องโหว่เพื่อสานต่อเรื่องนั้นให้สำเร็จเลย

ที่สำคัญกว่านั้น คือจมูกของกรูวี่จดจำกลิ่นที่คุ้นเคยจากลุงผมน้ำเงินได้ มันเป็นกลิ่นที่ทำให้เขาขนลุกทั่วร่าง กรูวี่จึงพอจะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว

กรูวี่: ――นี่เอ็ง หรือว่าจะเป็นไอ้พ่อเฮงซวยของไอ้เวรเซซิลุส?

โลอัน: ว้า นึกออกจนได้แฮะ

กรูวี่: สัสเอ๊ย! นี่ตั้งใจจะฆ่าชั้นเพราะไม่อยากให้ความแตกงั้นเรอะ! อย่ามาล้อกันเล่นนะไอ้เวร! ที่สำคัญ ไหงเอ็งยังมีชีวิตอยู่วะเนี่ย! เซซิลุสน่าจะเชือดทิ้งไปแล้วนี่!

โลอัน: หากจะถามหาเหตุผล คงตอบได้เพียงยังมีชีวิตอยู่เพราะว่ายังมีชีวิตอยู่ กระนั้น หากข่าวหลุดออกไปว่ากระผมยังไม่ตาย มันคงจะลำบากมิใช่น้อย

. ชายผมน้ำเงินคือบิดาของเก้าแม่ทัพเทวะลำดับหนึ่ง “เซซิลุส เซ็กมุนต์” เมื่อก่อนกรูวี่เคยเห็นลุงคนนี้เข้าออกพระราชวังแก้วผลึกกับลูกชายอยู่บ่อยๆ

จนกระทั่งวันหนึ่งชายผมน้ำเงินดันไปก่อพฤติกรรมหยาบคายเอาไว้ที่พระราชวัง เขาจึงถูกเซซิลุสผู้เป็นลูกชายสังหารทิ้งไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน

กระนั้นก็ยังมีการออกใบประกาศจับของชายผมน้ำเงินส่งกระจายไปยังที่ต่างๆ กรูวี่ไม่นึกฝันมาก่อนเลยว่าเซซิลุสจะทำงานพลาดได้

เขาเดาว่าเซซิลุสอาจจะใจอ่อนเพราะเป็นพ่อลูกกัน แต่ชายผมน้ำเงินแย้งว่าฝีดาบของลูกชายเขาไม่ทื่อลงเพราะเรื่องแค่นั้นหรอก

ตอนนั้นเองก็ลุงขี้เมาผมแดงที่นอนกลับหัวจมอ้วกตัวเองอยู่ก็เริ่มกลับมาได้สติ ทั้งที่กรูวี่ต่อยไปแบบไม่ได้ออมมือแท้ๆ ถือได้ว่าชายผมแดงถึกทนพอสมควร

. กรูวี่สาปแช่งดวงตัวเองที่ดันหนีพวกผีดิบมาเจออาชญากรในประกาศจับกับลุงขี้เมาอีกคน แถมเขายังเริ่มได้กลิ่นพวกผีดิบก้อนดินมารวมตัวกันอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยมแล้ว

กรูวี่ประเมินสถานการณ์ว่าตามปกติเขาคงจะโค่นสองลุงขี้เมาและฝ่าวงล้อมซอมบี้หนีออกไปได้ไม่ยาก

แต่ด้วยสภาพร่อแร่ในปัจจุบันเขาคงฝืนสังขสรทำอะไรแบบนั้นได้ยาก กรูวี่จึงไม่เหลือทางเลือกอื่น

กรูวี่: …ไอ้ห่ารากเอ๊ย มาตกลงกัน

โลอัน: พร้อมจะรับฟังขอรับ

กรูวี่: ไม่ว่ายังไง ชั้นก็ต้องกลับไปหาพวกฝ่าบาทให้ได้ เพื่อการนั้นแล้ว ต่อให้ต้องยืมมือพวกเฮงซวยก็ยอม เพราะงั้นแหละ…

จิตสังหารของชายผมน้ำเงินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ จางลงไปเล็กน้อย กรูวี่ที่เข้าตาจนจึงจำใจต้องกล่าวเงื่อนไขข้อตกลงต่อ เนื่องจากว่านี่คือหนทางเดียว

กรูวี่: ไม่ว่าเอ็งจะเป็นที่ต้องการตัวด้วยเหตุผลอะไร จะใช้อำนาจในฐานะแม่ทัพเอกช่วยนิรโทษกรรมให้เอง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เอ็งต้องร่วมมือกับชั้นและช่วยพากลับนครหลวงจักรวรรดิ

ระหว่างที่ชายผมน้ำเงินชั่งใจอยู่ ผีดิบตัวหนึ่งก็เปิดประตูด้านหลังเข้ามาในโรงเตี๊ยม

แต่ก่อนที่มันจะเอื้อมมือถึงตัวกรูวี่ ดาบของลุงผมน้ำเงินก็ผ่าศีรษะของผีดิบแยก ส่งผลให้ร่างของมันแหลกกลายเป็นเศษดิน

โลอัน: นอกเหนือจากการนิรโทษกรรมแล้ว ค่าหัวมีอยู่เท่าไหร่งั้นหรือ?

