[ลาเมีย: เบลสเต็ตซ์ ฝากดูแลที่นี่ต่อด้วยนะค้า~ ต่อให้ต้องตายก็ยื้อเอาไว้ให้ได้ล่ะ]
[เบลสเต็ตซ์: ขอรับ ทางฝ่าบาทเอง ก็ขอให้ปลอดภัยด้วย]
นั่นคำพูดแลกเปลี่ยนสุดท้ายระหว่างสองนายบ่าว ลาเมีย ก็อดวิน และ เบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอน หากถามว่าทั้งคู่ผูกพันแน่นแฟ้นไหม คำตอบก็คงเป็น “ไม่”
เบลสเต็ตซ์เล็งเห็นพรสวรรค์และศักยภาพของลาเมีย เขาจึงช่วยปูทางให้เธอได้นั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ
มันเป็นความสัมพันธ์เชิงแสวงประโยชน์ร่วมกัน แต่ก็มิได้แปลว่าไร้ซึ่งความภักดี
ตัวเบลสเต็ตซ์เองไร้ซึ่งความสามารถการสู้รบ ทำให้เขามิอาจใช้ชีวิตเยี่ยงหมาป่าดาบดังที่ปรารถนาได้
สิ่งเดียวที่เบลสเต็ตซ์เป็นได้คือบุคคลที่ “มีประโยชน์” อยู่เสมอในสายตาผู้อื่น แต่เขาก็จะถูกผู้อื่น “เกลียดชัง” และไม่มีใครให้ความเคารพนับถืออยู่เสมอเช่นกัน
เพราะงั้น คำพูดสุดท้ายของเบลสเต็ตซ์ต่อลาเมียจึงมิใช่คำลวง ชายแก่ผู้มิอาจเป็นหมาป่าดาบได้ตั้งใจจะเสี่ยงชีวิตเพื่อนายหญิง
แต่แล้วเบลสเต็ตซ์กลับเป็นฝ่ายที่รอดชีวิตมาได้ ส่วนนายหญิงที่เขาอวยพรให้ปลอดภัยก็เป็นฝ่ายที่ต้องจบชีวิตลงแทน
ตลอดชีวิตของเบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอนนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความอัปยศ กระทั่งคำสั่งของผู้เป็นนาย เขายังไม่เคยทำมันสำเร็จสักอย่าง
แถมเบลสเต็ตซ์ยังขับไล่จักรพรรดิที่ตนมองว่าไม่ยอมปฏิบัติตามหน้าที่จนทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีภัยเงียบอย่าง “มหาภัยพิบัติ” กำลังคืบคลานอยู่เบื้องหลัง
. ลาเมีย 1: เป็นอะไรไปเหรอค้า แม่ทัพเอกราลฟอน?
ลาเมีย 2: ไม่สมกับที่เป็นผู้เคารพรักราชวงศ์วอลลาเคียอย่างเจ้าเลยนี่~?
ลาเมีย 3: นี่หรือว่า~ จะไม่ชอบตัวฉันที่พ่ายแพ้ใน “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” งั้นเหรอค้า?
ตัดกลับมาปัจจุบัน กอซ ราลฟอนพึ่งได้ความเจ็บปวดที่สะท้านถึงดวงวิญญาณ เมื่อเขาต้องฝืนสัญชาตญาณที่สายเลือดในร่างกู่ร้องเพื่อลงมือสังหารลาเมียที่เป็นสายเลือดราชวงศ์
กระนั้นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากอซกลับเป็นผีดิบลาเมีย ก็อดวินจำนวนนับไม่ถ้วน ชัดเจนเลยว่าทำไม “มหาภัยพิบัติ” ถึงเป็นภัยอันตรายต่อการคงอยู่ของจักรวรรดิ
กอซมองว่าสิ่งที่ผีดิบลาเมียทำอยู่คือการดูหมิ่นชีวิตของลาเมีย ก็อดวินตัวจริง แต่ซอมบี้ลาเมียกลับบอกว่านี่คือความตั้งใจของตัวเธอเอง ไม่ได้มีใครบงการ
ลาเมีย: ยัยแม่มดคนนั้นหัวแข็งชะมัดเลยค่า ในเมื่อสามารถฟื้นคืนใหม่จากส่วนที่แตกหักได้ ก็แปลว่าสามารถฟื้นคืนใหม่ก่อนที่จะแตกเสียหายได้เช่นกัน ภาชนะน่ะจะสร้างขึ้นมากี่อันก็ได้ ที่เหลือก็แค่ต้องเจือจางองค์ประกอบตั้งต้นมาเติมให้ครบเท่านั้นเอง ขอแค่รู้แจ้งในหลักการ ――สิ่งที่เหมือนกับความฝันเช่นนี้ก็ทำให้เป็นจริงได้ จริงไหมค้า?
