webnovel arc8 chapter30

บทที่ 8 ตอนที่ 30 "ข่าวร้าย"

เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่านครป้อมปราการ “การ์คลา” ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนระหว่างลูกุนิก้ากับวอลลาเคียเคยถูกบิชอปมหาบาปโลภะทลายจนย่อยยับด้วยตัวคนเดียวเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ชื่อเสียงของเมืองป้อมปราการอันทรงพลังเสียหายยับเยิน มีทหารจักรวรรดิเสียชีวิตมากมาย แม้แต่ยอดนักรบอย่างคูร์กัน “แปดกร” ยังจบชีวิตลงที่นั่น

กระทั่งช่วงที่พรรคเอมิเลียลักลอบเข้ามาในจักรวรรดิ พวกเธอก็ยังได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าเมืองการ์คลายังคงอยู่ระหว่าง “การซ่อมบำรุง” จนถึงปัจจุบัน

แต่พอได้มาเห็นสถานที่จริง รอสวาลก็ได้ล่วงรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเพียงคำลวง เนื่องจากเมืองการ์คลาซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์เกินกว่าที่ชาวจักรวรรดิลือกัน

ปัจจุบันรอสวาลอยู่ที่ห้องประชุมภายในป้อมปราการที่สร้างติดกับหุบเขากิลโดเรย์ฝั่งหลังเมือง

ซึ่งพอมองออกหน้าต่างไปดูเบื้องล่างก็จะเห็นศูนย์หลบภัยมากมายที่เพียงพอต่อการรองรับผู้ลี้ภัยจากนครหลวง

ถ้าหากมีประเทศใดคิดจู่โจมนครการ์คลาโดยที่คิดว่าเมืองยังซ่อมแซมไม่เสร็จ รับรองว่ามีอึ้งแน่นอน เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงเล่ห์กลของฝั่งวอลลาเคียเป็นอย่างดี

. เบลสเต็ตซ์พึงพอใจต่อประสิทธิภาพในการควบคุมข้อมูลข่าวสารของประเทศตนที่กระทั่งจอมเวทอันดับหนึ่งของลูกุนิก้ายังต้องประหลาดใจ

หลังจากที่เฟรเดริก้าช่วยชีวิตของเสนาบดีเบลสเต็ตซ์ ฟอนดัลฟอนมาได้ ชายแก่ก็ได้รับการรักษาด้วยเวทมนตร์เท่าที่ร่างกายของเขาพอจะฟื้นฟูได้

ผลลัพธ์คือเบลสเต็ตซ์รอดชีวิตมาได้ แลกกับการที่ขาขวาของเขาพิการจนต้องเดินลากขาและต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงนับแต่นี้ไป

เซรีน่า ดราครอยที่อยู่ในห้องประชุมโต๊ะกลมด้วยกันช่วยลากเก้าอี้ให้เบลสเต็ตซ์นั่ง ชายแก่ถามยืนยันจากรอสวาลว่าผีดิบลาเมีย ก็อดวินจะไม่ฟื้นกลับมาอีกแล้วจริงไหม

รอสวาลอธิบายว่าพวกตนค้นพบวิธีแก้ทางการประสาน “สัตยาธิษฐานแห่งราชาอมตะ” กับ “เวทบูรณะ” ของศัตรูได้แล้ว ลาเมียจึงถูกตัดออกจากวงจรการคืนชีพเป็นผีดิบ

ซึ่งเบลสเต็ตซ์มองว่านั่นคือการ “ช่วยเหลือ” หรือ “ปลดปล่อย” ลาเมียให้หลุดพ้น เพราะเขาเชื่อมั่นว่าลาเมียตัวจริงยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งอดีตและมิได้ปรารถนาที่จะคืนชีพกลับมา

. สุบารุมาถึงห้องประชุมพร้อมกับสปิก้าและเปิดเผยความจริงต่อคนใหญ่คนโตของฝั่งจักรวรรดิทันทีว่าตัวตนเก่าของสปิก้าคือบิชอปมหาบาปตะกละ “รุย”

เรื่องนั้นสร้างความฉงนไปทั่วห้องประชุม ตามด้วยความฉุนเฉียวจากแม่ทัพเอกกอซ ราลฟอน ซึ่งเหมือนกล่าวแทนความรู้สึกของคนฝั่งวอลลาเคียส่วนใหญ่

กอซ: นั่น…นั่นพูดอะไรออกมาน่ะ! บิชอปมหาบาปงั้นเหรอ!? จะบ้ารึไง! กล้าปากพล่อยทั้งที่รู้ว่าที่นี่คือนครป้อมปราการงั้นเรอะ!? นี่คือเมืองที่เคยพังทลายเพราะบิชอปมหาบาปมาแล้วครั้งหนึ่งนะ!!