กรูวี่: แม่งเหลี่ยมจนถึงที่สุดเลยนะ ไอ้เวรตะไล… บ้าเอ๊ย

สุดท้ายร่างกายของกรูวี่ก็มาถึงขีดจำกัด เขาจึงล้มฟุบหมดสติไปโดยไม่ทันได้ตอบคำถามของชายผมน้ำเงิน

. “โลอัน เซ็กมุนต์” ประเมินว่าแม่ทัพเอก “กรูวี่ กัมเล็ต” น่าจะเป็นคนประเภทที่รักษาสัญญา แม้จะเป็นแค่สัญญาปากเปล่า

แต่โลอันก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง คือการแทงหัวใจกรูวี่ที่หมดสติ แล้วใช้ชีวิตในฐานะอาชญากรหลบหนีคดีต่อไป

โลอัน: แต่ทำแบบนั้นไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร สู้ยอมรับว่าดวงเริ่มเข้าข้างกระผมสักทียังจะดีเสียกว่า ――องก์ที่สามของชีวิตข้า กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

โลอันที่เผลอกระทืบเท้าดีใจเป็นห่วงขาซ้ายของตนที่ไม่ค่อยจะมั่นคง แต่เขาก็จัดลำดับความสำคัญในหัวใหม่ แล้วอุ้มร่างของกรูวี่ขึ้นมา

โลอันใช้เท้าเขี่ยเพื่อปลุกไฮน์เคลให้ตื่น จากนั้นก็ชวนสหายคนใหม่ที่ชีวิตมาถึงทางตันให้ติดตามไปกับเขาเพื่อไขว่คว้าโอกาสครั้งใหม่

ไฮน์เคลที่พลิกตัวกลับมายืนยังคงเมาค้าง จนเขานึกว่าโลอันจะจับกรูวี่ทำอาหารกิน

ตอนนั้นเองพวกผีดิบก้อนดินที่เหลือก็เปิดประตูโรงเตี๊ยมเข้ามา โลอันอุ้มกรูวี่ไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างตวัดดาบคาตานะฟันพวกผีดิบพลางหัวเราะร่า

โลอัน: ขอให้มีชีวิตอยู่รอดและรอไปก่อนนะ เจ้าลูกชายเสเพล ――เส้นทางสู่ดาบสุราลัยน่ะ ยังอีกยาวไกล

. ตัดกลับไปทางพวกสุบารุ

หลังได้ฟังลิขิตสวรรค์จากนักอ่านดาราอูบิรูคเกี่ยวกับ “สองแสงสว่าง” ประโยคที่ว่า “เด็กสาวผู้ไม่ใช่เข้าใจภาษา” ทำให้สุบารุนึกถึงเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่ก่อนที่สุบารุจะทันได้ถาม วินเซนต์ก็เป็นฝ่ายที่แสดงความกังขาก่อนว่าหนึ่งในแสงสว่างตามคำทำนาย “กรูวี่ กัมเล็ต” น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว

เนื่องจากกองทัพของกรูวี่ที่ประจำการอยู่ทิศตะวันตกขาดการติดต่อไปนาน แถมกรูวี่ก็ไม่ได้กลับมารวมตัวกับพวกวินเซนต์เสียที

ซึ่งทางอูบิรูคเองก็ยอมรับว่าเขารู้เพียงกรูวี่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขจำเป็นในการเอาชนะ “มหาภัยพิบัติ” แต่ไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นหรือตายกันแน่

ส่วนทางสุบารุนั้นมองว่าวินเซนต์มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เชื่อใจนักอ่านดารานักก็ตาม

. นอกเหนือกว่า “กรูวี่ กัมเล็ต” แล้ว ตัวตนของอีกหนึ่งแสงสว่างที่สุบารุนึกออกก็คือ “รุย” สุบารุจึงสงสัยว่าอะไรกันที่เป็นจุดร่วมระหว่างสองคนนั้น

วินเซนต์: กรูวี่ กัมเล็ต คือ “จ้าวเครื่องมือไสยเวท” ผู้ช่ำชองในเวทมนตร์และคำสาป จนสามารถสร้างเครื่องมือที่ผนึกรวมทั้งสองวิชาลงไปได้

สุบารุ: เป็นหนึ่งในแม่ทัพเอก แสดงว่าคงแข็งแกร่งแน่นอนใช่ไหม?