ลาเมีย ก็อดวินเผยรอยยิ้มสีเลือดที่ประดับใบหน้าซีดเซียวออกมา เธอยังคงเป็นหญิงสาวผู้ฉลาดหลักแหลมเหมือนกับสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่
จริงอย่างที่เธอว่า กองทัพลาเมียที่มี “ดาบแสงตะวัน” สัญลักษณ์แห่งจักรวรรดิครบมือเป็นภาพที่เหมือนกับ “ฝันร้าย” ไม่มีผิด
. ลาเมียเชิญชวนให้กอซยอมตายไปเสีย แล้วย้ายมาเข้าฝั่งที่ยังไงก็ชนะดีกว่า เพราะสุดท้ายประเทศแห่งหมาป่าดาบก็จะล่มสลาย และจักรวรรดิแห่งผีดิบก็จะถือกำเนิดขึ้นมาแทน
กอซสลัดภาพนิมิตที่เขาเห็นตัวเองกลายเป็นผีดิบและยกอาวุธฟาดฟันทำลายจักรวรรดิทิ้ง และตะโกนปฏิเสธลาเมียสุดเสียง
กอซ: ขอแก้ไขคำพูดก่อนหน้านี้ใหม่ขอรับ! ที่บอกไปว่าไม่มี “เก้าแม่ทัพเทวะ” คนไหนที่ว่านอนสอนง่ายตามที่องค์จักรพรรดิประสงค์น่ะ! ฉันคือหมากผู้ซื่อสัตย์ของฝ่าบาท! ไม่ว่าคนอื่นจะเห็นต่างอย่างไร! ก็มีเพียงฉัน! ที่ปรารถนาจะเป็นหมากขอรับ!!
กอซเลือกปฏิเสธความตายและตัดสินใจว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเป็นหมากรับใช้องค์จักรพรรดิ เพราะเขาเชื่อมั่นในพระปรีชาสามารถในการสรรสร้างของวินเซนต์
นี่แหละคือวิถีของหมาป่าดาบแห่งจักรวรรดิวอลลาเคียที่กอซ ราลฟอนเลือก
กอซ: ฉันคือเก้าแม่ทัพเทวะ “ลำดับห้า” ที่ได้รับเลือกจากองค์จักรพรรดิวินเซนต์ วอลลาเคีย! กอซ ราลฟอนยังไงล่ะขอรับ!!
ผีดิบลาเมียจำนวนนับไม่ถ้วนกระโจนตัวเข้าไปหากอซที่ชูคทาศึกสีทองขึ้นมาอีกครั้งจากทุกทิศทาง
การถูกฟันด้วยดาบแสงตะวันเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะเผาผลาญเหยื่อจนถึงดวงวิญญาณแล้ว
ทว่ากอซที่ปราศจากความลังเลตวัดคทาศึกสุดแรงกวาดไปโดนลาเมียถึงห้าคนกลางอากาศจนแหลกสลายไปพร้อมกัน
กระนั้นร่างแยกของลาเมียที่เหลืออยู่กลับพากันฉีกยิ้มอย่างเหี้ยมโหด
ลาเมีย: ต่อให้จะกู่ร้องได้ห้าวหาญแค่ไหน สุดท้ายพอตายก็จะกลายเป็นทาสของฉันอยู่ดีนะค้า?
