สุบารุคิดมาตลอดว่าทำไมสปิก้าถึงเป็นศัตรูทางธรรมชาติของพวกผีดิบได้ ซึ่งสิ่งเดียวที่เขาพอนึกออกที่ทำให้สปิก้า “สเปเชี่ยล” เหนือคนอื่นก็คือ…
สุบารุ: ――อำนาจบาป “ตะกละ”
ไม่ว่าจะอยากหนีจากตัวตนในอดีตแค่ไหน ตราบาปของบิชอปมหาบาปก็จะไม่มีวันปล่อยเธอไป แต่สปิก้าก็ได้สาบานกับสุบารุไว้แล้วว่าจะแบกรับตราบาปนั้นไว้โดยที่ไม่คิดจะหนี
สุบารุเองก็มีอำนาจบาปเกียจคร้านและอำนาจบาปโลภะอยู่ร่าง แต่เขาสามารถเปลี่ยนวิธีการใช้งานอำนาจจากเจ้าของเดิมผู้น่ารังเกียจได้
ดังนั้น ถ้าหากว่าเด็กสาวเลือกที่จะใช้ชีวิตในฐานะ “สปิก้า” แทนที่ “รุย อาร์เน็บ” เธอเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจได้เช่นกัน
ไร บาเทนไคทอสแห่งการ “กินอาหารโอชะ” รอย อัลฟาร์ดแห่งการ “กินผิดศีล” และรุย อาร์เน็บแห่งการ “กินเต็มอิ่ม”
หากว่าสามคนนั้นคือคนบาปที่ใช้พลังในทางชั่ว เด็กสาวที่ก้าวเดินบนเส้นทางตรงกันข้ามในฐานะผู้ไถ่บาปก็จะต้องเป็น…
สุบารุ: ――“กินดารา(อุปราคา)”
เพื่อที่จะชำระล้างบาปกรรมที่พี่น้องผู้มีนามเป็นดวงดาวของเธอกระทำไว้ เด็กสาวผู้กลืนกินดวงดาวจึงได้ถือกำเนิดใหม่เป็น สปิก้าแห่งการ “กินดารา”
สปิก้า: ――อิอาอาอิอาอู(ขอทานล่ะนะคะ)
ภาชนะที่สร้างจากดินทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่เรียก “ชื่อ” ของผู้ที่ฟื้นคืนกลับมา ในขณะที่แมลงปิดผนึก “ความทรงจำ” ของเหยื่อเอาไว้
เด็กสาวแห่งการ “กินดารา” ผู้ถูกตั้งชื่อตามดาวรวงข้าวใช้พลังของเธอผ่านสัมผัสที่ปลายนิ้ว
มันคือพลังในการกลืนกิน “บทบาท” ของผู้ที่ถูกดึงเอานามออกมาจากโถงทางเดินแห่งความทรงจำ เพื่อป้องกันมิให้ดวงวิญญาณของพวกเขาถูกผู้ใดล่วงเกินนำมาใช้อีก
สรุปแล้ว “กินดารา” คือการลบล้างผลกรรมที่พี่น้องผู้มีชื่อเป็นดวงดาวของเธอได้กระทำเอาไว้นั่นเอง
สปิก้า: ――โออิโออูอาอาเออิอา(ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ)
. กอซ ราลฟอน ที่ต่อกรอยู่กับร่างแยกของลาเมียจำนวนมากกว่า 20 ตัวมีแผลไฟไหม้ทั่วทั้งร่าง
ที่ผ่านมากอซรอดพ้นจากเปลวเพลิงของดาบแสงตะวันมาได้ด้วยการสลัดชุดเกราะที่ลุกติดไฟทิ้ง
แล้วทันทีที่พวกร่างแยกของลาเมียพากันแน่นิ่งโดยที่ตัวเขาไม่ทราบสาเหตุ กอซ ราลฟอนก็ไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสสำคัญนั้นไว้
กอซเพ่งสมาธิไปที่การแยกแยะเสียงของผีดิบลาเมียทุกตัว และทำการบิดส่วนกลางของด้ามจับคทาศึกเพื่อปลดส่วนหัวให้แยกออกจากส่วนด้ามจับ
