หลังจากที่ให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาววอลลาเคียกว่าครึ่งหนึ่งอพยพเข้าสู่เมืองการ์คลาจนเสร็จสิ้น “กุสตาฟ มอเรโล” ก็ได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิวินเซนต์ ณ ห้องแห่งหนึ่งภายในป้อมปราการใหญ่
ในฐานะกุนซือของหน่วยรบเพลอาเดส กุสตาฟได้เลือกพาตัว “อิโดร่า มิซันก้า” มาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยกัน เนื่องจากว่าอิโดร่าเป็นทาสดาบที่สุขุมและใจเย็นที่สุด
แต่พออิโดร่าได้เข้าพบจักรพรรดิตัวจริงเป็นครั้งแรก ข่าวลือที่ว่าผู้เข้าเฝ้าจักรพรรดิวินเซนต์ต้องเตรียมใจตายไว้ทุกเมื่อ ก็ทำให้เขาออกอาการกระสับกระส่ายจนหน้าซีดเผือก
กุสตาฟถือโอกาสแนะนำตัวอิโดร่าว่าเป็นทาสดาบมีความสามารถที่ช่วยเหลืองานเขาได้ดี และน้อมขอให้วินเซนต์ให้การอภัยโทษแก่อิโดร่าหลังศึกครั้งนี้จบลง
วินเซนต์เชื่อว่าคำพูดของกุสตาฟมีน้ำหนักและแนะนำให้อิโดร่าสร้างผลงานเอาไว้ แล้วหลังจบศึกจะได้รับการพิจารณาเรื่องอภัยโทษอีกที
อิโดร่าซาบซึ้งใจจนก้มหัวโขกพื้นเพื่อโค้งคำนับ กุสตาฟรู้สึกเลยได้ว่าวินเซนต์เปลี่ยนไป เขาดูมีความเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ต่อบริวารอย่างที่กุสตาฟไม่เคยเห็นมาก่อน
ถ้าหากเป็นวินเซนต์เมื่อก่อน เขาคงจะทำตัวเย็นชากับบริวารที่มิอาจมองการณ์ไกลได้เท่ากับตัวเขาผู้ชาญฉลาด
. วินเซนต์ถามขึ้นว่าเหตุใดกุสตาฟถึงได้กล้าละทิ้งหน้าที่อุปราชแห่งเกาะกินุนไฮฟ์อันสูงศักดิ์ที่ตัวเขามอบให้ แล้วนำกองทัพทาสดาบบุกมายังนครหลวงจักรวรรดิ
โดยวินเซนต์ขู่ว่ากุสตาฟควรเลือกคำตอบให้ดี มิเช่นนั้นเขาอาจจะได้เสียแขนไปสองข้างจากสี่ กระนั้นกุสตาฟก็ยังตอบอย่างใจเย็นว่าตัวเขามิได้ละทิ้งหน้าที่อุปราช
แถมพอกุสตาฟประกาศว่าผู้นำกองทัพทาสดาบไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นองค์ชายรัชทายาท ดวงตาของวินเซนต์ก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจในทันที
ปกติกุสตาฟเชื่อฟังคำสั่งของวินเซนต์อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ถ้าหากคราวนี้เขาไม่ได้ตีความคำสั่งของวินเซนต์ใหม่ตามใจชอบอย่างที่สุบารุโน้มน้าว
ป่านนี้กุสตาฟคงยังกบดาลอยู่บนเกาะทาสดาบกินุนไฮฟ์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกเกิดวิกฤติการณ์อะไรขึ้นบ้าง
วินเซนต์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะประนีประนอมให้กุสตาฟและหน่วยรบเพลอาเดสพิสูจน์ตนเองหลังจากนี้ไปว่าการขัดคำสั่งในสถานการณ์ฉุกเฉินคราวนี้มันสมควรแก่เหตุหรือไม่
. อิโดร่า: ขะ…ขออนุญาตเรียนถามอะไรสักหน่อยได้ไหม องค์จักรพรรดิ…
พอหมดธุระแล้ว วินเซนต์ได้สั่งให้พวกกุสตาฟออกไปได้ ทว่า ตอนนั้นเองที่อิโดร่าผู้ก้มหัวอยู่เงียบๆ มาสักพักได้เอ่ยถามขึ้นแบบเสียมารยาทต่อจักรพรรดิ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
วินเซนต์: ――ว่ามาสิ
อิโดร่า: หลังจากที่การต่อสู้นี้จบลง ฝ่าบาทคิดจะทำเช่นไรกับบุตรชาย… คิดจะทำเช่นไรกับองค์ชายชวาร์ซงั้นหรือขอรับ?