“อัศวินราชสีห์” กอซ ราลฟอน ผู้มีร่างกายใหญ่โต ควงคทาศึกเหนือศีรษะและตั้งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้มีร่างแยกของลาเมียสักตัวหลุดรอดจากรถมกรขบวนแรกไปหาวินเซนต์ได้
. น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่ากอซจะพยายามสุดกำลังเพื่อกักตัวผีดิบลาเมียไว้ในรถมกรขบวนแรก สุดท้ายแล้วความพยายามของเขาก็คงจะสูญเปล่าอยู่ดี
เนื่องจากว่ามีร่างแยกส่วนหนึ่งของลาเมียได้แทรกซึมไปอยู่ตามขบวนอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว แถมลาเมียยังยื้อให้กอซไปช่วยคนในขบวนอื่นไม่ได้อีกต่างหาก
ลาเมีย: เสียใจด้วยนะ นายไม่ได้ถ่วงเวลาฉันไว้หรอก~ แม่ทัพเอกราลฟอน ฉันต่างหากล่ะ ที่ถ่วงเวลานายเอาไว้ค่า
ลาเมียมองดูวาลเกรนที่กำลังสู้อยู่กับฮาริเบล เธอคาดไม่ถึงเลยว่าจะอดใช้งานวาลเกรนเพราะมันดันไปเจอเข้ากับคู่ต่อสู้ที่ตึงมือ
ว่ากันตามตรง วาลเกรนเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบด้วยซ้ำ สาเหตุที่มันยังไม่แพ้ก็เนื่องจากฮาริเบลไม่สามารถปิดฉากมังกรที่ฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้
กอซเป็นนักรบที่แกร่งสุดยอดอยู่แล้วแท้ๆ แต่ฮาริเบลนั้นแกร่งเหนือยิ่งกว่ากอซไปอีกขั้น ลาเมียจึงประเมินว่าการที่วาลเกรนช่วยตัดฮาริเบลออกไปจากศึกนั้นถือว่าเป็นผลดีแล้ว
. ลาเมีย: แต่ว่า ต่อให้มนุษย์หมาป่าคนนั้นตายก็เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี เสียดายจังเลยค่า
การ์ฟีล: ――ไอ้เรื่องนั้นน่ะ ได้ยินแล้วปล่อยผ่านไม่ได้หรอกเฟ้ย
ลาเมียหันตามเสียงไปเจอเด็กหนุ่มผมทอง ซึ่งพอเธอดมกลิ่นก็ทราบได้ทันทีว่าเขาเป็นพวกครึ่งสัตว์ เด็กหนุ่มจึงสวนกลับมาว่าเธอเองก็มีกลิ่นเหมือนดิน
ลาเมียเจอเข้ากับเด็กหนุ่มในรถขบวนที่ 3 และในขณะเดียวกัน ร่างแยกในขบวนที่สองก็ถูกไฟเผามอดไหม้และร่างแยกในขบวนที่สี่ก็ถูกลมเย็นเยือกแข็ง
ลาเมีย: โห~ ชาวราชอาณาจักรเนี่ยยอมแพ้กันไม่เป็นเลยสินะค้า
การ์ฟีล: …ไหงถึงรู้ได้ว่าพวกเรามาจากลูกุนิก้าล่ะเนี่ย
ลาเมีย: ก็พึ่งรู้เนี่ยแหละค่า แค่ลองถามดู เพราะท่าทางไม่เหมือนชาวจักรวรรดิกันเลย~ น่ารักเสียจริงน้า
เด็กหนุ่มใช้สัญชาตญาณสัมผัสได้ว่าแค่ลาเมียจงใจพูดยั่วโมโหเขา จึงไม่ได้หลงกลบุ่มบ่ามเข้าไปโจมตี
. พอลาเมียที่คุยอยู่กับการ์ฟีลยักไหล่ ร่างแยกของลาเมียอีกตัวเปิดฉากเข้าไปฟัน การ์ฟีลก้มต่ำเพื่อหลบคมดาบ แล้วใช้หลังกำปั้นต่อยอัดหน้าท้องสวนไป
ร่างของลาเมียที่โดนต่อยปลิวถูกลาเมียอีกคนฟันทิ้งเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นม่านเพลิงที่บดบังทัศวิสัยของการ์ฟีล
การ์ฟีลนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากกอซนัก นักสู้สายเข้าประชิดย่อมเสียเปรียบดาบแสงตะวันที่สามารถเผาผลาญศัตรูให้สิ้นซากถึงดวงวิญญาณได้ในฉับเดียว
นอกจากนี้ “ดาบแสงตะวัน” ยังเป็นดาบเวทมนตร์ที่ช่วยเพิ่มความสามารถทางกายภาพให้แก่ผู้ถือครอง
มันสามารถเปลี่ยนราชวงศ์ให้กลายเป็นนักรบมือหนึ่งได้ยิ่งถ้าหากว่าผู้ถือครองได้ฝึกฝนวิชาดาบ ก็จะยิ่งดึงประสิทธิภาพออกมาได้เหนือขั้นขึ้นไปอีก
