webnovel arc8 chapter34

บทที่ 8 ตอนที่ 34 "อธิบายแล้วถึงจะให้อภัย"

เช้าวันออกเดินทางสู่นครหลวงลูปุกาน่าได้มาถึง ศึกที่จะตัดสินชะตากรรมของจักรวรรดิวอลลาเคียใกล้มาถึงแล้ว

ผู้ลี้ภัยจากเมืองใกล้เคียงยังคงแห่กันเข้าสู่เมืองการ์คลาไม่ขาดสาย เอมิเลียกล้ำกลืนความรู้สึกเสียใจที่เธอไม่สามารถช่วยเหลือผู้อพยพได้และหันมาจดจ่อกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแทน

ที่ข้างตัวเธอมี “ชูลท์” พ่อบ้านตัวน้อยอยู่ด้วยเช่นกัน ชูลท์ไหว้วานให้เอมิเลียช่วยพาพริสซิลล่า อัล และไฮน์เคลกลับมา

เอมิเลียจึงสัญญาว่าเธอจะลากตัวพริสซิลล่ากลับมาให้ได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะปฏิเสธการช่วยเหลือก็ตาม

ในขณะเดียวกันอูตาคาตะก็เป็นห่วงความหุนหันพลันแล่นของเอมิเลีย เธอจึงฝากให้เบียทริซช่วยจับตาดูเอมิเลียเอาไว้ด้วย

. ห่างไปไม่ไกลนัก มีเดียมก็กำลังบอกลาฟล็อปและเซรีน่า ดราครอย ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณที่เคยรับอุปถัมภ์เธอกับพี่ชายสมัยเด็ก

เมื่อห้าปีก่อนพี่น้องโอคอนเนลได้บอกลาเซรีน่าเพื่อออกไปใช้ชีวิตของตนเอง ทั้งคู่ไม่นึกว่าจะได้กลับมาเจอเซรีน่าอีกครั้งในช่วงสงครามกลางเมือง

เซรีน่า: นึกไม่ถึงเลยว่ามีเดียมคนนั้นจะนำหน้าฉันทั้งเรื่องส่วนสูงและยศถาบรรดาศักดิ์ ไว้ได้ขึ้นเป็นมเหสีของฝ่าบาทเมื่อไหร่แล้ว ก็รบกวนช่วยเหลือเกื้อกูลกันบ้างล่ะ

มีเดียม: โธ่~ ตอนนี้กำลังพยายามไม่คิดถึงเรื่องนั้นอยู่แท้ๆ! จากนี้ไป ชั้นกำลังจะไปพบพี่บัล เลยจะมัวคิดถึงเรื่องอาเบลจินไม่ได้

ก่อนจากลา เซรีน่าวางมือสัมผัสแก้มของมีเดียมแบบเดียวกับเมื่อห้าปีก่อน แล้วรำพึงว่าเธออิจฉามีเดียมที่กล้าไปเผชิญหน้าผีดิบบัลรอยอย่างไร้ความลังเล

ตอนที่เซรีน่าถูกบิดาตนเองทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าพร้อมคำสาปแช่งก่อนตาย เธอรู้สึกเจ็บปวดก็จริง แต่กลับมีเพียงโลหิตที่ไหลอาบแทนน้ำตา

แผลเป็นรอยนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนการเกิดใหม่ของเซรีน่า เธอภาวนาให้มีเดียมได้ผลลัพธ์ที่มุ่งหวังจากศึกครั้งนี้และขอให้มีเดียมไม่ต้องเสียโฉมเพื่อแลกกับสิ่งนั้นแบบตัวเธอ

มีเดียม: …อื้อ พี่เซรีน่า มีอะไรที่อยากจะบอกกับพี่บัลอยู่ไหม? ชั้นจะช่วยเอาไปบอกต่อให้ได้อย่างแน่นอนเลยล่ะ

เซรีน่า: นั่นสินะ ――“กลับไปนอนซะ ไมลซ์เขาบ่นใหญ่เลยว่าไม่มีนายอยู่ด้วยแล้วน่าเบื่อ”