กุสตาฟ: มิซันก้า!?
การที่จะถามเรื่องเช่นนั้นต่อหน้าจักรพรรดิ ต้องอาศัยความกล้าบ้าบิ่นอันน่าเหลือเชื่อ แต่เดิมทีหน่วยรบเพลอาเดสก็ตั้งขึ้นเพื่อโค่นบัลลังก์ของวินเซนต์ อิโดร่าจึงรวบรวมความกล้าถามออกไป
วินเซนต์: ――อิโดร่า มิซันก้า การที่เจ้านั่นควรอยู่หรือไป มันมิใช่สิ่งที่ตัวข้าสามารถตัดสินใจได้
คำตอบของวินเซนต์มันชวยงงเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ แต่ถึงอย่างไรกุสตาฟก็ไม่อยากที่ปล่อยให้อิโดร่าเผลอหลุดปากถามอะไรที่เสี่ยงไปมากกว่านี้
กุสตาฟ: ยอมถอยตั้งแต่ตอนที่คอยังติดอยู่กับบ่าซะ ――ขืนลามปามมากกว่านี้จะล้ำเส้นเกินไป ต้องขอประทานอภัยแทนองค์ชายชวาร์ซด้วยขอรับ
กุสตาฟรีบใช้มือสองข้างอุ้มอิโดร่าขึ้นมา พลางใช้มืออีกสองข้างปิดปากเขาเอาไว้ จากนั้นก็โค้งคำนับให้วินเซนต์แล้วรีบออกจากห้องไป
. วินเซนต์ครุ่นคริดอยู่ในใจว่าการที่สุบารุสามารถโน้มน้าวเหล่าทาสดาบรวมถึงคนหัวแข็งอย่างกุสตาฟให้รวมพลแหกกฎได้ถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างมาก
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งได้ข้อสรุปว่าถ้าหากสุบารุเป็น “นักอ่านดารา” ทุกอย่างมันคงจะสมเหตุสมผลมากกว่านี้
วินเซนต์เลือกที่จะหันไปไตร่ตรองเรื่องสำคัญที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งก็คือการคัดเลือกสมาชิกผู้เข้าร่วมกลุ่มบุกจู่โจมนครหลวงของฝั่งจักรวรรดิ โดยเขาปล่อยให้ฝั่งลูกุนิก้าเลือกคนกันเอง
ในด้านการป้องกันเมืองการ์คลา วินเซนต์มองว่าเขาสามารถฝากฝังให้เบลสเต็ตซ์กับเซรีน่าเป็นผู้กำกับดูแลได้ รวมถึงให้แม่ทัพกอซเป็นผู้นำกองทหารฝ่ายป้องกัน
ปัญหาคือวินเซนต์กังวลว่าเซซิลุสอาจจะกำลังอาละวาดอยู่ในนครหลวง ซึ่งอาจส่งผลให้มานาของ “ก้อนศิลา” ถูกสูบมาใช้จนหมด นำไปสู่การล่มสลายของวอลลาเคีย
ถึงแม้ว่าวินเซนต์อยากจะเห็นการตัดสินใจของจิชาผิดพลาดขึ้นมาสักครั้ง แต่เขาก็ขำไม่ออก ถ้าหากว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศของตนต้องจบสิ้น
. จามาล: ――เดี๋ยว… ช้าก่อน! มีคำสั่งว่าห้ามให้ใครเข้านะขอรับ ท่านจักรพรรดินี!