เพราะงั้น การ์ฟีลจึงรีบกระโจนตัวขึ้นที่สูงเพื่อหลบคมดาบที่ฟันแหวกเปลวเพลิงเข้ามาหา แต่แล้วฝูงผีดิบมกรบินก็กรูกันเข้ามารุมทึ้งการ์ฟีลกลางอากาศทันที
. ลาเมียคิดว่าทางสะดวกแล้ว เธอจึงเตรียมตามหาท่านพี่วินเซนต์ต่อ แต่ทันทีที่เริ่มก้าวเดิน เธอก็ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นมา
ร่างของบรรดาผีดิบมกรบินที่รุมทึ้งเด็กหนุ่มอยู่ระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อ จากนั้นเสือยักษ์ร่างกำยำสุดแกร่งก็ปรากฏตัวออกมาแทน
เสือยักษ์ตะปบฝูงซอมบี้มกรบินพลางกระโจนตัวทะลุหลังคารถมกรเพื่อกลับลงมาหาลาเมียในทันที ฝั่งลาเมียจึงฟันดาบแสงตะวันสวนกลับไป
การขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นมีแต่จะทำให้เป้าหมายการฟันของดาบแสงตะวันใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ขอเพียงแค่คมดาบบาดไปโดนสักจุด ลาเมียก็จะเป็นฝ่ายชนะ
การ์ฟีล: กรรรร!!
ลาเมีย: ตายจริง~
แต่แล้วปลายดาบแสงตะวันของลาเมียกลับฟันไปติดเศษชิ้นส่วนหลังคารถที่เจ้าเสือใช้เล็บข่วนออกมาทำเป็นโล่ชั่วคราว
แล้วในพริบตาต่อมา อุ้งมืออีกข้างของเสือยักษ์ก็ตะปบลาเมียขาดเป็นสองท่อน แรงปะทะจากการโจมตีส่งร่างกายครึ่งบนของเธอให้กระเด็นออกไปนอกคันรถ
ทว่า ต่อให้ลาเมียคนนี้จะตายไป เธอก็ยังสามารถฟื้นฟูร่างกายใหม่ขึ้นมาทดแทนที่ได้อยู่ดี แถมประสบการณ์ของทุกร่างแยกยังแบ่งปันร่วมกันอีกด้วย
ในระหว่างที่หน่วยตัดกิ่งกับร่างแยกอีกตัวกำลังเข้าไปรุมเสือยักษ์ ลาเมียที่ร่างกายเหลือเพียงท่อนบนก็ชำเลืองมองเข้าไปในขบวนรถก่อนที่ร่างของเธอจะสลายกลายเป็นฝุ่นไป
ตอนนั้นเองที่ลาเมียหันไปเจอบุคคลที่เธอกำลังตามหาชำเลืองดูนอกหน้าต่างรถ เธอจดจำขบวนรถเอาไว้และส่งต่อข้อมูลให้แก่ลาเมียคนถัดไป
ลาเมีย: ――เจอตัวแล้ว ท่านพี่วินเซนต์
. ทางด้านเบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอนก็เหลือบไปเห็นร่างท่อนบนของลาเมียที่ร่วงจากขบวนรถและแตกสลายหายไปเช่นกัน ทว่าหน่วยตัดกิ่งกลับยังคงไร้วี่แววจะหยุดจู่โจม
ในที่ประชุมก่อนหน้านี้ เขาทราบมาแล้วว่า “สฟิงซ์” ที่เป็นตัวการใหญ่ไม่ได้ฆ่าตายง่ายๆ จึงไม่น่าแปลกใจนัก หากว่า “เจ้าหญิงพิษ” จะสามารถทำแบบเดียวกันได้
ระหว่างที่การ์ฟีลต่อสู้อยู่บนหลังคา ยุลิอุสก็รับหน้าที่เป็นกำลังรบหลักอยู่ภายในขบวนรถคันเดียวกัน เขาใช้ดาบเคลือบเวทสีรุ้งผ่าทะลุเกราะสีดำของหน่วยตัดกิ่งได้อย่างง่ายดายดุจการตัดน้ำแข็งด้วยเหล็กร้อน
กระทั่งเบลสเต็ตซ์ยังสามารถประเมินได้เลยว่ายุลิอุสนั้นแข็งแกร่งเทียบเคียงเหล่านักรบผู้กล้าแกร่งของจักรวรรดิ แต่แน่นอนว่าเขาย่อมมีวันหมดแรง
อูบิรูคสงสัยว่าทำไมพวกตนถึงถูกฝั่งศัตรูหมายหัวขนาดนี้ อนาสตาเซียจึงเดาว่าน่าจะเป็นเพราะรอยช้ำแดงบนหน้าอกของอูบิรูคนั่นแหละ
เบลสเต็ตซ์: เนตรมารที่สามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้… อย่าบอกนะว่า ฝ่าบาทพาลาดิโอ้ มาเนสค์งั้นรึ?
