webnovel arc8 chapter31

บทที่ 8 ตอนที่ 31 "ก้อนศิลา"

ในขณะที่มหาวิญญาณตนอื่นอย่าง “เดรัจฉานศักดิ์สิทธิ์” “จอมเชือดไม่เลือกหน้า” และ “อนุญาโตตุลาการ” ต่างมีเหตุการณ์หรือการกระทำที่สร้างชื่อเสียงจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์

“ก้อนศิลา” มุสเปลกลับแทบไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย ผู้คนรู้กันเพียงว่ามันสิงสถิตอยู่ในจักรวรรดิวอลลาเคีย แต่ก็ไม่มีใครทราบตำแหน่งที่แน่ชัด

เรียกได้ว่ามุสเปลเป็นมหาวิญญาณที่ทำตัวสมกับเป็นวิญญาณที่สุด มันเป็นเพียงแค่ “เขตเทพารักษ์” ตามสมญานาม

ที่ว่ามาคือเรื่องราวของมุสเปลที่เบียทริซเล่าให้สุบารุฟัง ซึ่งสุบารุจับผิดได้ทันทีว่ามันขัดแย้งกับสิ่งที่วินเซนต์พึ่งเล่า เพราะเขาดูท่าทางจะมั่นใจว่ามุสเปลเคยอยู่ในเมืองการ์คลา

แต่พอสุบารุชี้หน้าถามวินเซนต์ในประเด็นนั้น จามาลก็ตวัดดาบตัดส่วนปลายเล็บสีขาวของเขาจนขาดกระเด็น ทำเอาสุบารุเหวอจนร้องเสียงประหลาด

วินเซนต์จึงรีบออกปากห้ามมวยจามาลไว้ก่อนเนื่องจากเอมิเลีย เบียทริซ และสปิก้าต่างพากันจ้องเขาเขม็งข้อหาพยายามทำร้ายสุบารุ

จามาล: ในเมื่อองค์จักรพรรดิทรงตรัสเช่นนั้นแล้ว …ชิ รอดตัวไปนะ ไอ้เด็กเปรต

สุบารุ: ในสถานการณ์แบบนี้ยังกล้าพูดแบบนั้นอีกเหรอฟะ… ตะกี้รู้สึกอย่างกับว่าพันธมิตรเกือบเป็นโมฆะแล้วก็จักรวรรดิเกือบล่มสลายแน่ะ

ในมุมมองของวินเซนต์ จามาลถือเป็นหมากที่ใช้งานง่าย แม้ว่าเขาจะหุนหันพลันแล่นไปหน่อย แต่ก็ยังไม่หนักข้อเท่าเซซิลุส

. วินเซนต์อธิบายเพิ่มว่ามุสเปลเคยถูกตรึงเอาไว้ที่การ์คลาด้วยวิธีการบางอย่าง เพื่อเปลี่ยนให้เมืองนี้กลายเป็นเขตเทพารักษ์

เบียทริซฟังแล้วรู้สึกกังขา เนื่องจากเธอเคยได้ยินมาจากท่านแม่ว่ามุสเปลเป็นมหาวิญญาณที่สื่อสารด้วยยากที่สุด

เธอเสริมว่า “เดรัจฉานศักดิ์สิทธิ์” ไม่ยอมฟังที่คนอื่นพูดที่สุด และ “จอมเชือดไม่เลือกหน้า” ไม่น่าคุยด้วยที่สุด ส่วน “อนุญาโตตุลาการ” ก็คุยด้วยแล้วเปล่าประโยชน์ที่สุด

สุบารุ: ไม่ต่างกันเลยไม่ใช่เหรอฟะนั่น! พัค ช่วยกลับมาที!

เบียทริซ: ท่านแม่บอกว่า “เดรัจฉานศักดิ์สิทธิ์” เป็นผีผู้ทรงคุณธรรมด้วยกระมัง

สุบารุ: เฮ้ยๆ ถึงจะอยากเห็นแลนมาร์คทุกแห่งในโลกใบนี้ก็เถอะ มันไม่ได้แปลว่าอยากเจอตัวตนที่มีชื่อเสียงให้ครบหมดนะเฟ้ย… แต่จะว่าไป มันก็เจ๋งดีนี่หว่า?