สุบารุ: เคยได้ยินเรื่องที่ไอ้เวรเรกุลุสถล่มเมืองนี้มาแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าพอช่วยปลอบใจได้ไหม แต่พวกชั้นจัดการไอ้เวรนั้นให้เรียบร้อยแล้ว อย่าห่วงเลย

กอซ: เรื่องเจ้าคนชั่วช้าสามานย์นั่นจะยังไงก็ช่าง! สิ่งสำคัญคือตราบาปที่พ่วงติดมากับตำแหน่งบิชอปมหาบาปต่างหากล่ะ! เจ้าน่ะ เข้าใจเรื่องนั้นบ้างไหม!?

สุบารุ: ――เข้าใจสิ

กอซถึงกับอึ้งพอได้ฟังคำตอบอันแน่วแน่ของสุบารุที่ยืนรับเสียงตะโกนโดยไม่คิดจะเบือนหน้าหนี

กลับกันเบลสเต็ตซ์ที่ประเมินสถานการณ์อยู่เงียบๆ ปะติดปะต่อได้ว่าสปิก้าน่าจะมีส่วนสำคัญต่อการปลดปล่อยลาเมียจากวงจรการคืนชีพเป็นผีดิบ

สุบารุรู้สึกขอบคุณเบลสเต็ตซ์และโล่งใจที่เขารอดตายมาได้ เนื่องจากชายแก่พยายามจะสละชีพอย่างบ้าบิ่นเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของลาเมียช่วงที่สุบารุไม่ได้อยู่ด้วย

. ว่ากันตามตรง สุบารุไม่แน่ใจว่าสปิก้า “กิน” อะไรของลาเมียเข้าไปกันแน่ เนื่องจากไม่มีใครลืมตัวตนของลาเมีย และลาเมียก็ไม่ได้ดูท่าจะสูญเสียความทรงจำ

สุบารุจึงตั้งทฤษฎีว่าอำนาจบาป “ตะกละ” ของสปิก้าสามารถกลืนกินพลังวิเศษของคนที่เธอรู้จักชื่อได้ แต่คำอธิบายของเขามันกำกวมไปจนอนาสตาเซียกังขา

เบียทริซกับยุลิอุสเห็นพ้องกับคำอธิบายของสุบารุ แต่อนาสตาเซียและฝั่งจักรวรรดิยังคงมองว่าพวกสุบารุขาดหลักฐานว่าพลังของสปิก้าใช้ได้ผลตามนั้นจริงอยู่ดี

เนื่องจากซอมบี้นักขี่มกรบินดันพาซอมบี้ลาเมียหลบหนีไปได้ ผลลัพธ์จากอำนาจของสปิก้าจึงยังคงกำกวมอยู่

มิหนำซ้ำซอมบี้ตัวที่ช่วยลาเมีย(บัลรอย)ยังเป็นคนรู้จักของฟล็อปกับมีเดียม เหตุการณ์นั้นทำให้มีเดียมผู้ร่าเริงสะเทือนใจจนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องพักเลย

. เอมิเลียไม่สบายใจที่เหล่าคนตายถูกปลุกชีพมาเป็นซอมบี้ และเธอมองว่าพลังของสปิก้ามีศักยภาพในการแก้ไขเรื่องนั้นจริงๆ

ออตโต้เสริมว่าพวกซอมบี้มีเรื่องที่น่าแปลกอีกอย่าง คือการที่พวกมันทุกตัวมุ่งหมายเอาชีวิตของวินเซนต์เหมือนเคียดแค้น

ไหนจะมีเหตุการณ์ที่สหายร่วมรบของทหารจักรวรรดิคนหนึ่งตายไป แล้วมีซอมบี้ของสหายคนนั้นโผล่มาเป็นศัตรูโดยทันที