เซรีน่า: แหมๆ แบบนี้ผู้เข้าร่วม “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” จะโผล่มาครบเลยไหมเนี่ย? ถ้าเป็นงั้นจริง ก็อยากรำลึกความหลังถึงฝ่าบาทบัลทรอยที่เคยมอบดอกไม้ให้หลังจากที่ฉันชิงตระกูลมาจากพ่ออยู่เหมือนกัน
. สุบารุ: เจอแล้ว! ปักหลักกันอยู่ที่นี่เองสินะ!
อนาสตาเซีย: นัตสึกิคุง!
ระหว่างเซรีน่ากำลังชั่งใจว่าควรเคลื่อนพลไปขบวนหน้าหรือขบวนหลังดี สุบารุ เบียทริซ สปิก้า ทันซ่า เรม และรัมก็ตามมาสมทบจากขบวนด้านหลัง
ยุลิอุส: สุบารุ! แล้วท่านเอมิเลียล่ะ?
สุบารุ: เอมิเลียตันกำลังรับศึกหนักอยู่ที่ด้านหลังสุด! เธอกำลังแช่แข็งขบวนรถเพื่อเสริมแกร่งและกันไม่ให้ศัตรูเข้ามา แต่ถ้าพวกเรายังอยู่ตรงนั้นก็จะโดนแช่แข็งไปด้วยน่ะ!
อนาสตาเซีย: เล่นใหญ่เชียวน้า… แต่ว่า คงเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วแหละเน้อ
สุบารุเล่าว่าเขาได้บทสรุปเรื่อง “รุย” แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้บอกทุกคน แต่ที่สำคัญกว่าตอนนี้คือวินเซนต์อยู่ไหน เพราะสุบารุอยากยืนยันว่าเขามีรอยช้ำแดงไหม
อูบิรูค: อ๊าา! เห็นไหม ว่าแล้วเชียว! เธอเองก็มีสัญลักษณ์ปรากฏเหมือนกัน! แปลว่าเราคือพวกพ้อง “นักอ่านดารา” เหมือนกันไม่ใช่เหรอคร้าบนั่น!
สุบารุ: เคยบอกไปแล้วนี่ว่าไม่ใช่! แล้วมันไม่ใช่แค่ชั้นนะ สงสารเบียโกะผู้น่ารักที่มาโดนแบบเดียวกันไปด้วย! จุดร่วมคืออะไรล่ะเนี่ย!?
ออตโต้: ――เรื่องนั้นน่ะ น่าจะเป็นเสี้ยนหนามของ “มหาภัยพิบัติ” ที่จะต้องกำจัดทิ้งใช่ไหมล่ะครับ?
ทันใดนั้นเองออตโต้กับเพทร่าก็ตามมาสมทบจากขบวนด้านหน้า ทั้งสองมาแจ้งข่าวเรื่องที่รอสวาลมีรอยช้ำแดงแบบเดียวกันอยู่
ออตโต้เดาว่าฮาริเบลน่าจะมีรอยช้ำแดงปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน ทุกคนที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญที่ไม่มีใครทดแทนได้ น่าจะถูกศัตรูหมายหัวไว้ก่อน
. เรมตั้งข้อสงสัยว่าทำไม “สปิก้า” ถึงไม่มีรอยช้ำแดงปรากฎ ทั้งที่เธอมีชื่อปรากฏตามคำทำนายของอูบิรูค
เรียกได้ว่าสปิก้าควรจะเป็นศัตรูตามธรรมชาติของ “มหาภัยพิบัติ” ด้วยซ้ำ แต่ฝั่งศัตรูกลับไม่ได้เล็งเป้ามายังตัวเธอเลย
สุบารุ: …นี่หรือว่า ฝั่งพวกผีดิบจะไม่มี “นักอ่านดารา” งั้นเหรอ?