. วินเซนต์เสริมต่อว่ามุสเปลคือมหาวิญญาณประจำธาตุปฐพี ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อจักรวรรดิวอลลาเคียเป็นอย่างมาก

ผืนดินที่มันสถิตอยู่จะกลายเป็นเขตเทพารักษ์ที่ได้รับการปกปักษ์รักษา แผ่นดินอุมสมบูรณ์ พืชผลออกผลออกดอกดี ผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บที่อาศัยอยู่ก็หายไวขึ้น

เรียกได้ว่า “ก้อนศิลา” มุสเปลคือเสาหลักที่อยู่เบื้องหลังความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมืองประจำจักรวรรดิวอลลาเคีย

ดังนั้น การที่วินเซนต์ยอมเปิดเผยข้อมูลสำคัญเช่นนี้แก่พันธมิตรจากประเทศอื่น แปลว่าเขาต้องชั่งใจมาพอสมควรว่าสถานการณ์มันถึงขั้นวิกฤติจริงๆ

นอกจากนี้จักรพรรดิตัวปลอม(จิชา)ยังได้ฝากฝังคำเตือนไว้กับฟล็อปว่าฝั่งศัตรูอาจจะเล็งใช้งานมุสเปลอยู่ ซึ่งป่านนี้คงยากที่จะเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา

เอมิเลีย: เอ่อคือ… จะว่าไปแล้ว นี่แปลว่าทางจักรวรรดิกับมุสเปลมีความสัมพันธ์แบบผูกสัญญากันหรือเปล่านะ?

วินเซนต์: หากสัญญาที่เจ้าคิดอยู่หมายถึงสัญญาระหว่างวิญญาณกับผู้ใช้วิชาก็เข้าใจผิดแล้วล่ะ “ก้อนศิลา” มิได้มีจิตสำนึกเช่นนั้นอยู่ ทางเรามิสามารถทำสัญญาเพื่อเป็นนายหรือเท่าเทียมกับมันได้

สุบารุ: วอลลาเคียเนี่ยจะทำสัญญากับวิญญาณยังต้องพูดถึงข้อดีข้อเสีย จงดูซะ ความสัมพันธ์ที่แสนบริสุทธิ์และอบอุ่นระหว่างชั้นกับเบียทริซ

เบียทริซ: แบบนี้ไงยะ

วินเซนต์เมินเฉยสุบารุกับเบียทริซที่จับมือกับก้าวออกจังหวะเหมือนอยากอวด แล้วเล่าต่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิกับมุสเปลเป็นเพียงการใช้ประโยชน์เท่านั้น

แต่มุสเปลก็ปักถิ่นฐานอยู่แต่ในวอลลาเคียและคอยฝังรากของมันลงไปทั่วผืนดินของประเทศนี้ ดังนั้น ทันทีที่แผ่นดินสูญเสียรากเหล่านั้นไป จักรวรรดิก็จะถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน

. สุบารุเริ่มรู้ซึ้งถึงความร้ายแรงของวิกฤตการณ์ปัจจุบันและหวาดเสียวว่าวินเซนต์จะไม่ปล่อยให้ทุกคนที่ได้ล่วงรู้จุดอ่อนข้อร้ายแรงของวอลลาเคียรอดชีวิตกลับไปได้หลังจบเรื่องลง

วินเซนต์: อย่าได้ดูหมิ่นกัน หากมีจุดประสงค์เช่นนั้นจริง คิดว่าทางเราจะปล่อยให้พวกเจ้ากังขาถึงเรื่องนั้นเชียวหรือ มิได้มีเพียงราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์หรอกนะที่ชอบเล่นเล่ห์กลและตลบหลังน่ะ

สุบารุ: ปกติจักรวรรดิต้องเป็นคนอวดเรื่องนั้น ส่วนราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควรเป็นพวกที่ย่อยยับก่อนชาวบ้านไม่ใช่เรอะ?