มันคือข้อความที่สมกับเป็นเซรีน่า ทั้งหยาบห้วน แต่ก็เปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใยต่อบุคคลที่มีสถานะก้ำกึ่งระหว่างบริวารและน้องชายของเธอ

. อิโดร่า: ชวาร์ซ ในกรณีเลวร้ายสุด ต่อให้นายไม่กลับมาก็ไม่คิดจะว่ากันหรอกนะ

สุบารุ: เฮ้ยๆ

ตัดไปอีกทางหนึ่ง อยู่ดีๆ อิโดร่าก็โพล่งพูดจาแปลกๆ ขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังจนสุบารุไม่รู้จะตอบกลับเขาอย่างไรดี

มนุษย์กิ้งก่าเฮียอินส่งเสียงโวยวายแทนสุบารุทันที เขาตีความคำพูดของอิโดร่าว่าเป็นการไล่สุบารุไปตาย เฮียอินจึงกล่าวหาอิโดร่าเป็นพวกคนทรยศ

แต่จากความสัมพันธ์ที่ผ่านมา สุบารุย่อมรู้ดีว่าอิโดร่าไม่ใช่คนประเภทที่ไล่คนอื่นไปตายกลางคัน เขาจึงลองสอบถามเหตุผลดู

อิโดร่าเล่าถึงการเข้าเฝ้าจักรพรรดิวินเซนต์เมื่อวาน ซึ่งตัวเขาได้รวบรวมความกล้าเพื่อถามเกี่ยวกับชะตากรรมของชวาร์ซ/สุบารุ หลังศึกนี้จบลง

ซึ่งวินเซนต์ให้คำตอบไว้ว่า “ความเป็นความตายของชวาร์ซ/สุบารุ ขึ้นอยู่กับผลงานของตัวเขาเอง”

สุบารุพอเข้าใจจุดประสงค์ที่วินเซนต์ตั้งใจจะสื่อ แต่สำหรับแก๊งสปาร์ก้าที่ไม่ได้รู้จักวินเซนต์เป็นการส่วนตัว คงจะคาดเดาความหมายไปทางด้านลบไว้ก่อน

. อิโดร่าประเมินว่าวินเซนต์ได้สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนจากการตัดสินใจพาคนอพยพในช่วงเหตุวิกฤติการณ์

ถ้าหากวินเซนต์รอดจนจบศึก เขาจะต้องได้กลับไปครองบัลลังก์อย่างแน่นอน อิโดร่าจึงกังวลว่าสุบารุจะถูกวินเซนต์กำจัดทิ้งหลังหมดประโยชน์

เฮียอินขัดว่าสุบารุ/ชวาร์ซอาจจะมีโอกาสสร้างผลงานที่ดีกว่าวินเซนต์ในศึกที่จะมาถึงก็ได้

กระนั้นอิโดร่าก็ยังมองว่า วินเซนต์อาจจะแค่เยินยอผลงานสุบารุในช่วงแรก แล้วหาโอกาสลอบสังหารหลังจากที่เรื่องมันเริ่มซาลง ซึ่งถือเป็นการวิเคราะห์ที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมของวอลลาเคียดี

สุบารุเห็นใจทั้งอิโดร่าที่เป็นห่วงความปลอดภัยของเขาและเฮียอินที่พยายามจะห้ามปรามด้วยการมองแง่ดีไว้ก่อน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนความคิดของพวกเขาที่มีต่อวินเซนต์

สุบารุให้คำมั่นว่าเขาจะไม่แกล้งตายเพื่อหนีไปซ่อนและจะรอดกลับมาให้ได้ เนื่องจากเขายังมีเรื่องที่ต้องบอกกับพวกอิโดร่าให้ได้อยู่

. เดิมทีสุบารุไม่ได้หวังชิงบัลลังก์กับวินเซนต์ตั้งแต่แรก เขาหวังเพียงว่าจะสามารถรักษาความสัมพันธ์กับหน่วยรบเพลอาเดสไว้ได้หลังจากที่บอกความจริงและขอโทษเหล่าสมาชิก