อูบิรูค: ม่ายทราบคร้าบ ขออภัยด้วย เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับลิขิตสวรรค์น่ะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หากพวกเขาไม่สามารถแก้ทางสถานการณ์ปัจจุบันได้ ก็ต้องมุ่งหน้าไปสู่นครป้อมปราการทั้งที่ต้องคอยคุ้มกันกลุ่มผู้ถูกหมายหัวจากศัตรูที่แบ่งร่างเพิ่มได้เรื่อยๆ ไปทั้งทาง
ขบวนรถมกรพ่วงเองก็เริ่มเสียหายหนัก มีโอกาสจะพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ แถมเมืองการ์คลาที่เป็นจุดหมายปลายทางก็อยู่ระหว่างการซ่อมแซมอีกต่างหาก
หนทางเดียวที่ฟันฝ่าวิกฤติการณ์ครั้งนี้ได้คือการโค่น “ลาเมีย ก็อดวิน” ที่เป็นผู้บัญชาการของกองทัพฝั่งศัตรู
เบลสเต็ตซ์สังเกตเห็นว่าสุบารุนิ่งเงียบไปและมีสีหน้าลำบากใจ ราวกับว่าเขานึกอะไรสักอย่างออก แต่ก็ลังเลที่จะพูดมันออกมา
รัม: ――บารุสุ
ออตโต้: คุณนัตสึกิ
อีกสองคนสังเกตเห็นอาการลังเลของสุบารุเช่นเดียวกับเบลสเต็ตซ์ พวกเขาจึงทักขึ้นมาเพื่อช่วยคลายความกังวลให้สุบารุพร้อมแบ่งปันความคิด
สุบารุ: ――อำนาจของสปิก้าอาจจะมีศักยภาพในการช่วยพลิกสถานการณ์อยู่ก็ได้
. ทางฝั่งมีเดียมกับจามาลกำลังประสานมีดพร้าและดาบคู่ช่วยกันกำจัดฝูงผีดิบที่บุกเข้ามาจู่โจมไม่หยุดหย่อนเพื่อปกป้องฟล็อป คาชัว และวินเซนต์เอาไว้
มีเดียมเตะสกัดศัตรูจากนั้นก็ฟันสะบั้นคอ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นผง ส่วนจามาลก็ฟันเข่าของซอมบี้แล้วกระซวกดาบคู่ปักหน้าอกเป็นการปิดฉาก
จามาล: ท่านจักรพรรดินี! ตรงนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!
มีเดียม: บอกแล้วไงเล่า ชั้นยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ!
จามาล: ท่านผู้มีสิทธิ์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี! ช่วยถอยกลับมาด้วย!
มีเดียม: โธ่เอ๊ย~!!
มีเดียมใส่ความโกรธลงไปในวิถีดาบและฟันยื้อกรรไกรยักษ์เอาไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้จามาลแทงดาบปักหน้าอกศัตรูจากมุมต่ำ
ลาเมีย: ――จักรพรรดินีงั้นเหรอ คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วสิน้า
มีเดียม: เฮือก
ลาเมีย: เธอน่ะมีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงคู่หมาป่าดาบในหมู่หมาป่าดาบด้วยงั้นเหรอค้า?
มีเดียมเหลือบไปเห็นซอมบี้ตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ไกลออกไป เธอมีรูปลักษณ์เลอโฉม หากไม่ติดตรงที่ดันมีผิวซีดเซียวและดวงตาสีทองน่าขนลุก
วินเซนต์: ไม่ว่าเด็กสาวคนนั้นจะให้คำตอบอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าที่ตายไปแล้วมิใช่หรือไง
. ระหว่างที่มีเดียมกับจามาลยังคงต่อสู้ยื้อพวกซอมบี้เกราะดำไว้ วินเซนต์กับลาเมียก็จดจ้องกันและเปิดบทสนทนาจากระยะไกล
ลาเมียขุดเรื่องที่วินเซนต์ปล่อยให้ “พริสก้า” รอดไปได้ออกมาแฉและเหน็บว่าหากสาธารณชนได้ทราบเรื่องนี้ คงไม่มีใครอยากนับถือวินเซนต์เป็นจักรพรรดิอีก
มีเดียม: ไม่มีใครคิดจะทำอย่างงั้นหรอก! ชั้นยังคงมองว่าอาเบลจินเป็นจักรพรรดิอยู่ดี!