วินเซนต์: ทรงพลังอย่างแน่นอน เรื่องนั้นมิต้องกังขา กระทั่งในหมู่มนุษย์สัตว์ ประสาทสัมผัสของเขายังเฉียบคมจนโดดเด่น โดยเฉพาะประสาทการดมกลิ่นที่ไม่มีใครในจักรวรรดิเทียบเคียงได้ กระนั้น หากคำนึงถึงเงื่อนไขที่เจ้า “นักอ่านดารา” คนนี้บอก ทักษะในฐานะนักรบคงไม่ใช่จุดสำคัญ

สุบารุ: เข้าใจล่ะ …เวทมนตร์ไม่ก็คำสาปสินะ?

หากคุณสมบัติสำคัญคือทักษะด้านเวทมนตร์ แสงสว่างตามคำทำนายของอูบิรูคควรจะเป็นรอสวาลไม่ก็เบียทริซ เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือทักษะด้าน…

สุบารุ & วินเซนต์: ――คำสาป

สองหนุ่มเห็นพ้องกัน นั่นแปลว่าแอพโพรชด้านคำสาปน่าจะเป็นจุดอ่อนอะไรสักอย่างของพวกซอมบี้

วินเซนต์: นอกเหนือจากกรูวี่ กัมเล็ตแล้ว ผู้เดียวที่มีความรู้ด้านคำสาปก็คือโอลบาร์ต ดันคลูเคน รีบรวบรวมข้อมูลจากผู้รู้ไว้ก่อนคงจะดี แล้วทางเจ้าล่ะ?

สุบารุ: เบียโกะของทางเราพอรู้นิดหน่อย แถมตัวชั้นก็ยังติดคำสาปอยู่เลยเนี่ย รอสวาลกับท่านพี่จะพอรู้อะไรบ้างไหมนะ…

วินเซนต์: ――ขอเมินส่วนแรกไปละกัน คงจำเป็นต้องฟังความเห็นจากพวกนั้นด้วย

ภายในร่างกายของสุบารุยังคงมีคำสาปจากฝูงสัตว์มาร “อุลการ์ม” ตกค้างอยู่ มันไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันก็จริง แต่บางทีเขาก็อดกังวลไม่ได้

. วินเซนต์ถามความเห็นจากสุบารุต่อทันทีว่า “รุย” จะมีประโยชน์ในการช่วยพลิกวิกฤติการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไร

สุบารุนิ่งเงียบไปสักพัก ซึ่งแค่นั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าเขาเองก็ไม่รู้ วินเซนต์จึงเป็นฝ่ายที่ชิงพูดขึ้นก่อน

วินเซนต์: ตอนที่ได้รู้เกี่ยวกับแอปป้า ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนี่ ――ว่าไม่ได้คิดที่จะสั่งประหารคนที่มีแววจะเป็นบิชอปมหาบาปโดยทันทีน่ะ เรื่องนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนใจ ――ผู้ที่จะนิยามตัวตนของเด็กสาวคนนั้น มิใช่ตัวข้า แต่เป็นเจ้านั่นแหละ

สุบารุคือคนที่รู้จักและเกี่ยวข้องรุยมานานกว่า วินเซนต์จึงมอบหมายให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าตัวเขามองรุยเป็นอะไรกันแน่

วินเซนต์: รีบตัดสินใจให้ได้เสีย หากว่ารสชาติของแอปป้าลูกนั้นและคำพูดโอ้อวดของเจ้ามิใช่คำลวงแล้วล่ะก็

. สุบารุออกจากห้องขังของอูบิรูคมาเจอพวกเอมิเลียที่รออยู่ด้านนอก เนื่องจากว่าเขาเป็นคนเดียวที่อนุญาตให้ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของ “นักอ่านดารา” ได้

พอเอมิเลียถามว่าเขาได้คำตอบที่หวังไว้มาไหม สุบารุก็ตอบได้เพียงแค่เขาไม่แน่ใจ กระนั้นทั้งเอมิเลีย เบียทริซ ออตโต้ และการ์ฟีล ก็ไม่ได้เค้นถามต่อ

ทว่า แม้จะรู้สึกขอบใจในความเห็นใจของเพื่อนๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะปล่อยผ่าน เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่สุบารุสามารถเบือนหน้าหนีได้ตลอดไป

สุบารุ: ทุกคน เพื่อจักรวรรดิแล้ว เรามีเรื่องที่จะต้องหารือกันอย่างจริงจังอยู่

เอมิเลีย: เรื่องที่ต้องหารือกับทุกคนงั้นเหรอ?

สุบารุ: อื้อ ――มาหารือกันเรื่องบิชอปมหาบาป “ตะกละ” รุย อาร์เน็บ อย่างจริงจังกันเถอะ

. จบตอน