ขณะเดียวกับที่เพทร่า เลย์เต ตบหน้านัตสึกิ สุบารุ จนแก้มบวม ชิโนบิสุดแกร่ง “ฮาริเบล” ก็กำลังเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่บนหลังคาขบวนรถมกรพ่วง
ก่อนหน้านี้ฮาริเบลเกือบพลาดท่าป้องกันการลอบโจมตีขบวนรถไว้ไม่ทัน เขาจึงเพิ่มความระแวดระวังขึ้น
ไหนๆ “ยัยหนูอานา” ที่รู้จักกันมานานผ่านทางญาติก็อุตส่าห์เปย์อย่างหนักเพื่อให้ฮาริเบลติดตามมาคุ้มกันเธอในการตามหาสหายที่หายตัวไปทั้งที
ในคารารากินิยมใช้สัตว์ลากรถเป็นส่วนใหญ่ ฮาริเบลจึงไม่ค่อยคุ้นชินกับสภาพการโดยสารที่ลื่นไหลไม่เป็นธรรมชาติของรถมกรนัก
ฮาริเบล: ――อย่างที่คิดเลย คงไม่ได้กะรอให้ทางเราไปถึงที่หมายแหละเน้อ
ที่บนท้องนภาเบื้องหน้าของฮาริเบลที่กำลังเกาพุงอย่างสบายใจคือฝูง “ซอมบี้มกรบิน” ที่มีรอยแตกร้าวกระจายอยู่ทั่วร่างกายและปีก
ฮาริเบล: ――มีตัวปัญหารวมอยู่ด้วยตัวนึงแม่นก่
มีศัตรูน่าขนลุกตัวหนึ่งปะปนมากับฝูงซอมบี้มกรบินที่หนาแน่นดุจเมฆดำทมิฬที่บดบังดวงดาว
การปรากฏตัวของมันทำให้บรรดามกรปฐพีที่ลากรถมกรพ่วงเริ่มออกอาการแตกตื่น หากปล่อยไว้รถมกรพ่วงอาจจะพลิกคว่ำทั้งขบวนได้เลย
พาทรัช: ――ก๊าซซซซ!!
โชคดีที่เสียงคำรามของมกรปฐพีสีดำทมิฬตัวหนึ่งที่วิ่งนำขบวนอยู่อย่างองอาจช่วยขจัดความกลัวออกไปจากบรรดามกรปฐพีตัวอื่น
ฮาริเบลชื่นชมจิตวิญญาณหญิงสาวของเจ้ามกรปฐพี จากนั้นก็วิ่งไต่อากาศที่ว่างเปล่าขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจที่กระทั่ง “จอมพิสมัย” อย่างเขายังมองว่าเป็น “ตัวปัญหา”
. หลังจากที่สุบารุหารือเรื่องสปิก้ากับเรมเสร็จ เขาก็ออกมารายงานผลให้พวกเอมิเลียฟัง และโดนเพทร่าตบหน้า(แทนออตโต้)แบบไม่ทันตั้งตัว
สุบารุ: เฮ้ยๆๆๆ นั่นมันอะไรวะเนี่ย!?
แต่ก่อนที่จะทันได้สำนึกผิด ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมา พวกสุบารุจึงมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ
สุบารุ: นั่นมัน มกรบินสีดำ… ไม่สิ มันใหญ่เกินกว่าที่จะนับเป็นมกรบินได้แล้วเฮ้ย!
เบียทริซ: ตัวขนาดนี้น่ะ ไม่ใช่มกรบินอยู่แล้วย่ะ นี่มันคลาสมังกรไม่ผิดแน่กระมัง แถมมันยัง…
เอมิเลีย: ――มังกรตัวนั้น มีตั้งสามหัวแน่ะ!
สิ่งที่บินอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีด้านนอกคือ “มังกร” สามหัวที่มีรอยแตกกระจายอยู่ทั่วร่างและมีดวงตาสีทองอยู่สามคู่
สุบารุ: …ดราก้อนซอมบี้!!
รัม: มังกรสีดำที่มีสามหัว… ไม่จริงน่า วาลเกรน “สามเศียร” เหรอ?