จามาล: ข้าเองก็ด้วย องค์จักรพรรดิ! ไม่ต้องไปฟังเรื่องที่คนตายมันพล่ามหรอก!
ลาเมีย: งั้นเหรอค้า สงสัยจังว่าทหารคนนั้นเขารู้ไหมเนี่ย ว่าฉันเป็นใคร?
จามาล: หา? ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นราชวงศ์วอลลาเคีย แต่ในเมื่อตายไปแล้วมันสำคัญตรงไหนกัน! คนที่ตายก็คือหมาขี้แพ้ ส่วนคนที่ยังอยู่ก็คือหมาป่าดาบ! นั่นแหละ! วิถีแห่งจักรวรรดิล่ะ!
จามาลตอกหน้าลาเมียกลับด้วยตรรกะเรียบง่ายสมกับเป็นเขา ก่อนจะหันกลับไปฟาดฟันกับพวกซอมบี้ต่อ มีเดียมที่ได้ยินเข้าเองก็ถึงกับหัวเราะออกมา
มีเดียม: เท่กว่าอาเบลจินอีกนะเนี่ย จามาลจิน!
จามาล: เป็นเกียรติมาก ท่านจักรพรรดินี!
. วินเซนต์: ――สัมผัสได้ถึง “ดาบแสงตะวัน” หลายเล่ม ไม่ได้มาคนเดียวสินะ ลาเมีย?
ลาเมีย: แล้วมันทำไมเหรอค้า? ไม่ดีใจหน่อยเหรอที่มีน้องสาวผู้น่ารักเพิ่มขึ้นมาอีก~? นี่หรือว่า เพราะไม่ใช่พริสก้า ท่านพี่วินเซนต์ก็เลยไม่สนใจ?
วินเซนต์: ในเมื่อเจ้าใช้อุตส่าห์กลไกของผีดิบสร้างปรากฏการณ์เหนือสามัญสำนึกขึ้นมา ทำไมถึงไม่ลองเอาจำนวนมาขู่ข้าดูล่ะ?
วินเซนต์ไม่ตกหลุมพลางการพูดจายั่วโมโหของลาเมีย มิหนำซ้ำ ความเงียบของลาเมียยังช่วยเป็นเบาะแสให้แก่วินเซนต์อีก
วินเซนต์คาดการณ์ว่าการสร้างร่างแยกของลาเมียมีจำนวนจำกัด และปัจจุบันร่างแยกส่วนใหญ่ก็กำลังติดพันอยู่กับกอซจนไปช่วยที่อื่นไม่ได้
นั่นก็เพราะว่าวินเซนต์เชื่อมั่นในศักยภาพของกอซ เขาเชื่อมั่นในตัวของแม่ทัพเทวะทุกคนที่ตนเป็นผู้คัดเลือกเองกับมือ
วินเซนต์: ลาเมีย ข้าน่ะมิเคยมองเจ้าเป็นอย่างอื่นนอกเสียจากตัวตนอันไร้ค่า
ลาเมีย: ――วินเซนต์ วออลลลาาเคียยยย!!
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้สีหน้าของลาเมียเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสีทองเบิกกว้างและเปี่ยมล้นด้วยโทสะ
ลาเมียชักดาบแสงตะวันออกมาถือ จากนั้นก็ถีบพื้นและกำแพงเพื่อพุ่งตัวฝ่าช่องว่างระหว่างกองทัพผีดิบและรุดหน้าไปหาวินเซนต์โดยทันที
พอเข้าถึงระยะประชิดตัว ลาเมียก็ตวัดดาบแสงตะวันที่เปล่งประกายเจิดจ้า เตรียมที่จะเผาทำลายวินเซนต์มิให้เหลือซากโดยเริ่มจากส่วนศีรษะ
มีเดียม: อาเบลจิน!!
มีเดียมดีดตัวจากผีดิบที่สู้อยู่มายกมีดพร้าคู่เพื่อสกัดกั้นการโจมตี ทว่าดาบแสงตะวันชะงักไปเพียงชั่วขณะก่อนที่จะละลายมีดพร้าของเธอแล้วฟันทะลุผ่านไปต่อ
จามาล: องค์จักรพรรรรดิ!