จากนั้นกอซก็ใช้ด้ามจับฟาดใส่ส่วนหัวทรงกลมของคทาศึกเต็มแรง แล้วภายในชั่ววินาทีต่อมาบรรดาร่างแยกของลาเมียก็ถูกโจมตีด้วยคลื่นเสียงสุดทรงพลัง
. คทาศึกทองคำของกอซถูกสร้างมาอย่างประณีตเพื่อให้เข้ากับความสามารถของผู้ใช้โดยเฉพาะ
กอซสามารถประสานพละกำลังมหาศาลเข้ากับหูที่ดีเป็นพิเศษของตนในการบรรลุวิชา “คำราม” ซึ่งเป็นโจมตีด้วยคลื่นเสียงที่มีจังหวะตรงกับการสั่นไหวของร่างกายของแต่ละสิ่งมีชีวิต
ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นพวกบ้าพลัง แต่แท้จริงแล้วกอซมีหูที่ดีขนาดฟังแยกเสียงของสายลมได้ แถมเขายังเล่นเครื่องดนตรีได้อย่างประณีตอีกต่างหาก
และก็ด้วยวิชา “คำราม” สุดร้ายกาจนี่แหละ กอซ ราลฟอนจึงได้รับฉายาว่า “อัศวินราชสีห์”
เสียงคำรามของกอซที่ปรับจูนให้ตรงกับการสั่นไหวของร่างกายลาเมียทำการขยายรอยแยกบนร่างกายของบรรดาเจ้าหญิงผีดิบทุกตัวจนแตกสลายทั้งร่าง
ในขณะเดียวกัน รอสวาลก็เปลี่ยนกลยุทธ์จากเวทอัคคี มาใช้เวทคมดาบวายุและเวทดินผาถล่มในการโค่นลาเมียกับหน่วยตัดกิ่ง
การ์ฟีลใช้กรงเล็บแห่งสัตว์ร้ายของเขาฉีกกระฉากทุกอย่างที่ขวางทางจนเละ ทั้งลาเมีย หน่วยตัดกิ่ง และขบวนรถมกร
ส่วนเอมิเลียก็รุดหน้าผ่านบรรดาหน่วยตัดกิ่งที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นประติมากรรมน้ำแข็งเพื่อเข้าประชิดตัวลาเมีย
ในบรรดาเหล่านักรบไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าใครเป็นคนสร้างจังหวะให้ลาเมียหยุดชะงัก แต่ทุกคนเลือกที่จะเชื่อมั่นและไขว่คว้าโอกาสเผด็จศึกไว้โดยไม่มีพลาด
. ลาเมีย: ――กรอด
สปิก้า: อาอูอู!
ลาเมียเตะอัดสปิก้าที่สัมผัสร่างของเธอจนเด็กสาวปลิวไปพร้อมกับสุบารุและเบียทริซที่จับมือพ่วงกันไว้
เด็กทั้งสามได้รับผลจากเวท “มูรัค” ที่ลดน้ำหนักของพวกเขาจนเบาเท่าลูกปิงปอง จึงไม่แปลกที่จะปลิวไปไกลจากแรงเตะของลาเมีย
ยุลิอุสก้มหัวหลบเด็กสามคนเพื่อพุ่งเข้าประชิดลาเมียต่อ แล้วตวัดดาบเคลือบเวทสีรุ้งที่สามารถผ่าทะลุกรรไกรเล่มยักษ์ได้ราวกับพุดดิ้ง
ทว่าลาเมียเองก็ตวัดดาบแสงตะวันที่มีทั้งแสงและความร้อนในปริมาณที่เหนือกว่าดาบอัศวินของยุลิอุสฟันสวนไป
ดาบตะวันและดาบสายรุ้งเข้าปะทะกัน ก่อเกิดเป็นแรงระเบิดที่ผลักทั้งสองให้กระเด็นออกไปคนละทิศ แต่ว่าการดวลดาบรอบสองของทั้งคู่คงไม่มีทางเกิดขึ้น
ลาเมีย: …กระทั่งตอน “พิธีกรรมคัดเลือกจักรพรรดิ” ก็ไม่เห็นเคยลงมือด้วยตัวเองเลยนี่ค้า?