รัมเล่าว่า “วาลเกรน” คือมังกรอสูรชื่อกระฉ่อนที่เคยออกอาละวาดที่นครแห่งการค้าซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนลูกุนิก้ากับวอลลาเคีย หลังสงครามอมนุษย์พึ่งจบลงไม่กี่ปี
นอกจากนี้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังส่งผลให้คุณย่าของรอสวาลรุ่นปัจจุบันเสียชีวิตลงด้วย
. ทันซ่ามองไปเห็น “ฝูงมนุษย์หมาป่า” กำลังต่อกรกับวาลเกรน “สามเศียร” อยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วฝูงมนุษย์หมาป่าที่ว่าคือฮาริเบลทั้งหมดเลย
สุบารุ: คุณฮาริเบล มีอยู่ประมาณสามคน…
เอมิเลีย: อืม สี่คนน่ะ สุบารุ มีอยู่คนนึงพยายามตัดปีกที่ด้านหลังมังกรอยู่ตลอดเวลาเลย
ฮาริเบลที่แบ่งร่างตัวเองออกเป็น 4 ร่าง เข้าประสานกันจู่โจมมังกรอสูรกลางเวหาด้วยความเร็วสูง นี่ถือเป็นอีกครั้งที่สุบารุได้เห็นความแข็งแกร่งของ “จอมพิสมัย” กับตา
เรมเป็นกังวลเรื่องที่ศัตรูไม่ได้มีแค่มังกรอสูรตัวเดียว สุบารุเองก็คิดว่าทุกคนควรจะเคลื่อนย้ายไปรวมกลุ่มกับพวกวินเซนต์ไว้ก่อน
แต่แล้ว จู่ๆ สุบารุก็เจ็บหน้าอกจนเกือบล้มลง เอมิเลียจึงรีบประคองเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำ เบียทริซเองก็ออกอาการแบบเดียวกับสุบารุ จนทันซ่าต้องช่วยประคองเธอเอาไว้ก่อน
รัม: กระทั่งท่านเบียทริซด้วย… บารุสุ เกิดอะไรขึ้น?
สุบารุ: มะ…ไม่รู้เฟ้ย อยู่ดีๆ ก็เกิดเจ็บหน้าอกขึ้นมา… เหวอ!?
พอสุบารุถกคอเสื้อตัวเองลง เขาก็พบรอยช้ำแดงรูป “ดวงตา” ที่บิดเบี้ยวขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏอยู่บนหน้าอก ส่วนเบียทริซเองก็มีรอยช้ำแบบเดียวกันปรากฏอยู่ด้วย
คนอื่นๆ ไม่พบรอยช้ำแดงบนร่าง สุบารุจึงพยายามคิดหาเหตุผลที่มีเพียงเขากับเบียทริซตกเป็นเป้าหมาย แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี
สปิก้า: อาอาอู!!
เรม: ――อึก! ไม่ยอมหรอก!
พอสุบารุกำลังจะสั่งการให้เคลื่อนย้ายอีกครั้ง เรมกับสปิก้าก็ลงมือผลักพวกสุบารุให้กระเด็นออกไปพ้นทาง
แล้วในพริบตาต่อมาก็มีกรรไกรเล่มยักษ์แทงทะลุจากหลังคาลงมาปักบริเวณที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่
. ตัดไปอีกทางหนึ่ง
ออตโต้: ท่านมาร์เกรฟ!
เพทร่า: นายท่าน!