ยิ่งได้ฟังสุบารุเริ่มรู้สึกว่าราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เองก็เลวร้ายไม่ต่างอะไรจากวอลลาเคีย ตัวเขาถือว่าโชคดีแล้วที่ได้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรลูกุนิก้า

ถึงแม้ว่ามันจะมีเรื่องเลวร้ายอยู่บ้าง แต่การที่สุบารุได้พบกับพวกเอมิเลียก็ทำให้ลูกุนิก้าเปรียบได้ดั่งสรวงสวรรค์

. วินเซนต์สรุปว่าตอนนี้ฝั่งศัตรูกำลังพยายามถอนรากถอนโคนวอลลาเคีย แถมการระบุตำแหน่งของมันเพื่อกำจัดทิ้งยังทำได้ยากไม่ต่างจากการเอาปากกาไปสู้กับมังกร

ที่ก่อนหน้านี้วินเซนต์บอกว่าพวกตนไม่เหลือเวลาแล้ว ก็เนื่องจากว่ายิ่งกำจัดผีดิบมากและยิ่งเสียทหารฝั่งตนมากเท่าไหร่ แผ่นดินของวอลลาเคียก็จะยิ่งล่มสลายไวขึ้นเท่านั้น

สรุปแล้วนี่คือศึกที่ต่อให้พวกสุบารุตั้งรับไปได้เรื่อยๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้อยู่ดี

ท่ามกลางสถานการณ์ที่แลดูสิ้นหวังนั้น เอมิเลียสงสัยขึ้นมาว่าสฟิงซ์มีแรงจูงใจอะไรถึงอยากทำลายจักรวรรดิ เพราะสฟิงซ์ควรจะเคียดแค้นลูกุนิก้ามากกว่าด้วยซ้ำ

ยุลิอุสจึงเสนอมุมมองว่าสฟิงซ์อาจจะเลือกทำลายจักรวอลลาเคียเพราะตรงเงื่อนไขในการสร้างกองทัพซอมบี้จำนวนไม่สิ้นสุดพอดี จากการมีมุสเปลสิงสถิตอยู่

ไม่แน่ว่าหลังจากที่ทำลายจักรวรรดิจนสิ้นแล้ว สฟิงซ์อาจจะนำกองทัพซอมบี้บุกโจมตีลูกุนิก้าต่อทันที

กอซเดือดดาลขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าวอลลาเคียอาจจะเป็นเพียงแค่ “ทางผ่าน” หรือหนึ่งใน “ขั้นตอน” สำหรับแผนการทำลายราชอาณาจักรของสฟิงซ์

. เบียทริซกับรอสวาลเห็นต่างเล็กน้อย ทั้งสองมองว่าสฟิงซ์ไม่น่าหลงเหลืออารมณ์ของมนุษย์อย่าง “ความเคียดแค้น” อยู่แล้ว ยุลิอุสจึงอาจจะพูดถูกแค่ครึ่งเดียว

กล่าวคือ สฟิงซ์เลือกทำลายจักรวรรดิเพียงเพราะว่าดันตรงเงื่อนไขการสร้างกองทัพซอมบี้ เธอทำไปเพียงเพราะสงสัยว่าทำได้จริงไหม ไม่ได้มีเหตุผลลึกซึ้งอะไรมากกว่านั้น

ไม่ว่าแรงจูงใจของสฟิงซ์จะเป็นกรณีไหนก็เลวร้ายพอกัน และที่แน่ๆ เธอได้ตั้งตัวเป็นศัตรูของจักรวรรดิไปแล้ว ฝั่งวอลลาเคียจึงตั้งมั่นที่จะกำจัดนังแม่มดอย่างเต็มที่

โดยเฉพาะเบลสเต็ตซ์ที่ยังแค้นเคืองสฟิงซ์ที่ดูหมิ่นราชวงศ์วอลลาเคียด้วยการคืนชีพพวกเขากลับมาเป็นของเป็นผีดิบเพื่อใช้งานไม่หาย

สฟิงซ์ไม่ใช่ศัตรูประเภทที่คุยด้วยรู้เรื่อง สุบารุรู้ได้ชัดจากการที่เธอใช้ชีวิตของตัวเองแบบทิ้งขว้างเพื่อกำจัดพวกตน เรียกได้ว่าเป็นศัตรูที่สุบารุไม่ถนัดรับมือเลย