นี่มันราวกับว่าพวกซอมบี้ถูกป้อนความคิดให้เกลียดชังวินเซนต์และจักรวรรดิวอลลาเคียตอนที่ถูกคืนชีพกลับมา หรืออาจเรียกได้ว่าพวกมันถูก “ล้างสมอง”

ถึงแม้สุบารุกับเอมิเลียจะเห็นพ้องว่าพลังของสปิก้าคือกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งการคืนชีพของซอมบี้ ออตโต้ก็ยังกังขาเรื่องจำนวนซอมบี้อยู่ดี

ไม่มีทางที่สุบารุกับสปิก้าจะไล่กินชื่อของซอมบี้ให้ครบทุกตัวได้ง่ายๆ แต่ถ้าหากว่าไร้ทางเลือกอื่น สุบารุกับสปิก้าก็พร้อมที่จะรับบทบาทอันยากลำบากนั้น

. ออตโต้ไม่เลิกละที่จะกังขาในตัวสปิก้าไว้ก่อนและย้ำกับสุบารุว่าโน้มน้าวเขาไปก็เปล่าประโยชน์ เนื่องจากออตโต้ไม่ใช่คนที่มีอำนาจตัดสินใจในที่ประชุมนี้

อนาสตาเซียเสนอให้ทดสอบให้แน่ชัดว่าอำนาจของสปิก้าทำอะไรได้บ้าง และจะมีความเสี่ยงอะไรตามมาจากการใช้พลังไหม

เช่น ถ้าหากให้สปิก้าใช้อำนาจกับซอมบี้ตัวใดตัวหนึ่งแล้ว มันจะส่งผลกระทบให้คนรู้จักของซอมบี้ตัวนั้นลืมตัวตนเดิมของซอมบี้ด้วยหรือไม่

เบียทริซ: …จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครลืมยัยคนที่เพิ่มจำนวนได้(ลาเมีย)กระมัง

อนาสตาเซีย: ก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเธอกินอะไรเข้าไปกันแน่ มันอาจจะไม่ใช่ทั้ง “ชื่อ” และ “ความทรงจำ” แล้วถ้าเกิดว่ากินสะสมเข้าไปเรื่อยๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นหรือเปล่าล่ะ?

สุบารุ: เรื่องนั้น…

อนาสตาเซีย: นัตสึกิคุงเองก็คงเคลือบแคลงใจอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเด็กคนนั้นกลับไปเป็นคนเดิม?

อนาสตาเซียไล่ต้อนจนสุบารุไม่รู้จะตอบเช่นไร เพราะเขาทำได้มีเพียงแต่เชื่อใจว่าสปิก้าได้เลือกเดินบนเส้นทางใหม่และจะไม่กลับไปเป็น “รุย อาร์เน็บ” อีก

. สรุปแล้ว อนาสตาเซียต้องการ “หลักประกัน” ว่าอำนาจของสปิก้าจะใช้ได้ผลตามที่สุบารุว่าจริง เพื่อที่เธอจะได้สามารถประเมินคุณค่าของสปิก้าได้อย่างถูกต้อง

เพราะงั้น สุบารุจึงจำเป็นต้องรีบทดสอบอำนาจ “กินดารา” ของสปิก้าเพื่อโน้มน้าวใจทุกคน

วินเซนต์: ――น่าเสียดายที่เวลาสำหรับการทดสอบเรื่องนั้นคงไม่มีเหลืออยู่แล้ว

ตอนนั้นเองที่วินเซนต์ผู้เป็นประธานองค์ประชุมปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับฟล็อปและจามาล เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยที่ไม่สนเรื่องมาสาย

วินเซนต์กล่าวว่าเขาจำเป็นต้องรีบไปทดสอบอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันความหมายของสิ่งที่เจ้าอภิมหางั่ง(จิชา)บอกเอาไว้

วินเซนต์ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเพื่อดึงความสนใจของทุกคนในที่ประชุมก่อนจะกล่าวต่อ

วินเซนต์: สรุปง่ายๆ สิ่งที่ข้าอยากที่จะยืนยันคือตำแหน่งและสถานะของอาณาเขตเทวาอันไม่แปรเปลี่ยนซึ่งอยู่ภายในนครป้อมปราการแห่งนี้… ซึ่งก็คือ “ก้อนศิลา” มหาวิญญาณแห่งจักรวรรดิ หนึ่งในสี่มหาขุมพลังเหนือสามัญสำนึก

สุบารุ: สี่มหา…มหาวิญญาณเนี่ย… หมายถึงสี่มหาวิญญาณงั้นเหรอ?