รอสวาล: …อึก ตกเป็นเป้าหมายงั้นรึ
แม้ว่าปกติทั้งสองคนจะไม่เป็นมิตรต่อรอสวาลนัก แต่พอทั้งคู่ได้เห็นรอยช้ำแดงรูปดวงตาปรากฏขึ้นบนหน้าอกของรอสวาลที่เปิดอกเสื้อดู ออตโต้กับเพทร่าก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความเป็นห่วง
รอสวาลวิเคราะห์ว่ารอยช้ำแดงน่าจะสัญญาณบ่งชี้ว่าตัวเขาถูกมองเป็นศัตรู หรือไม่ก็เป็นสัญลักษณ์ชี้เป้า
ออตโต้กับเพทร่าช่วยกันวิเคราะห์ต่อว่าความสามารถของมันไม่น่าใช่การ “ดูดพลังชีวิต” แต่น่าจะเป็นการ “ระบุตำแหน่ง” ของเป้าหมายมากกว่า
รอสวาลแนะนำให้ทั้งสองคนรีบปลีกตัวแยกออกไป ไม่งั้นจะตกเป็นเป้าหมายเช่นเดียวกันเขา ทว่า มันก็สายไปเสียแล้ว
ออตโต้รีบคว้าไหล่เพทร่าเพื่อดึงเธอออกมาให้พ้นทาง แล้วพริบตาต่อมา ผีดิบร่างใหญ่ที่สวมเกราะสีดำปิดทั่วร่างพร้อมกรรไกรเล่มยักษ์ในมือก็พุ่งทะลุหน้าต่างเข้ามาในขบวนรถ
เพทร่า: ――อึก
เพทร่าที่อยู่ในอ้อมแขนออตโต้ฝืนกดเสียงกรีดร้องของตัวเองไว้ แล้วชูนิ้วขึ้นมาเล็งใส่ผีดิบผู้บุกรุก
กระนั้นรอสวาลก็เป็นฝ่ายที่ไวกว่า เขาจ้วงนิ้วมือผ่านช่องว่างบนหมวกเหล็กของศัตรูไปทิ่มใส่ดวงตาของมัน
รอสวาล: โกอา
จากนั้นรอสวาลก็ร่ายเวทอัคคีซ้ำ เปลวเพลิงระเบิดร่างของเจ้าผีดิบจากภายในจนทั้งศีรษะและชุดเกราะของมันแตกกระจายออก
ทว่า พอรอสวาลหันหลังกลับมา เขาก็พบศัตรูในชุดเกราะแบบเดียวกันกรูกันเข้ามาเพียบจากทั้งบนหลังคาและทางเดิน
ขบวนรถมกรพ่วงถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามรบเคลื่อนที่เสียแล้ว
. ตัดไปอีกทาง กลุ่มของวินเซนต์ ฟล็อป และมีเดียม ก็กำลังประสบปัญหา เนื่องจากชายหนุ่มทั้งสองมีอาการไม่ค่อยดี จนต้องให้สาวที่เป็นกำลังรบเพียงหนึ่งเดียวคอยปกป้อง
มีเดียม: อาเบลจิน ทางนี้ ทางนี้! เร็วเข้า! อันจังก็ด้วย เร่งหน่อย!
ฟล็อป: ที่จริงพี่ก็กำลังวิ่งเร็วสุดกำลังแล้วเนี่ย ยัยน้องเอ๊ย!
ระหว่างที่ดาบคู่ของมีเดียมเข้าปะทะและยื้อกรรไกรเล่มยักษ์ของศัตรูไว้ ฟล็อปก็อาศัยช่องว่างนั้นพยุงไหล่วินเซนต์ที่เจ็บหน้าอกอย่างกะทันหันรีบวิ่งผ่านไป
ฟล็อปเป็นกังวลว่าวินเซนต์โดนพิษบางอย่างเล่นงาน แต่รอยช้ำแดงที่ปรากฏบนหน้าอกและความเจ็บปวดคล้ายหนามที่ทิ่มแทงเนื้อทำให้วินเซนต์รู้ตัวว่ากำลังเผชิญอยู่กับอะไร
ฟล็อป: ความเจ็บปวดจากรอยช้ำที่หน้าอกนั่นคือ…