ในศึกหลังจากนี้ ฝั่งจักรวรรดิไม่สามารถรีรอและยังไม่สามารถยกทัพใหญ่ไปบุกโจมตีแลกกับทัพศัตรูได้อีก ยิ่งแลกชีวิตกันมาก มุสเปลยิ่งหมดมานาเร็ว

ดังนั้น วินเซนต์จึงประกาศกลยุทธิ์เดียวที่จะช่วยให้จักรวรรดิวอลลาเคียรอดพ้นจาก “มหาภัยพิบัติ” ซึ่งจะนำไปสู่ศึกตัดสินสุดท้าย

วินเซนต์: ――ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นกลุ่มขนาดเล็กจะบุกเข้าไปยังนครหลวงจักรวรรดิ เพื่อจับตัว “แม่มด” ผู้เป็นตัวการหลัก จากนั้น เส้นทางสู่ “มหาภัยพิบัติ” ที่เจ้านั่นวางเอาไว้อย่างแยบยลก็จะพังทลายลง

. ก่อนที่การหารือเพื่อคัดเลือกสมาชิกกลุ่มบุกโจมตีนครหลวงแบบสายฟ้าแลบจะเริ่มขึ้น วินเซนต์ได้สั่งให้พักการประชุมไปก่อน

หลังจากที่องค์ประชุมออกจากห้องไปจนเหลือเพียงแค่จักรพรรดิและเสนาบดีในห้องประชุม เบลสเต็ตซ์ก็เปิดบทสนทนาขึ้นต่อ

ตามกำหนดการแล้ว ช่วงเวลานี้ของปี ตำแหน่งเขตเทพารักษ์ของมุสเปลควรจะย้ายไปอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้บริเวณใกล้เมืองเมโซเรย์อา

เบลสเต็ตซ์คาดไม่ถึงเลยว่าจิชาจะสามารถแอบเคลื่อนย้ายตำแหน่งของเมโซเรย์อามาไว้ที่เมืองการ์คลาลับหลังเขาได้

สรุปแล้วจิชาสามารถเดินหมากเหนือกว่าทั้งองค์จักรพรรดิและอัครเสนาบดี แถมยังเตรียมการสำหรับ “มหาภัยพิบัติ” ล่วงหน้าได้

ถ้าหากมุสเปลยังอยู่ที่เมืองการ์คลา วินเซนต์ก็จะสามารถใช้เมืองนี้เป็นฐานที่มั่นหลักได้ แต่ถ้าหากมุสเปลไม่อยู่ที่การ์คลา ก็แปลว่าแผนการของศัตรูจำเป็นต้องพึ่งพามุสเปล

. เบลสเต็ตซ์กล่าวแบบอ้อมค้อมว่าหลังจากที่เรื่องทั้งหมดจบลง เขาคงจะลาออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีเพื่อไถ่บาปแทนลาเมีย

เบลสเต็ตซ์: ไม่นึกเลยว่าฝ่าบาทจะเปิดเผยเรื่อง “ก้อนศิลา” และเขตเทพารักษ์ การถอดเอา “ก้อนศิลา” ออกจากแผ่นดินของประเทศดูท่าจะอีกยาวไกลด้วย

วินเซนต์: ทันทีที่เรื่องครั้งนี้จบลง เราจะสานต่อนโยบายระดับชาติที่ยังคงค้างคาอยู่ หากทำไม่สำเร็จภายในสองปีก่อนที่สนธิสัญญาสงบศึกกับราชอาณาจักรจะหมดลงล่ะก็ ต่อให้รอดจากวันนี้ไปได้ก็คงไร้อนาคตอยู่ดี

เบลสเต็ตซ์: พะยะค่ะ จะว่าไป… ไม่ได้เปิดเผยวิธีการตรึง “ก้อนศิลา” เอาไว้ อย่างที่คิดเลยนะขอรับ เรื่องนั้นไม่เพียงแค่เป็นความลับของจักรวรรดิ แต่มันยังเกี่ยวพันถึงพันธมิตรของเราด้วย