วินเซนต์: ใช่แล้ว

. สี่มหาวิญญาณคือวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าวิญญาณแมวสีเทาที่สุบารุรู้จักมักจะไม่ค่อยมีภาพลักษณ์เช่นนั้นก็ตาม

ยุลิอุส: แสดงว่ารู้ตำแหน่งของมุสเปล “ก้อนศิลา” หนึ่งในสี่มหาวิญญาณของจักรวรรดิแล้วงั้นเหรอครับ!

สุบารุ: มะ…มันน่าตกใจขนาดนั้นเชียวเหรอ?

ยุลิอุส: แน่นอนสิ ทั้ง “จอมเชือดไม่เลือกหน้า” แห่งนครรัฐ และ “เดรัจฉานศักดิ์สิทธิ์” แห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เป็นที่เคารพศรัทธาในประเทศของตน “ก้อนศิลา” เองก็เป็นตัวตนทรงพลังคล้ายๆ กัน

อนาสตาเซีย: ถ้าหากสามารถสานสัมพันธ์กับสี่มหาวิญญาณได้ล่ะก็ มันคงเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ… แบบนั้นคงน่าตกใจกว่าเรื่องที่นครป้อมปราการกำลังซ่อมแซมเป็นแค่คำลวงอีก

เมื่อยุลิอุสกับอนาสตาเซียร่วมกันอธิบายเสริมให้สุบารุฟัง เอมิเลียกับเบียทริซก็ยืดอกภูมิใจอยู่เงียบๆ

. ถ้าหากพวกสุบารุสามารถยืมพลังของหนึ่งในสี่มหาวิญญาณมาช่วยได้ มันคงจะช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่สปิก้าเป็นอย่างมาก

ยิ่งถ้าหากมุสเปลทรงพลังแบบพัคที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีด้วยเวทมนตร์ที่กว้างไกลระดับเหนือขั้นยิ่งกว่าเอมิเลีย

ทว่า ฟล็อปก็เรียกสติให้สุบารุหยุดฝันหวาน เขาย้ำเตือนให้สุบารุนึกถึงคำพูดของวินเซนต์ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเวลาไม่มีเหลือแล้ว

มิหนำซ้ำสีหน้าของฟล็อปยังดูจริงจัง ไม่ร่าเริงเหมือนทุกที แสดงว่าเขาคงติดตามไปกับวินเซนต์และได้เห็นสิ่งเดียวกันมา

วินเซนต์: พวกเจ้ามิสามารถคาดหวังความช่วยเหลือจาก “ก้อนศิลา” ได้ ในทางกลับกัน ตัวตนของ “ก้อนศิลา” ได้กลายเป็นข้อได้เปรียบของฝั่งศัตรู… กลายเป็นข้อได้เปรียบของ “มหาภัยพิบัติ” ไปแล้ว

สุบารุ: หมายความ…ว่ายังไง? มหาวิญญาณมัน…

วินเซนต์: ตกไปอยู่ในมือของศัตรูแล้ว ไม่แน่ว่า “มหาภัยพิบัติ” อาจจะอาศัยมานาปริมาณล้นเหลือของมันในการปลุกชีพผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาจากหลุมศพ ด้วยเหตุนี้ พวกมันถึงโผล่มาได้แบบไม่มีวันจบสิ้น

เพียงแค่นั้นสุบารุก็ตาเบิกกว้างเพราะทำใจเชื่อไม่ได้แล้ว ทว่า การรายงานข่าวร้ายของวินเซนต์ยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น

วินเซนต์: แต่ที่บอกไปว่าไม่มีวันจบสิ้นมันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ไม่ว่า “ก้อนศิลา” จะมีมานามหาศาลเพียงใด มันก็มีวันหมดลงได้ เมื่อถึงยามนั้น แผ่นดินของจักรวรรดิก็ถึงกาลอวสาน ――เนื่องจากอาณาเขตเทวาที่ค้ำจุนแผ่นดินของวอลลาเคียซึ่ง”ก้อนศิลา” ปกปักรักษาไว้จะหายไปจนนำไปสู่การล่มสลายที่หลีกเลี่ยงมิได้

. จบตอน