วินเซนต์: ถึงจะน่าเจ็บใจ แต่น่าจะเป็นผลจากเนตรมารของ “พาลาดิโอ้ มาเนสค์” หนึ่งในพี่น้องของข้า เจ้านั่นควรจะเพลี่ยงพล้ำไปใน “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” และไม่รอดชีวิตกลับมาแท้ๆ
“พาลาดิโอ้ มาเนสค์” เป็นหนึ่งในพี่น้องคู่ปรับตัวฉกาจของวินเซนต์ ทว่าเจ้าตัวดันไม่สามารถดึงความสามารถของ “เนตรมาร” ที่ตนมีออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เดิมทีพาลาดิโด้ใช้เนตรมารในการส่งโทรจิตไปหาบุคคลที่รู้ตำแหน่งเท่านั้น วินเซนต์จึงคาดการณ์ว่าน่าจะมีคนที่บงการวิธีการใช้เนตรมารของพาลาดิโอ้อยู่เบื้องหลังอีกที
ซึ่งวินเซนต์ก็นึกได้อยู่สองบุคคลที่พาลาดิโอ้จะยอมฟังคำสั่ง หนึ่งคือ “ไดรเซ็น วอลลาเคีย” อดีตจักรพรรดิ ผู้เป็นบิดาของทั้งวินเซนต์และพาลาดิโอ้
ทว่า หากประเมินจากการที่กองทัพซอมบี้ที่มีเดียมกำลังต่อกรอยู่คือ “หน่วยตัดกิ่ง” ตัวการที่แท้จริงน่าจะเป็น “ลาเมีย ก็อดวิน” มากกว่า
ลาเมีย ก็อดวิน ผู้บัญชาการของหน่วยตัดกิ่ง คือหนึ่งในสามพี่น้องต่างมารดาที่วินเซนต์ประเมินค่าไว้สูงที่สุดใน “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ”
. จามาล: น่ารำคาญชะมัดเลยโว้ย ไอ้พวกผีดิบ!!
ระหว่างที่มุ่งหน้าไปตามขบวนรถ วินเซนต์ก็พบทหารจักรวรรดิผมหยักศกที่สวมผ้าปิดตาซึ่งกำลังตวัดดาบคู่ฟาดฟันพวกผีดิบตัวแล้วตัวเล่าอยู่
จามาล: เฮ้ย! พวกเอ็งน่ะ มาช่วยกันหน่อย! น้องสาวของชั้นติดอยู่ด้านใน…
วินเซนต์: ไม่ เจ้าต่างหากที่ต้องมาช่วยเรา
จามาล: หา? ไรของเอ็… อะ อะอะอะ… องค์จักรพรรดิ!?
วินเซนต์: ไปช่วยคนด้านหลังหยุดกำลังรบของศัตรูไว้ซะ ส่วนน้องสาวของเจ้าน่ะ ทางนี้จะช่วยออกมาให้เอง
จามาล: ระ…รับทราบขอรับ! พลทหารชั้นพิเศษ จามาล โอเรลี่ รับทราบขอรับ!
วินเซนต์: จงพยายามให้เต็มที่เสีย จามาล โอเรลี่ ผลงานของเจ้าจะเป็นตัวตัดสินโชคชะตาของจักรวรรดิ
ประโยคทิ้งท้ายของวินเซนต์ทำให้จามาลตัวสั่นเทิ้ม แล้วพริบตาก็ต่อมาเขาก็กู่ร้องดุจสัตว์ป่าและกระโจนข้ามหัวฟล็อปกับวินเซนต์ไปช่วยมีเดียมที่ด้านหลัง
ฟล็อป: นายที่สวมผ้าปิดตาน่ะ! มีเดียมที่ต่อสู้อยู่ด้วยกันคือผู้มีสิทธิ์ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดินีเชียวนะ เพราะงั้นช่วยปฏิบัติตัวให้สมเกียรติหน่อย!
มีเดียม: ชั้นน่ะยังไม่ได้ตอบตกลงเลยน้า~!