จามาลแทรกดาบคู่ของเขาเข้ามาป้องกันอีกชั้นหนึ่ง แต่มันก็ถูกประกายแสงจากดาบแสงตะวันกลืนหายไปในชั่วพริบตาเช่นกัน
ฟล็อปกับคาชัวพยายามดึงชายเสื้อของวินเซนต์ให้เขาล้มลง แต่มันก็ไม่ช่วยให้พ้นวิถีดาบอยู่ดี
มีเดียมใจสลายแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเธอคิดว่าวินเซนต์ชะตาขาดแน่ๆ ส่วนจามาลก็ตื่นตระหนกสุดขีด
ไม่มีใคร ณ ที่แห่งนั้นเข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในชั่ววินาทีต่อมา เพราะอยู่ดีๆ ลาเมียก็สูญเสียการทรงตัวราวกับว่าสายลมรุนแรงปะทะกับร่างของเธอ
. [ลาเมีย: ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่นะเนี่ย~ เบลสเต็ตซ์ ――นี่ ใครเป็นคนชนะ “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” งั้นเหรอ~? ท่านพี่วินเซนต์? หรือว่าจะเป็นพริสก้ากันล่ะ?]
นั่นคือประโยคแรกที่ลาเมียผู้มีรูปลักษณ์แปรเปลี่ยนไปพูดกับเบลสเต็ตซ์ หลังจากที่ได้พบกันอีกครั้งในรอบ 9 ปี
เพียงแค่สิ่งแรกที่ลาเมียเอ่ยถาม เบลสเต็ตซ์ก็เข้าใจได้ทันทีเวลาของเธอมันหยุดลงตั้งแต่เมื่อ 9 ปีก่อน
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เวลาของคนเป็นควรจะแยกกับเวลาของคนตาย
เบลสเต็ตซ์: ――หยุดการตัดกิ่งงงง!!
ชายแก่เค้นเสียงจากคอที่แห้งผากของเขาตะโกนคำสั่งที่ดังกังวาลออกไปไกลจนลำคอของเจ้าตัวแทบจะพัง
ซึ่งทันทีที่พวกผีดิบ “หน่วยตัดกิ่ง” ที่ถือกรรไกรเล่มยักษ์อยู่ในมือได้ยินคำสั่ง พวกมันก็พากันหยุดชะงักไปทันที
ที่จริงแล้วเบลสเต็ตซ์เองนี่แหละคือข้ารับใช้ที่ถวายดวงใจให้แก่ “เจ้าหญิงพิษ” ในการเป็นผู้เคี่ยวเข็ญหน่วยตัดกิ่งให้กลายเป็นนักรบเลือดเย็นที่น่าเกรงขาม
ด้วยเหตุนั้น กระทั่งหลังความตาย หน่วยตัดกิ่งก็ยังคงรับฟังคำสั่งจากเบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอน
. เรื่องน่าแปลกเวลาที่คนเราแก่ตัวไป คือบางทีจะสามารถจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วได้ชัดเจนยิ่งกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เบลสเต็ตซ์: เวลาของผีดิบได้หยุดเดินไป เช่นนั้นแล้ว สำหรับพวกเขา การต่อสู้ใน “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” นั้นเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน… มันฝังรากลึกอยู่ในร่างและไม่มีวันจางหายไป
ลาเมีย: ――แล้วไงค้า? ยังไงก็หยุดเหล่าสัตว์ร้ายของฉันได้เพียงชั่วขณะ จริงมั้ย?
เบลสเต็ตซ์: …ขอรับ ทว่า เท่านี้ท่านก็มาปรากฏตัวที่นี่แล้ว
เบลสเต็ตซ์หันหลังตามเสียงไปทักทายอดีตนายหญิง สองนายบ่าวกลับมาเจอกันอีกครั้งบนขบวนรถมกรที่ทั้งกำแพงและหลังคาพังเสียหายยับเยิน
นอกจากนี้ ทั้งขบวนรถก็ยังว่างเปล่า มีเพียงเบลสเต็ตซ์ที่เลือกอยู่รอพบกับอดีตนายหญิง ณ ที่แห่งนี้ เพื่อใช้แผนลับในการถ่วงเวลาเธอและหน่วยตัดกิ่งเอาไว้
คำสั่งของเบลสเต็ตซ์จะไม่มีวันได้ผลซ้ำสอง เขาจึงต้องการให้พรรคพวกที่ล่วงหน้าไปก่อนใช้ประโยชน์จากคำสั่งหยุดนิ่งรอบแรกให้เต็มที่