วินเซนต์: ――อา ใช่แล้วล่ะ
ลาเมีย: ในที่สุด ก็ยอมลงไม้ลงมือกับพี่น้องร่วมสายเลือดด้วยตัวเองแล้วสินะเนี่ย~
วินเซนต์ใช้มีดพร้าของมีเดียมที่ส่วนปลายถูกหลอมละลายไปก่อนหน้านี้แทงปักหลังของน้องสาวต่างมารดา
ดาบแสงตะวันหลุดออกจากมือของลาเมียและหายวับไปก่อนจะกระทบพื้น เนื่องจากนิ้วมือของเธอเริ่มสลายกลายเป็นฝุ่นแล้ว
นั่นแปลว่าวินเซนต์คงแทงมีดพร้าไปโดนแมลงแกนกลางพอดี
. ลาเมียสลัดตัวให้หลุดจากมีดพร้าและเดินห่างออกมาจากวินเซนต์ จามาลเตรียมยกดาบคู่ที่หักไปมาฟันซ้ำ แต่วินเซนต์ยกมือห้ามไว้ก่อน
ลาเมีย: ท่านพ่อกับท่านพี่บัลทรอยไม่ได้อยู่ฝั่งนี้ด้วยหรอกค่า คงเพราะสองคนนั้นไม่มีเรื่องติดค้างอะไร
วินเซนต์: ――ลาเมีย
พอได้เห็นวินเซนต์ออกอาการหวั่นไหวจากคำพูดของเธอ ลาเมียก็เผยรอยยิ้มซุกซนออกมาประดับใบหน้าซีดเซียวที่มีรอยแตกร้าว
ลาเมีย: ――แม่ทัพเอกเทเมกริฟ!
ทว่า ในพริบตาต่อมา สีหน้าของลาเมียก็เปลี่ยนไป เธอตะโกนเรียกชื่อบุคคลที่สุบารุไม่รู้จักออกมา แต่มันเป็นชื่อที่มีความหมายสำคัญสำหรับหลายคน ณ ที่แห่งนั่น
ยุลิอุส: อัล คลาวเซเรีย!
การตัดสินใจสร้างกำแพงสายรุ้งอย่างฉับพลันของยุลิอุสช่วยรักษาชีวิตของทุกคนบนขบวนรถมกรเอาไว้ เนื่องจากว่ามีกระสุนลำแสงพุ่งเข้ามาปะทะขบวนรถจากด้านข้าง
กำแพงสายรุ้งป้องกันไม่ให้กระสุนแสงเจาะทะลุไปโดนคนด้านใน แต่ว่าวิถีกระสุนมันเบี่ยงขึ้นด้านบนจนโละหลังคารถออกไปแทน
จากนั้นผีดิบมกรบินกับคู่หูนักขี่ที่บินผาดโผนได้คล่องแคล่วยิ่งกว่ามกรบินตัวใดก็บินโฉบลงมาคว้าเอาตัวลาเมียที่สลายเป็นฝุ่นถึงหัวไหล่ออกไปด้วยกัน
ยุลิอุส: ――ท่านบัลรอย!?
เซรีน่า: บัลรอย…
ฟล็อป: บัลรอย!?
มีเดียม: …พี่บัล?
การปรากฏตัวของผีดิบบัลรอย เทเมกริฟ สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนมากมาย แต่คนที่เรียกหาเขาอย่างใจสลายที่สุดคงไม่พ้นมีเดียม
ผีดิบบัลรอยไม่คิดจะตอบรับเสียงเรียกใดๆ เขากุมบังเหียนของมกรบินคู่หูและสั่งให้มันบินสวนทางกับขบวนรถมกรพ่วงเพื่อทิ้งระยะห่างโดยทันที
มีเดียม: พี่บัล! พี่บัลลลลลล!!
มีเดียมพยายามไล่ตามเงาดำที่กำลังจะหายวับไปจากน่านฟ้า ฟล็อปจึงรีบดึงตัวน้องสาวไว้ เนื่องจากหน่วยตัดกิ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในขบวนรถ
หน่วยตัดกิ่ง: โอ้ววววววว!!
เช่นเดียววาระสุดท้ายของสมัยยังมีชีวิตอยู่ หน่วยตัดกิ่งในชุดเกราะสีดำพากันกู่ร้องและเข้ามาขัดขวางศัตรูเพื่อเปิดโอกาสให้นายหญิงของพวกตนหลบหนีไป
อนาสตาเซีย: ทุกคน อย่าพึ่งประมาทจนกว่ามันจะจบลง!