สุบารุ: จะรอดกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน ――เพราะงั้น เลิกคิดจะแอบติดรถมกรไปด้วยได้เลยนะ ไวส์

ไวส์: อุก…

พอได้ยินเสียงทักของสุบารุ ไวส์ที่แอบเกาะอยู่ใต้ท้องรถมกรสำหรับเดินทางไปนครหลวงจักรวรรดิก็จำใจต้องคลานกลับออกมา

สุบารุ: ต่อให้ “พรคุ้มครองแห่งการเลี่ยงสายลม” จะช่วยลดการสั่นสะเทือนแค่ไหน ถ้าเล่นเกาะอยู่ตรงนั้นทั้งวันเดี๋ยวก็ได้ตกไปตายหรอก

ไวส์: ชีวิตของข้าได้ฝากฝังไว้ในมือแกแล้ว… ถ้าหากเพื่อแกแล้วล่ะก็ ย่อมพร้อมที่จะตาย…

สุบารุ: ถ้าเกิดตกไปตายตอนที่ไม่มีใครเห็น มันก็ไม่เรียกว่าตายเพื่อชั้นแล้วเซ่!

เฮียอินตำหนิไวส์ที่ผิดสัญญาว่าจะอยู่ปกป้องฐานให้ลูกพี่สุบารุ แก๊งสปาร์ก้าทั้งสามเลยเริ่มมีปากเสียงกันเหมือนอย่างที่สุบารุคุ้นชิน

. ในศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึงนี้ กำลังรบของหน่วยเพลอาเดสที่ไม่ได้มุ่งเน้นการสังหารศัตรูแถมยังถึกทนฆ่ายากย่อมมีประสิทธิภาพในการคุ้มกันเมืองการ์คลา

สุบารุปลุกใจแก๊งสปาร์ก้าให้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังได้เลย กระทั่งไวส์จอมหัวแข็งที่ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยอมตอบตกลง

ชายหัวโล้นสักลายกะโหลกค่อยๆ ยื่นมือไปแตะไหล่สุบารุ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งผิดกับทุกทีจนเขาอึ้งไปเล็กน้อย

ไวส์: ตกลงกันแล้ว ต้องกลับมาให้ได้นะ พี่น้อง…

สุบารุ: โอ้… ของมันแน่อยู่แล้วเฟ้ย พี่น้อง

ทั้งหนุ่มน้อยและชายหัวโล้นต่างเผยรอมยิ้มออกมา แลกเปลี่ยนคำพูดฉันท์สหายที่เชื่อมั่นในกันละกัน แต่แล้วก็มีคนขัดขึ้นทันที

เฮียอิน: เฮ้ยๆๆๆ อย่ามาเลียนแบบวิธีเรียกของชั้นสิฟะ ไอ้ขี้ลอกเอ๊ย!

ไวส์: เอ็งทึกทักเรียกเอาเองไม่ใช่เรอะ… แถมชวาร์ซเรียกข้ากลับแบบเดียวกันด้วยนะ…

อิโดร่า: อย่าเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องสิ! นึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก!?

สุบารุ: ใช่ๆ หยุดตีกันเลย! พวกพี่น้องเอ๊ย!!

. ตัดไปอีกทางหนึ่ง วินเซนต์กำลังย้ำเตือนสปิก้าว่าชะตากรรมความอยู่รอดของตัวเธอหลังจบศึกขึ้นอยู่กับผลงานของเธอเอง

ตอนนั้นเองที่เสียงตะโกนเสียงดังกังวาลของแม่ทัพกอซดังมาแจ้งให้วินเซนต์ทราบว่าการเตรียมรถมกร 3 คันที่จะใช้บุกจู่โจมลูปุกาน่าเสร็จสิ้นแล้ว

วินเซนต์ย้ำเตือนว่ากอซต้องบัญชาการทั้งกองทหารให้ดี เพื่อลดการสังหารผีดิบลงให้น้อยที่สุด มิเช่นนั้นมานาของ “ก้อนศิลา” มุสเปลอาจจะหมดลงก่อน

กอซน้อมรับบัญชาจากองค์จักรพรรดิ กระนั้นเขาก็ยังกำหมัดแน่นและระบายด้วยความเจ็บใจที่ตัวเขาไม่ได้ถูกคัดเลือกให้ติดตามไปคุ้มกันวินเซนต์ที่นครหลวง

วินเซนต์: ต่อให้จะรำพึงมากเพียงใดก็เปลี่ยนเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วมิได้

กอซ: ฝ่าบาทขอรับ!