มีเดียม: บอก-แล้ว-ไง-เล่า! ว่าชั้นยังไม่ได้ตอบตกลงเลยน่ะ! อาเบลจิน! ว่างคุยรึเปล่า!
วินเซนต์: ไม่ว่าง
ตอนนั้นเองที่มีเดียม โอคอนเนลเปิดบานประตูออก แล้วเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหาองค์จักรพรรดิทั้งที่ยังสะพายมีดพร้าสองเล่มอยู่
วินเซนต์ไม่พอใจที่จามาลยอมปล่อยให้มีคนเข้าห้องมาพบเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งที่สั่งห้ามเอาไว้แล้ว
จามาลแก้ต่างว่าต่อให้ทหารยศใหญ่กว่ามาสั่ง เขาก็จะไม่อนุญาตให้เข้าห้องเด็ดขาด เพียงแต่ว่าพอเป็น “มเหสี” อย่างมีเดียม จามาลก็ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร
. ฟล็อปตามมาพบวินเซนต์ด้วยกันกับน้องสาว แถมเขายังแอบบอกวินเซนต์หมดเปลือกว่าก่อนหน้านี้มีเดียมเศร้าจนเอาแต่ร้องไห้และเก็บตัวอยู่ในห้องพัก
มีเดียมสารภาพว่าเธอไม่ได้เกลียดวินเซนต์ แต่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเป็นมเหสีเลย
ฟล็อปจึงพยายามโน้มน้าวเธอว่าบางหน้าที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก่อนก็เป็นได้และการเป็นน้องสาวกับมเหสีมีรากฐานเหมือนกัน ซึ่งมีเดียมไม่หลงกลตามน้ำไปด้วย
วินเซนต์: ถ้าพวกเจ้ายังหาข้อสรุปกันเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาพูดให้ข้าฟัง ข้าไม่ได้ว่างหรอกนะ จามาล ลากตัวเจ้าพวกนี้ออกไปซะ
มีเดียม: อ๊ะ เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ! เรื่องที่ว่าชั้นจะเป็นมเหสีหรือเปล่ามันไม่ได้สำคัญในตอนนี้เลย! ที่อยากคุยกับอาเบลจินไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น…
วินเซนต์: งั้นอะไรล่ะ
มีเดียม: ชั้นเอง ก็อยากไปนครหลวงจักรวรรดิเหมือนกัน!
. วินเซนต์เข้าใจทันทีว่าแรงจูงใจของมีเดียมคือ “บัลรอย เทเมกริฟ” อดีตแม่ทัพเทวะลำดับ 9 ผู้มีฉายาว่า “มือปืนกระสุนมนตรา”
สองพี่น้องโอคอนเนลเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของบัลรอยมาตั้งแต่สมัยเด็ก พวกเขาได้พบกันผ่านการดูแลของไฮเคาน์เตสเซรีน่า ดราครอย
วินเซนต์ที่พึ่งเกือบได้สังหารน้องสาวที่คืนชีพกลับมาพอเข้าใจความรู้สึกเศร้าโศกของสองพี่น้องอยู่บ้าง
มีเดียมอยากได้โอกาสในการพูดคุยกับบัลรอยอีกสักครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นผีดิบไปแล้ว เธอสื่อสารไม่ค่อยเก่ง แต่ก็พยายามเรียบเรียงคำพูดตามหัวใจออกมา