เสียงเรียกของอนาสตาเซียปลุกใจให้ยุลิอุสและคนอื่นๆ ที่ยังพอต่อสู้ได้จับอาวุธขึ้นมาต่อ
ซึ่งในคราวนี้หน่วยตัดกิ่งได้ถูกกวาดล้างไม่เหลือซาก เช่นเดียวกับในอดีตที่พวกเขาถูก “อัสนีสีฟ้า” สังหารจนหมด
นั่นคือการปิดฉากของ “หน่วยตัดกิ่ง” ซึ่งบรรลุหน้าที่ในการปกป้องนายหญิงของพวกตนจนถึงที่สุด
. ในขณะเดียวกัน ก็มีชายแก่คนหนึ่งที่นอนอยู่บนร่องพื้นที่รถมกรวิ่งผ่านในสภาพที่ทั่วร่างของเขาเจ็บปวดรวดร้าว แถมขาก็ถูกเผาจนมอดไหม้
ทว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นมิใช่สิ่งที่ชายชราข้องใจ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาปวดร้าวคือคำถามที่ว่า “ทำไมตัวเขาถึงรอดมาได้อีกแล้ว” ต่างหาก
เฟรเดริก้า: คงเพราะว่าได้รับโอกาสมา กระมังคะ
ในระหว่างที่เฟรเดริก้าร่างเสือดาวขนทองวิ่งไล่ตามขบวนรถมกรพ่วงเพื่อมาส่งข้อความ เธอก็เห็นชายชราปลิวออกขบวนรถมาด้วยเปลวเพลิงจากมีทิเออร์พอดี จึงได้ตัดสินใจช่วยชีวิตเขาไว้ก่อนที่จะโหม่งกับพื้น
เบลสเต็ตซ์: โอกาส…งั้นเหรอ…
เฟรเดริก้า: ตอนที่คุณกระเด็นออกมานอกรถมกร ลำพังแค่ขาของดิฉันคงวิ่งไปไม่ทันค่ะ แต่ว่า ผู้วายชนม์ที่กระเด็นออกมาด้วยกันช่วยผลักคุณเอาไว้ค่ะ
เบลสเต็ตซ์: …
เฟรเดริก้า: ช่วงเวลาที่ยื้อออกไปเล็กน้อยนั้น ช่วยให้ขาของดิฉันพาไปถึงตัวทันพอดี เรื่องที่ดิฉันพอจะบอกได้ก็คงมีเท่านี้ค่ะ
สุดท้ายชายแก่ก็ไม่มีวันรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร มันอาจจะเป็นอย่างที่เสือดาวขนทองพูด หรือไม่ลาเมียก็อาจจะแค่ตั้งใจผลักชายชราที่เกะกะให้พ้นทางก็ได้
[ลาเมีย: ――นี่คุณ ทำหน้าตาสลดใจแบบนั้นเป็นเหมือนกันเหรอคะเนี่ย]
เบลสเต็ตซ์: ถ้าหากว่าจักรวรรดิคือตัวการที่พรากเอาน้องสาวท่าน… พรากเอาฝ่าบาทลาเมียไปแล้วล่ะก็ …ช่วยแสดงความรับผิดชอบหน่อย! …ได้โปรดทำหน้าที่ของจักรพรรดิที!
ชายชราผู้เป็นทั้งแกะและแพะที่ย้อมสีตัวเองให้แนบเนียนไปกับหมาป่าดาบ อัครเสนาบดี “เบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอน” เค้นน้ำเสียงตัวเองออกมาเพื่อระบายความรู้สึกที่แท้จริงเบื้องหลังดวงตาที่หรี่ไว้ตลอดเวลา
. ตัดไปทางพระราชวังแก้วผลึกที่มีสภาพพังยับเยินและเต็มไปด้วยผีดิบเดินว่อน
หญิงสาวผู้เลอโฉมในชุดเดรสที่งดงามคนหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพที่ตัวแปดเปื้อนทั้งฝุ่นและดิน แต่มันก็มิอาจบดบังความงามของเธอได้เลย
พริสซิลล่า: ทั้งเผ้าผมที่กระเซิงและชุดที่ฉีกขาด พอเทียบกับตัวเจ้าในตอนนี้แล้วคงดูดีไม่ต่างจากทองคำเลย
ลาเมีย: …ยังมีหน้ามาพูดอย่างนั้นอีกน้า~ พริสก้า
“พริสซิลล่า บาริเอล” ถูกจับตัวไว้เป็นเชลยศึกในคุกใต้ดินของพระราชวังโดยที่มีโซ่ชนิดพิเศษล่ามตัวไว้ซึ่งบังคับจัดท่าให้เธออยู่ในสภาพยืน
กระนั้นทั้งท่าทีและดวงตาของพริสซิลล่าก็ไม่เผยความอ่อนแอออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ลาเมีย ก็อดวิน อดีตพี่สาวต่างมารดาที่กลายเป็นผีดิบแวะมาเยี่ยมหาเธอในสภาพที่ทั้งผมเผ้า ชุดเดรส และร่างกายพังยับเยิน