วินเซนต์: นอกเหนือจากเจ้าแล้ว ผู้ที่สามารถรับบทผู้บัญชาการได้ก็มีไฮเคาน์เตสดราครอยกับแม่ทัพโทซีคูร์ ออสมัน สามารถฝากฝังให้ทั้งคู่ดูแลหนึ่งสนามรบได้ก็จริง แต่กับสงครามใหญ่คงคุมไม่ไหว

กอซ: เช่นนั้นล่ะก็…

วินเซนต์: พอเจ้าจิชาไม่อยู่แล้ว ก็มิอาจฝากฝังทั้งกองทัพให้ใครดูแลนอกจากเจ้าได้อีก หวังว่าจะเข้าใจความหมายของเรื่องนั้นนะ ――ขอฝากฝังทหารทุกนายไว้กับเจ้า ความอยู่รอดของจักรวรรดิขึ้นอยู่กับบ่าแสนมั่นคงข้างนั้นแล้ว

คำสั่งจากวินเซนต์ทำให้แม่ทัพกอซอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ แต่ในไม่ช้า “อัศวินราชสีห์” ก็เรียกสติตนเองกลับมาแล้วชูกำปั้นไว้ที่หน้าอกเพื่อแสดงความเคารพ

กอซ: ――กอซ ราลฟอน น้อมรับพระบัญชาขอรับ! ขอความกรุณาด้วย แม่ทัพตรีโอเรลี่! ปกป้องฝ่าบาทไว้ให้จงได้!

จามาล: โอ้ วางใจได้เลย แม่ทัพเอกราลฟอน! ในเมื่อได้รับการคัดเลือก ก็จะขอปฏิบัติหน้าที่ให้สมเกียรติ!

กอซโค้งคำนับองค์จักรพรรดิ จากนั้นก็หันมาฝากฝังหน้าที่คุ้มกันวินเซนต์ให้แก่แม่ทัพตรี “จามาล โอเรลี่” ผู้ถูกคัดเลือกเป็นสมาชิกหน่วยจู่โจมแทน

ตระกูลโอเรลี่ของจามาลเป็นเพียงตระกูลขุนนางระดับต่ำที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร กระนั้นความสามารถของจามาลก็ทำให้เขาถูกคัดเลือกโดยวินเซนต์และได้รับความไว้วางใจจากกอซ

วินเซนต์หันไปคุยกันสปิก้าทิ้งท้ายและแอบเหนื่อยหน่ายพอเห็นว่าเด็กสาวมีสีหน้าแบบเดียวกับตอนที่มีเดียมตำหนิเขาเมื่อคืน

. ในที่สุดรถมกรจำนวน 3 คันก็เตรียมออกเดินทางจากเมืองการ์คลาสู่นครหลวงลูปุกาน่าเพื่อจัดการแม่มดสฟิงซ์และหยุดยั้งมหาภัยพิบัติ

คาชัวที่มองลงมาดูจากหน้าต่างห้องยังคงทำใจเชื่อได้ยากว่าพี่ชายของเธอถูกคัดเลือกให้ไปเข้าร่วมหน่วยจู่โจมที่สำคัญเช่นนั้น ทั้งที่เขามาแจ้งข่าวตั้งแต่เมื่อคืน

[จามาล: อย่าห่วงไปเลย คาชัว พี่จะตายอย่างสมเกียรติเพื่อรับใช้ฝ่าบาทให้ได้อย่างแน่นอน! เพราะงั้น ถึงไอ้เวรท็อดด์มันจะไม่อยู่แล้ว เงินชดเชยจะช่วยให้น้องไม่ต้องลำบากอย่างแน่นอน!]