วินเซนต์: ก็เพราะว่านัตสึกิ สุบารุกับฮาล์ฟเอลฟ์ผู้ใช้ศาสตร์วิญญาณใจบริสุทธิ์เกินไปล่ะนะ ――ขืนให้รู้ว่าทางเราใช้อาชญากรที่ต้องโทษประหารเป็นผู้ทำสัญญากับ “ก้อนศิลา” แบบใช้แล้วทิ้งจนกว่าจะตายคงน่าปวดหัวแย่

วิธีการอย่างง่ายที่สุดในการที่จะตรึงมุสเปลเอาไว้ยังสถานที่ใดสักแห่งก็คือการทำสัญญาระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ

ทว่า ผู้ทำสัญญาไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขสัญญาได้เลยเนื่องจากมุสเปลนั้นเป็นวิญญาณที่ไร้ซึ่งจิตสำนึก

ดังนั้น ราคาที่ต้องจ่ายในการทำสัญญากับมุสเปลจึงเป็นการแบกรับความรู้สึกว่างเปล่าก้อนมหึมาอยู่ตลอดเวลา

การถูกบังคับให้แบ่งปันประสาทสัมผัสกับตัวตนไร้จิตสำนึกร่างใหญ่ยักษ์ย่อมทำให้จิตใจของมนุษย์แตกสลายจนไม่สามารถคงรูปลักษณ์เดิมเอาไว้ได้

. ปกติจักรวรรดิจะคอยเตรียมนักโทษประหารไว้ทำสัญญากับมุสเปลบริเวณพื้นที่ที่ต้องการเปลี่ยนให้เป็นเขตเทพารักษ์

โดยจะคอยเปลี่ยนตำแหน่งเขตเทพารักษ์หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ภายในประเทศ แต่ว่า วินเซนต์ไม่พบตัวนักโทษประหารผู้ทำสัญญาที่เมืองการ์คลาเลย

หากปล่อยให้มุสเปลคลาดสายตาไปสักครั้ง การตามหาตำแหน่งของมันจะทำได้ยากลำบากเป็นอย่างมาก แถมครั้งนี้มันยังตกไปอยู่ในมือของศัตรูอีกต่างหาก

วินเซนต์เลือกที่จะไม่เปิดเผยรายละเอียดเรื่องมุสเปลมากไป เนื่องจากพวกสุบารุอาจจะสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจต่อตัวเขา ถึงแม้ว่าสมาชิกพรรคบางคนอาจจะพอเดาได้ก็ตาม

ตอนนั้นเองที่วินเซนต์เริ่มเอะใจถึงตัวช่วยที่อาจเป็นทางออกของวิกฤตการณ์นี้ แต่การจะพึ่งพาบุคคลนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็นสุดๆ ไปเลย

วินเซนต์: ถ้าหากว่าเรามีโอกาสที่จะระบุตำแหน่งของ “ก้อนศิลา” ได้อยู่ล่ะก็ คงต้องอาศัยสุนัขล่าเหยื่อที่มีจมูกไว้ตามกลิ่นเหยื่อที่เหนือสามัญสำนึก แต่เกรงว่าเรื่องนั้นจะเป็นไปได้ยาก

. ตัดไปยังที่ใดสักแห่งในนครหลวงจักรวรรดิลูปุกาน่า บุคคลหนึ่งกำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นที่เปียกแฉะ ในสภาพที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ส่วนจิตใจก็บอบช้ำอย่างหนัก

ทว่า ความเสียหายหลักที่ทำให้บุคคลนี้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้คือความเสียหายที่กระทบถึงดวงวิญญาณ

ตั้งแต่ที่เกิดมาตราบจนปัจจุบัน มีเพียงสิ่งเดียวที่มีคุณค่าต่อตัวเธอ แต่แล้วเธอกลับถูกสิ่งสำคัญที่ว่านั้นปฏิเสธ

เธอจึงสูญเสียความหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อ สูญเสียความหมายของตัวตนเธอเอง ทำได้เพียงแต่นอนแผ่ราบอยู่บนพื้นแฉะๆ และพึมพำออกมาเบาๆ

อาราเคีย: องค์หญิง…

. จบตอน