พริสซิลล่าที่สังเกตการซ่อมแซมร่างกายของพวกผีดิบมาสักพักเข้าใจได้ทันทีว่านั่นหมายความว่าอย่างไร
พริสซิลล่า: อะไรกัน กำลังจะตายอีกแล้วงั้นรึ ลาเมีย
ลาเมีย: แหม~ นั่นมันใช่เรื่องที่ควรพูดกับพี่สาวไหมเนี่ย~ แต่ว่า ใช่แล้วค่า การเชื่อมต่อกับ “กล่องแห่งความว่างเปล่า” ถูกตัดขาดไป… ไม่สิ น่าจะเรียกว่าการเชื่อมต่อถูกกินไปมากกว่าล่ะน้า~
ลาเมียอวดว่าท่านพี่วินเซนต์เป็นคนลงมือปิดฉากเธอเองและหัวเราะออกมาพลางเอามือที่สลายไปเกือบหมดมาป้องปากเอาไว้
ลาเมีย: บอกตามตรง น่าเบื่อมากเลยค่า มีแค่เธอกับท่านพี่วินเซนต์ที่ฉันสามารถพูดคุยด้วยอย่างจริงใจได้~
พริสซิลล่า: ข้าพเจ้ากับเจ้าเคยได้พูดคุยอย่างจริงใจสักกี่ครั้งกันเชียว
ลาเมีย: จำนวนครั้งมันไม่สำคัญสักหน่อยค่า ยัยน้องสาวบื้อ
มือข้างที่เธอยกมาป้องปากเลือนหายไป พริสซิลล่าจดจ้องร่างกายของลาเมียที่ค่อยๆ สลายไปทีละส่วนแบบตาไม่กระพริบ
พริสซิลล่า: ในเมื่อหมดหน้าที่แล้ว ก็รีบไปเสียสิ ลาเมีย ――ไม่งั้นข้าพเจ้าจะปิดฉากให้อีกครั้งเอง
ลาเมีย: เป็นน้องสาวที่ไม่น่ารักเอาเสียเลยค่า
ลาเมียทิ้งทวนคำพูดและรอยยิ้มหวานแต้มพิษเอาไว้ก่อนที่จะสลายหายไปจนหมด แบบเดียวกันกับสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่
. บัลรอย: พี่น้องอุตส่าห์ได้ร่ำลากันครั้งสุดท้ายทั้งที ทิ้งทวนแบบนั้นจะดีเหรอครับ?
หลังลาเมียจากไป ผีดิบชายหนุ่มอีกคนก็เดินลงบันไดคุกใต้ดินมาทักทายพริสซิลล่า ท่าทีของเขาแตกต่างจากผีดิบง่อยๆ ทั่วไปอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับลาเมีย
พริสซิลล่า: เจ้าเองรึ คนที่พาลาเมียกลับมายังปราสาท
บัลรอย: ใจแกร่งสุดๆ เลยเนอะคร้าบ ร่างกายเป็นแบบนั้นแท้ๆ ยังถ่อสังขารเดินลงมาชั้นใต้ดินได้ด้วยตัวเอง สมกับที่เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์วอลลาเคียผู้สูงศักดิ์… ในฐานะประชาชนชาวจักรวรรดิ รู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกินคร้าบ
พริสซิลล่า: เป็นกบฏที่หันคมเขี้ยวเข้าใส่จักรพรรดิแท้ๆ ยังมีหน้าพูดเรื่องนั้นออกมาได้อีกนะ
บัลรอย: เรื่องนั้นฟังแล้วปวดใจก็จริงอยู่… แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการเป็นขบถต่อจักรวรรดิเนี่ย~ เรากับคุณนายก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนี่ครับ
แค่ฟังจากน้ำเสียง พริสซิลล่าก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือบัลรอย เทเมกริฟ อดีตเก้าแม่ทัพเทวะแห่งจักรวรรดิ
พริสซิลล่าเคยรู้จักเขาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ผ่านอดีตสามีคนแรกที่มีฐานะเป็นเคานต์ระดับกลาง
. บัลรอยลงมาที่นี่เพื่อดูวาระสุดท้ายของลาเมียและนำอาหารมาให้พริสซิลล่ากิน ว่าแล้วบัลรอยจึงยกถาดเงินที่มีฝาครอบแบบที่เสิร์ฟในร้านอาหารให้เธอดู
พริสซิลล่าปฏิเสธ แต่ว่าบัลรอยคะยั้นคะยอให้เธอกินพลางเปิดฝาครอบให้เห็นว่าภายในเป็นอาหารปรุงสุกที่มีทั้งไอร้อนและกลิ่นหอม ซึ่งดูดีเกินกว่าที่จะเป็นฝีมือของผีดิบ