ฟล็อปรีบทะยานตัวเข้าไปในห้องของจามาล แล้วเข็นรถเข็นที่มีหญิงสาวพิการคนหนึ่งนั่งอยู่ออกมา ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว
วินเซนต์: ――จะมัวเสียเวลาไม่ได้เด็ดขาด พวกเราต้องไปให้ถึงนครป้อมปราการให้จงได้
. ตัดไปอีกทางกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วย อนาสตาเซีย เซรีน่า เบลสเต็ตซ์ และการ์ฟีล
อนาสตาเซียลองเสนอให้หยุดรถมกรพ่วงก่อน เซรีน่าจึงเปิดเผยจุดอ่อนสำคัญว่า ถ้าหากรถมกรพ่วงออกวิ่งโดยไม่มีพรคุ้มครองแห่งการเลี่ยงสายลม ทั้งขบวนจะคว่ำทันที
มิหนำซ้ำ การหยุดรถในตอนนี้จะทำให้พวกมกรปฐพีที่วิ่งมาทั้งวันหมดแรงจนวิ่งต่อไม่ได้ แถมด้วยขนาดและปริมาณของศัตรู หากหยุดรถมกรตอนนี้ รับรองว่าเละแน่นอน
ที่จริงการ์ฟีลอยากรีบไปรวมกลุ่มกับพวกเอมิเลีย แต่ตอนที่ศัตรูบุก เขาดันอยู่ในห้องเดียวกับพวกอนาสตาเซียพอดี การ์ฟีลเลยกลายเป็นคนคุ้มกันประจำกลุ่มไปโดยปริยาย
การ์ฟีลใช้กำปั้นของเขาขยี้หน่วยล่าสังหารที่ถือกรรไกรเล่มยักษ์คนแล้วคนเล่า เบลสเต็ตซ์ที่อยู่ด้วยกันประเมินว่าศัตรูคือ “หน่วยตัดกิ่ง” ของฝ่าบาทลาเมีย ก็อดวิน
เซรีน่าแซวเบลสเต็ตซ์ว่าอยากกลับไปเข้าร่วมฝั่งนั้นหลังลาเมียฟื้นกลับมาไหม แต่เบลสเต็ตซ์สวนว่าตัวเขากับลาเมียเป็นผู้แพ้ในศึกครั้งนั้น การดื้อด้านไม่ยอมรับความพ่ายแพ้มันขัดกับวิถีแห่งจักรวรรดิ
. ตอนนั้นเองที่เอคิดน่าจิ้งจอกทักอนาสตาเซียขึ้นมา เนื่องจากเธอเห็นว่ายุลิอุสที่แยกตัวจากกลุ่มไปก่อนหน้านี้ได้กลับมาแล้ว
ยุลิอุสออกมาจากห้องรับแขกโดยกุมดาบอัศวินไว้ในมือข้างหนึ่งและอุ้มชายร่างผอมบางที่มีผมสีเทาไว้ด้วยแขนอีกข้าง
อูบิรูค: โธ่ๆ มันกะทันหันไปหมดตามม่ายทานแล้วครับ หน้าอกก็ทั้งเจ็บทั้งร้อน แถมคุณนักดาบคนนี้ยังอุ้มส่ายไปมาอีก แย่สุดๆ ครับ
อนาสตาเซีย: แทนที่จะบ่นอิดออด สู้ขอบคุณเรากับอัศวินของเราดีกว่าไหม? เป้าหมายของคนพวกนี้น่ะ อาจจะเป็นตัวนายเองก็ได้
อูบิรูค: เอ๋!?
“นักอ่านดารา” อูบิรูคเป็นผู้ให้ข้อมูลคนสำคัญของฝั่งจักรวรรดิ อนาสตาเซียจึงส่งยุลิอุสไปพาตัวเขาออกมาจากห้องขังไว้ก่อนที่จะโดนพวกศัตรูเก็บ
จนถึงตอนนี้ ฮาริเบลก็ยังคงยื้อ “วาลเกรน” ที่เป็นศัตรูตัวอันตรายที่สุดไว้บนท้องฟ้า ไม่ให้มันมายุ่งกับขบวนรถมกรพ่วงได้
ยุลิอุส: การ์ฟีล ขอขอบคุณที่ช่วยปกป้องพวกท่านอนาสตาเซียไว้ เคารพในความกล้าหาญของนายเหลือเกิน
การ์ฟีล: หนวกหูโว้ย! ชั้นคนนี้น่ะ ไม่ถูกกับแกเหมือนกับจอมทัพเขานั่นแหละเฟ้ย!