มีเดียม: เพราะว่าชั้นน่ะ อยากเป็นภรรยาของพี่บัลยังไงล่ะ
วินเซนต์: ――สรุปคือใช้อารมณ์ตัดสินล้วนๆ สินะ
มีเดียมขอร้องวินเซนต์สภาพน้ำตาคลอ ฟล็อปเล่าว่าเขาพยายามห้ามน้องสาวแล้ว แต่เรื่องนี้สำคัญต่อมีเดียมมากจนเธออยากตัดสินใจด้วยตัวเอง
. วินเซนต์ไตร่ตรองกำลังรบของมีเดียมดู จริงอยู่ว่าเธอแข็งแกร่งกว่าทหารจักรวรรดิทั่วไป แต่ฝีมือดาบน่าจะเป็นรองจามาลอยู่ดี
เพราะงั้นการเพิ่มมีเดียมในหน่วยจู่โจมจึงไม่ส่งผลอะไรต่อกำลังรบมากนัก แต่ในขณะเดียวกัน การเพิ่มเธอเข้าไปก็ไม่ได้ส่งผลเสียเช่นกัน
วินเซนต์: ――อยากทำอะไรก็ตามใจ
มีเดียม: …! ได้เหรอ? อาเบลจิน
วินเซนต์อนุญาตให้มีเดียมเข้าร่วมกลุ่มจู่โจมได้ โดยมีข้อแม้ว่าเธอจะต้องดูแลตัวเองให้ได้ เพราะในศึกสำคัญข้างหน้าจะไม่มีใครคอยช่วยปกป้องเธอ (แม้ว่ามีเดียมจะมีสถานะเป็นผู้มีคุณสมบัติขึ้นเป็นมเหสีก็ตาม)
มีเดียมรู้สึกโล่งใจในคำตอบของวินเซนต์ เธอสามารถเตรียมใจยอมรับความเสี่ยงนั้นได้ เนื่องจากมีเดียมคุ้นชินกับการปกป้องตัวเองและพี่ชายมาโดยตลอดอยู่แล้ว
วินเซนต์: พรุ่งนี้เช้า สมาชิกกลุ่มที่คัดเลือกจะมุ่งหน้าไปยังนครหลวงจักรวรรดิ เตรียมตัวไว้ให้พร้อมซะ
. ส่วนทางด้านฟล็อปก็ได้ตัดสินใจว่าเขาไม่อยากเป็นตัวถ่วงของน้องสาวและขออยู่รอที่เมืองการ์คลา โดยฝากฝังเรื่องบัลรอยให้มีเดียมเป็นคนจัดการ
วินเซนต์กังขาว่ามีเดียมจะได้เจอกับบัลรอยที่ลูปุกาน่า แต่ฟล็อปมองว่ายังไงทั้งสองคนต้องได้พบกันแน่นอน เพราะเขาเชื่อมั่นในความนิสัยเสียของ “โชคชะตา”
มีเดียม: เจอกันพรุ่งนี้นะ อาเบลจิน! ถ้าไม่หลับให้เต็มที่ ระวังขอบตาจะดำเอาล่ะ!
มีเดียมโบกมือลาอย่างร่าเริงก่อนเดินจากไป ไม่หลงเหลือภาพของเด็กสาวขี้แยก่อนหน้านี้แล้ว ฟล็อปที่กำลังตามหลังน้องสาวหยุดเดินกลางคันแล้วหันมาคุยทิ้งท้ายกับวินเซนต์
ฟล็อป: องค์จักรพรรดิคุง ขอบคุณนะ
วินเซนต์: มีเรื่องอะไรให้น่าขอบคุณงั้นรึ?
ฟล็อป: ขอบคุณที่ใส่ใจมีเดียม… ไม่สิ ขอบคุณที่ใส่ใจความรู้สึกของพวกเรา แล้วก็ ขอบคุณที่ไม่ประณามมีเดียมที่รักบัลรอย ถึงแม้ว่าเธอจะมีโอกาสขึ้นเป็นมเหสีน่ะ
วินเซนต์: จะให้ลงโทษเพราะความรักรึไง? ถ้าทำอะไรไร้หัวคิดเช่นนั้น มันคงจะน่าสมเพชเกินไป
วินเซนต์รู้สึกรำคาญเล็กน้อยที่คำตอบเชิงเหน็บแนมของเขาดันทำให้ฟล็อปยิ้มออกมาเสียแทน
. จบตอน