บัลรอย: เสียดายที่ทางนี้รับรสชาติไม่ได้เลยไม่ได้ลองชิมก่อน ก็อาศัยความเคยชินในการทำ คิดว่าคงไม่ออกมาแย่แหละ โอ๊ะ ต้องขออภัยด้วยที่ทำอาหารสามัญชนให้ทานนะครับ
บัลรอยใช้ส้อมจิ้มอาหารเพื่อป้อนให้พริสซิลล่ากิน เนื่องจากว่าแขนของเธอถูกล่ามเอาไว้กับเพดานห้องจนไม่มีทางเลือกอื่น
พริสซิลล่า: ขอเป็นคนบั่นคอเจ้าเองแล้วกัน
พริสซิลล่ากล่าวเช่นนั้นก่อนจะชิมอาหารที่ยื่นมาให้ มันมีรสชาติไม่เลวทีเดียว แต่ก็เป็นเพียงอาหารบ้านๆ ตามฝีมือคนปรุง ถึงแม้ว่าจะใช้วัตถุดิบจากในวัง
บัลรอยยิ้มแห้งๆ ออกมาพลางเล่าว่าในอดีตเขาเคยป้อนอาหารให้เด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกจับขังเป็นการลงโทษ แต่พริสซิลล่าไม่ใส่ใจนัก แถมยังสั่งให้บัลรอยเช็ดปากให้เธออีก
พริสซิลล่า: เหตุใดพวกเจ้าถึงได้อยากทำลายจักรวรรดิล่ะ? ที่คืนชีพกลับมาเพราะปรารถนาสิ่งใดกัน?
บัลรอย: ――ข้อแรกเราคงตอบให้ไม่ได้หรอก แต่ว่า ข้อหลังน่ะง่ายนิดเดียว
บรรยากาศเป็นกันเองของบัลรอยหายไปโดยทันที สิ่งเดียวหลงเหลืออยู่คือความโกรธแค้นแบบเดียวกันกับที่พริสซิลล่าสัมผัสได้จากลาเมียก่อนหน้านี้
บัลรอย: ไม่ว่ายังไงความปรารถนาของผีดิบน่ะ ก็ต้องเป็นการชำระความแค้นอยู่แล้วล่ะคร้าบ
บัลรอย เทเมกริฟ เปิดเผยความปรารถนาที่แท้จริงของผีดิบออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไร้ชีวิตชีวา
. อัล: หนีพ้น… หรือยังนะ… แม่งเอ๊ย!
ตัดไปทางอัลที่กำลังวิ่งผ่านถนนที่เปียกชื้น แต่พอเขาหักเลี้ยวตรงหัวมุมก็ดันไปสะดุดเข้ากับกล่องไม้จนล้มลง
เขาต้องรีบพยุงตัวให้ลุกขึ้นมาด้วยแขนข้างเดียว มิฉะนั้น นักย่องตามในชุดดำนามว่าวีวา “นักชำแหละ” จะไล่ตามมาทัน
อัล: ไม่งั้นมีหวังได้โดนผ่าไส้อีกแหง…
วีวา: อยู่นี่แล้วเฟ้ย
อัลที่สะดุ้งโหยงตวัดดาบมังกรฟ้าสวนกลับไปตามเสียงเรียก แต่แล้วคมดาบกลับพลาดเป้า แถมใต้วงแขนของอัลยังเจ็บแสบเพราะโดนเฉือนจนเขาเผลอปล่อยดาบหลุดมือ
อัล: อ้ากกก…
วีวา: ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์เฟ้ย แต่จะว่าไป แกนี่เป็นตัวอย่างที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่เหมือนกันนะเฟ้ย การหลั่งเลือดอย่างไร้ค่ามันช่วยเติมเต็มความปรารถนาของจักรพรรดิไม่ได้หรอกเฟ้ย
ที่ด้านหลังของอัลมีผีดิบผมฟ้าที่สวมชุดและผ้าปิดปากสีดำอยู่ เจ้านั่นมีอาวุธเป็นมีดเล่มโค้งที่ถืออยู่ในมือทั้งสองข้าง
แทนที่จะเผด็จศึก วีวากลับเอาแต่เฝ้าดูอัลที่พยายามห้ามเลือดด้วยแขนข้างเดียว กระนั้นเป้าหมายของเจ้าผีดิบก็ไม่ใช่การทรมานอัลให้ตายอย่างช้าๆ หรอก
หลังจากที่รีเซ็ตมาหลายครั้ง วีวาคอยบอกอยู่ตลอดว่าเขาชอบ “ทดลอง” ได้ยินว่าอยากใช้ร่างกายของคนเป็นในการทดสอบอะไรบางอย่าง
ไม่แน่ว่าวีวาอาจจะชอบทำอะไรเช่นนี้ตั้งแต่สมัยที่เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่ เขาถึงได้รับสมญานามว่า “นักชำแหละ”
. อัล: สู้ก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้งั้นเรอะ… อยากไปรอบหน้าอยู่จะเต็มแก่ ช่วยทำให้มันจบในทีเดียวหน่อยไม่ได้เร้อ?