ยุลิอุส: น่าเสียดายจริงๆ คาดหวังว่าอยากจะเป็นสหายของนายเหมือนกับสุบารุเขาแท้ๆ
การ์ฟีล: กรรรรรร!!
การ์ฟีลคำรามออกมาแล้วต่อยหมัดสวนไปด้านหลังยุลิอุส ในขณะที่ยุลิอุสก็ฟันสวนไปด้านหลังการ์ฟีล ต่างฝ่ายต่างกำจัดผีดิบที่โผล่มาด้านหลังของอีกคน
ถึงแม้ว่าการ์ฟีลจะไม่อยากยอมรับ แต่ทั้งสองก็ถือเป็นยอดนักรบมือหนึ่งที่ต่อสู้เข้าขากันได้อย่างดี
อย่างเดียวที่อนาสตาเซียยังคงกังวลไม่เลิกในตอนนี้ ก็คือหลังไปถึงที่หมาย ตอนที่ต้องจอดขบวนรถ พวกตนจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไรกัน?
. ตัดไปทางแม่ทัพเอกกอซ ราลฟอนที่กำลังปกป้องขบวนรถคันแรกสุดซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ด้วยตัวคนเดียว
กอซใช้คทาศึกสีทองหวดพวกผีดิบให้แหลกคาชุดเกราะ กระทั่งพวกที่โดนลูกจนหลงกระเด็นออกนอกคันรถยังตัวแตกเป็นฝุ่นก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้นเสียอีก
กอซ: แกนะแก แกนะแก แกนะแก! ไอ้ของเลียนแบบจอมโอหัง!
กระนั้น ไม่ว่ากอซจะกำจัดศัตรูไปเท่าไร จำนวนพวกผีดิบก็ไม่ลดลงเลย สาเหตุก็เนื่องจากผีดิบมกรบินบนฟากฟ้าคอยหย่อนตัวซอมบี้ในชุดเกราะลงมายังขบวนรถเรื่อยๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่ศัตรูทุกตัวที่ลงจอดบนขบวนรถได้ตรงเป้า ที่จริงแล้วมีพวกศัตรูจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งที่ร่วงกระแทกพื้นดินจนตัวแตกสลาย
แต่เนื่องจากว่าฝั่งศัตรูเป็นผีดิบ พวกมันจึงเสี่ยงใช้วิธีการขนส่งพรรคพวกแบบเสี่ยงตายเช่นนี้ได้โดยที่ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว มิหนำซ้ำ…
กอซ: ――นี่มัน “หน่วยตัดกิ่ง” ของฝ่าบาทลาเมียมิใช่รึ!
กอซประเมินว่าศัตรูคือ “หน่วยตัดกิ่ง” หน่วยรบชื่อกระฉ่อนของลาเมีย ก็อดวิน ที่เป็นตัวการลงมือ “กวาดล้างครั้งใหญ่” ซึ่งสืบทอดกันมาในจักรวรรดิ
. หน่วยตัดกิ่งจะสวมชุดเกราะสีดำที่บดบังใบหน้ามิดชิดและใช้กรรไกรเล่มยักษ์เป็นอาวุธ พวกเขามีหน้าที่ “เล็มกิ่ง” ที่ไม่จำเป็นสำหรับนายหญิงทิ้งตามชื่อ
เล่าลือกันมาว่า ลาเมีย ก็อดวิน ในวัยเพียง 9 ปี ได้ใช้หน่วยตัดกิ่งกวาดล้างทัพกบฏที่เกิดจากการรวมตัวกันของขุนนางระดับกลางจนเหี้ยน
เหยื่อของหน่วยตัดกิ่งต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกบนดิน มันแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของลาเมียในการฝึกฝนบริวารให้จิตใจแกร่งกล้าดุดันและเปี่ยมล้นด้วยความภักดี