วีวา: ให้จบในทีเดียวไม่ได้หรอกเฟ้ย ฉันไม่ได้อยากจะทรมานแก ก็แค่อยากจะทดสอบอะไรสักหน่อยเท่านั้นเองเฟ้ย
อัล: นั่นสินะคร้าบ… ถ้างั้นก็
อัลยอมแพ้ที่จะเจรจากับวีวาและจ้องดูดาบมังกรฟ้าที่ตกอยู่บนพื้นแทน หากเขาไวพอก็จะใช้มันเฉือนคอตัวเองเพื่อรีเซ็ตได้ แต่ถ้าพลาดมีหวังได้ทรมานยาวๆ
อัลใช้เวลาคิดแผนหนึ่งวินาที เตรียมใจหนึ่งวินาที และลงมือภายในหนึ่งวินาที เขาพุ่งไปคว้าดาบมังกรฟ้าก่อนที่วีวาจะทันตั้งตัวแล้วยกมันขึ้นมา…
เซซิลุส: มันเร็วหน่อยไหมที่จะยอมแพ้ในชีวิตนี้แล้วไปหวังพึ่งชาติหน้า?
อัล: อ๊ะ!?
แต่แล้วดาบมังกรฟ้าของอัลกลับถูกใครบางคนแย่งเอาไปปักพื้น แถมตัวการที่เป็นหนุ่มน้อยในชุดญี่ปุ่นสไตล์วะโซยังยืนทรงตัวขาเดียวอยู่บนด้ามจับดาบของเขาอีก
วีวา: เด็กน่ะ ไม่ใช่ประเภทตัวอย่างที่ฉันอยากได้เฟ้ย
วีวาเล็งฟันข้อต่อแขนของหนุ่มน้อยโดยไม่ลังเล รูทีนประจำของหมอนี่คือการตัดเส้นเอ็นข้อต่อแขนขาของเหยื่อก่อนที่จะผ่าเช็คเครื่องใน
ทว่า ในวินาทีต่อมา ศีรษะของวีวาก็กระเด็นหลุดออกจากบ่า สาเหตุเป็นเพราะหนุ่มน้อยเตะแขนวีวาจนหัก ซึ่งทำให้วิถีของมีดพลาดไปตัดคอวีวาเสียเอง
เจ้าเด็กน้อยสลับขาที่ยืนทรงตัวบนด้ามจับของดาบมังกรฟ้าอย่างคล่องแคล่ว เพื่อใช้ขาอีกข้างเตะอัดร่างของ “นักชำแหละ” จนแหลกเละ
เซซิลุส: น่าเสียดายที่การแสดงร่วมกับวายร้ายรสนิยมแย่อย่างคุณน่ะ มัน NG ครับผม!
(NG = No Good เป็นคำศัพท์ยืมที่คนญี่ปุ่นอุปโลกน์กันขึ้นมาเอง ใช้สื่อความหมายในทำนองว่า “ไม่ดี” หรือ “ไม่ได้” ครับ)
. อัลมองดูศีรษะของวีวาที่แสดงสีหน้าประหลาดใจก่อนที่จะสลายหายไปตามสายลม
ส่วนเจ้าหนุ่มน้อยก็ขอโทษอัลที่เขายืมใช้ดาบมังกรฟ้าเป็นแท่นยืน เนื่องจากว่าเจ้าตัวไม่อยากให้รองเท้าโซริมันเปียก
อัลลุกขึ้นมานั่งบนพื้นที่เปียกแฉะแล้วขอให้หนุ่มน้อยช่วยปฐมพยาบาล ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบตกลงเพราะเขาถูกใจรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของอัล
เซซิลุส: แต่ว่านะ! อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ ผมไม่อยากให้รองเท้าโซริเปียกครับ! ย้ายขึ้นที่สูงกันก่อนดีกว่า ช่วยระวังตัวอย่าให้เสียเลือดก่อนจะขึ้นไปถึงด้วยนะ พ่อคุณหมวกเกราะ!
อัล: …ชั้นชื่อว่าอัลว้อย เจ้าซุกซนบอย
เซซิลุส: ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ซุกซนบอย! พูดจาเหมือนบอสเลยนะคร้าบเนี่ย!
อัลถอนหายใจออกมาระหว่างที่เจ้าหนุ่มน้อยเอาแต่หัวเราะลั่น เขายังไม่แน่ใจว่าการบังเอิญพบกันในครั้งนี้เป็นเรื่องดีหรือแย่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ…
อัล: รอก่อนนะ พริสซิลล่า …ชั้นจะช่วยเธอให้จงได้เลย
. ในที่สุด หัวทั้งสามของมังกรอสูรวาลเกรนก็หมดสิ้นกำลัง ร่างกายอันใหญ่โตนอนแน่นิ่งกับพื้นในสภาพที่ปีกถูกตัดออก
บนลำตัวของมังกรอสูรมีอาวุธลับมากมายเสียบอยู่ เนื่องจากฮาริเบลได้ลองโจมตีทุกจุดอ่อนบนร่างกายเท่าที่เขาพอจะคิดออก
แต่สุดท้ายฮาริเบลก็ไม่แน่ใจว่าบาดแผลไหนกันแน่ที่ทำให้เขาเผด็จศึกเจ้ามังกรได้อยู่ดี สิ่งเดียวที่ตัวเขาพอจะมั่นใจได้มีเพียงแค่…
ฮาริเบล: ผมเนี่ย ไม่เหมาะจะสู้กับ “ซอมบี้” ที่รูปร่างไม่ใช่มนุษย์เอาซะเลย
ฮาริเบลชำเลืองดูร่างของมังกร “สามเศียร” ที่เริ่มสลายกลายเป็นฝุ่น จากนั้นก็สลายร่างแยกทั้งสามของตนทิ้งพลางถอนหายใจออกมายาวๆ
. ถ้าหากเลือกได้ ฮาริเบลก็อยากให้เจ้าอสุรกายจากไปอย่างถาวรจริงๆ แต่พวกอนาสตาเซียก็คุยกันไว้แล้วว่าซอมบี้ทุกตัวสามารถสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ได้
แปลว่าวาลเกรน “สามเศียร” ที่เขาพึ่งกำจัดลงไปได้อย่างลำบากยากเย็นก็อาจจะโผล่มาใหม่ได้เช่นกัน
จริงอยู่ว่าต่อให้สู้อีกครั้ง ฮาริเบลก็คงจะสามารถชนะได้อีกเช่นเคย แต่ถ้าเกิดครั้งหน้าสถานที่ต่อสู้มันไม่เอื้ออำนวยให้เขาแยกตัวมาสู้เดี่ยวๆ คงจะลำบากน่าดู
ฮาริเบลบิดลำคอแล้วจุดกล้องยาสูบที่เขาไม่สามารถสูบได้ระหว่างต่อสู้ขึ้นมา จากนั้นก็หันกลับไปอีกทางและพบว่าขบวนรถมกรพ่วงได้ทิ้งห่างเขาไปไกลแล้ว
ฮาริเบล: ไรเนี่ย ตัวผมที่อุตส่าห์พยายามก็อยากได้ลูกอมตอบแทนเหมือนกันนะ… อา แต่ถ้าผมกินลูกอมเข้าไป มีหวังตายแหงเลย
ฮาริเบลบ่นพึมพำเช่นนั้นก่อนที่จะเริ่มวิ่งไล่ตามรอยล้อของขบวนรถมกรพ่วงไป
. จบตอน