เรียกได้ว่า พิษของลาเมียยังคงแทรกซึมเข้าไปผูกมัดดวงจิตของหน่วยตัดกิ่งไว้อย่างไม่สั่นคลอน แม้จะเป็นหลังความตาย
ลาเมีย: ――ตายจริง ผ่านไปแล้วตั้งหลายปี ยังอุตส่าห์จำฉันกับเหล่าสัตว์ร้ายผู้น่ารักของฉันได้อีก ดีใจจังเลยค่า~
พอได้ยินเสียงหวานน่าขนลุกดังมาจากด้านหลัง กอซก็ตวัดคทาศึกสวนไป จากนั้นเขาก็อาศัยโมเมนตันจากการปะทะกับประกายสีแดงถอยมาตั้งหลัก
ทว่าเปลวเพลิงจาก “ดาบแสงตะวัน” ก็แผดเผาคทาศึกในมือกอซจนไฟลุกอยู่ดี
“เจ้าหญิงพิษ” ลาเมีย ก็อดวิน กระโจนตัวลงมาจากฟากฟ้าเพื่อเข้าร่วมศึกด้วยตัวเอง ผิวเธอซีดเซียวและมีดวงตาสีทองแบบซอมบี้ตัวอื่น
นอกจากนี้ร่างกายซีกหนึ่งของเธอยังถูกทำลายไปตอนที่กอซฟาดคทาศึกสวน แต่ลาเมียกลับไม่แหลกสลายเป็นฝุ่น แถมยังซ่อมแซมตัวเองกลับคืนมาได้
การที่ดาบแสงตะวันยังคงส่องประกายแรงกล้าในมือของลาเมียในร่างผีดิบเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยนและไม่สมควรเกิดขึ้นเป็นอย่างมากในสายตาของกอซ
. ลาเมีย: ตอนอยู่ที่พระราชวังแก้วผลึกยังไม่ทันได้คุยกันแบบใจเย็นๆ เลย ทำไมถึงได้ทำหน้าตาหวาดกลัวแบบนั้นกันน้า แม่ทัพโทราลฟอน
กอซ: กรอด…
ลาเมีย: อ๊ะ ตอนนี้เลื่อนเป็นแม่ทัพเอกแล้วใช่มะ? ได้ยินมาน้า ท่านพี่วินเซนต์นำระบบ “เก้าแม่ทัพเทวะ” กลับมาใช้งั้นเหรอค้า? สมกับที่เป็นท่านพี่จริงๆ เลยค่า
ซอมบี้ลาเมียที่ฉีกยิ้มกว้างทำให้กอซนึกถึงลาเมียสมัยตอนยังมีชีวิตอยู่ พวกผีดิบมันเลียนแบบนิสัยตัวจริงได้เหมือนอย่างน่าขนลุก ทำเอากอซโมโห
ลาเมียดูหมิ่นว่าระบบเก้าแม่ทัพเทวะทำให้วินเซนต์สะดวกต่อการใช้งานหมากที่แข็งแกร่งแต่ไร้สมองอย่างเช่นกอซ
แต่กอซประกาศกร้าวว่าเก้าแม่ทัพเทวะทุกคนนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่ไม่มีใครสักคนที่เป็นหมากใช้งานง่าย แต่ละคนมีแต่พวกหัวแข็ง ไม่ค่อยเชื่อฟังทั้งนั้น
วินเซนต์ไม่ได้ต้องการหมากใช้งานง่าย เขาเปลี่ยนไปแล้ว นับตั้งแต่ที่ตัดสินใจสละนครหลวง
แต่ความเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้นของวินเซนต์ก็เป็นสิ่งที่กอซประทับใจเช่นกัน
. กอซ: เขาบอกว่า “หวังพึ่งผลงานของแกอยู่นะ”
ลาเมีย: …ว่าไงนะค้า?
กอซ: ฝ่าบาทลาเมีย ฝ่าบาทวินเซนต์ที่ท่านเคยรู้จักเองก็สุดยอดเช่นกัน! ทว่า! กระทั่ง! ตอนนี้! องค์จักรพรรดิก็กำลังเปลี่ยนแปลงตัวให้ดีเลิศขึ้นไปอีก!
ลาเมีย: …
กอซ: จากนี้ไปจักรวรรดิวอลลาเคียก็จะยังพัฒนาขึ้นไปอีก! เพื่อการนั้นแล้ว เราจะปล่อยให้เหล่าผู้ที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งมาถ่วงแข้งถ่วงขามิได้อีกต่อไป!!
ทั้งกอซและลาเมียต่างก็ปรารถนาองค์จักรพรรดิที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ต่างกัน คือลาเมียมิได้อยู่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเก้าปีที่ผ่านมา
ผู้ที่ก้าวเดินอยู่กับที่ย่อมถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยผู้ที่ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
กอซ: นักปราชญ์ผู้มิเคยหยุดเดิน! ก้าวข้ามได้กระทั่งความคาดหวังและการคาดการณ์ของผู้ที่หยุดเดิน และผลักดันเดินหน้าต่อไป! นั่นแหละคือองค์จักรพรรดิผู้ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของจักรวรรดิวอลลาเคีย!
กอซฉีกกระชากโซ่ตรวนแห่งความเคารพที่เขามีต่อลาเมียด้วยความเคารพต่อตัววินเซนต์ที่เหนือยิ่งกว่า เขาชูคทาศึกที่ลุกติดไฟขึ้นมาและรุดหน้าต่อไป
กอซตวัดคทาศึกเป็นรัศมีครึ่งวงกลม กระทั่งในหมู่เก้าแม่ทัพเทวะด้วยกัน ยังแทบไม่มีใครที่รับการโจมตีแบบเต็มแรงของกอซแบบตรงๆ ได้ง่ายๆ
กระทั่งดาบแสงตะวันในมือลาเมีย ย่อมช่วยปกป้องร่างกายอันบอบบางของเธอมิได้ ทว่าลาเมียกลับไม่คิดจะป้องกันแม้แต่น้อย
ลาเมีย: หัวก็ไม่ได้ดีแท้ๆ ยังอุตส่าห์พล่ามได้เยอะเชียว แม่ทัพเอกราลฟอน ――ที่จริงก็รู้สึกประทับใจอยู่แหละ เพราะงั้นจะบอกไว้หน่อยแล้วกันค่า~
ลาเมียจดจ้องกอซด้วยรอยยิ้มก่อนที่ร่างกายของเธอจะถูกปลายคทาศึกกระทุ้งจนแตกสลายไปทั้งร่างโดยไม่ทันได้กล่าวอะไรทิ้งท้าย
กอซรู้ดีว่าลาเมียอาจจะฟื้นกลับขึ้นมาใหม่หลังจากนี้ด้วยแมลงแกนกลางที่จอมเวทของราชอาณาจักรค้นพบ
แต่อย่างน้อยการตัดลาเมียออกไปชั่วคราว น่าจะช่วยให้สายบัญชาการของพวก “หน่วยตัดกิ่ง” แปรปรวนได้ ซึ่งน่าจะส่งผลให้สถานการณ์ฝั่งตนดีขึ้น
ลาเมีย: ――ฟังอยู่ไหมเนี่ยยย แม่ทัพเอกราลฟอน
กอซ: ――เหอ!?
เสียงหวานดังมาจากข้างหลังอีกครั้ง กอซจึงฟาดคทาศึกหวดร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังจนตัวขาดครึ่งท่อน แต่สิ่งที่อยู่ไกลออกไปต่างหากที่ทำให้กอซอึ้งจนพูดไม่ออก
กอซ: บ้าน่า…
คทาศึกในมือกอซสั่นเทาต่อภาพที่ไม่ควรเป็นไปได้ตรงหน้า มันคือการดูหมิ่นต่อจักรวรรดิวอลลาเคียที่กอซ ราลฟอน “อัศวินราชสีห์” ปฏิญาณความจงรักภักดี
ลาเมีย: ――นี่คือศึกล้างบางระหว่างพวกฉันที่ถูกทอดทิ้งไว้ในอดีตและพวกนายยังไงล่ะค้า~
“เจ้าหญิงพิษ” ลาเมีย ก็อดวิน ที่กอซน่าจะหวดจนเละไปสองรอบแล้วจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา พร้อมกับดาบแสงตะวันในมือพวกเธอทุกคน
. จบตอน