คาชัวเริ่มกังขาว่าที่จามาลถูกเลือกไปเพราะเขาเป็นหมากใช้แล้วทิ้งหรือเปล่า แต่เรมที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยปลอบใจว่าวินเซนต์ไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้น

กระนั้นคาชัวก็ยังคงไม่เข้าใจการที่ทั้งคู่หมั้นและพี่ชายของเธอต่างคิดจะเอาชีวิตไปใช้แบบทิ้งขว้างกันทั้งคู่

เรมเองก็อยากให้จามาลเข้าใจความรู้สึกของคาชัวบ้าง เนื่องจากช่องว่างที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียท็อดด์และจามาลไม่ใช่สิ่งที่เรมสามารถช่วยเติมเต็มได้ในฐานะเพื่อน

. วิถีชาวจักรวรรดิที่ใช้ชีวิตแบบทิ้งขว้างเป็นสิ่งที่เรมไม่ค่อยถูกใจนัก ไม่ว่าสุดท้ายวินเซนต์จะเป็นจักรพรรดิที่ดีแค่ไหนก็ตาม

เรมได้ฟังมาจากสุบารุกับรัมว่าบ้านเกิดของเธออยู่ที่ราชอาณาจักรลูกุนิก้า แต่ว่ากันตามตรง เรมยังไม่แน่ใจเลยว่าเธอควรไปที่ประเทศนั้นไหมหลังศึกนี้จบลง

เนื่องจากว่าในปัจจุบันเรมรู้จักชีวิตความเป็นอยู่และรู้จักผู้คนที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิวอลลาเคียมากกว่าราชอาณาจักรลูกุนิก้าไปเสียแล้ว

ระหว่างที่ครุ่นคิดเรื่องนั้นอยู่ คาชัวก็ทักเรมขึ้นว่ารถมกรของหน่วยจู่โจมกำลังจะออกเดินทางแล้ว ในนั้นมีทั้งสปิก้า วินเซนต์ และสุบารุโดยสารอยู่

คาชัวสังเกตเห็นว่าเรมทำหน้ามุ่ยเหมือนยังมีเรื่องค้างคาใจอยู่ เธอจึงถามว่าเรมได้บอกลาให้เรียบร้อยแล้วหรือยัง

เรมพยายามปฏิเสธ เธอคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องบอกอะไรสุบารุเพิ่มแล้ว ยังไงเขามีผู้คนที่พึ่งพาได้มากมายติดตามไปด้วย อย่างเอมิเลีย เบียทริซ สปิก้า วินเซนต์ และฮาริเบล

สุดท้ายเรมก็ขจัดความลังเลในใจได้แล้วช่วยกันเปิดบานหน้าต่างออกให้กว้างที่สุด โดยมีคาชัวช่วยอีกแรง เธอมองออกไปยังรถมกรที่เริ่มหมุนล้อออกเดินทาง

เรม: ――ไม่ว่ายังไง ก็ต้องกลับมาอธิบายให้ได้นะ!!

แทนที่จะอวยพรให้เขาโชคดีมีชัยหรือกลับมาอย่างปลอดภัย หัวใจอันสับสนยุ่งเหยิงของเรมกลับเลือกเอ่ยคำถามที่คาใจตัวเธอเองอยู่ออกไปแทน

สำหรับ”เรม” แล้ว “นัตสึกิ สุบารุ” คือใครกันแน่? ทำไมเขาถึงทุ่มตัวขนาดนี้เพื่อเรม ทั้งที่มีเอมิเลียกับเบียทริซอยู่แล้ว? ทำไมเขาถึงทำเพื่อคนในจักรวรรดิขนาดนี้ทั้งที่ไม่ใช่ประเทศตัวเอง? ทำไมเขาถึงยอมถูกสายตาชาวโลกเพ่งเล็งเพื่อสปิก้า?

จนกว่าจะได้คำอธิบายต่อคำถามเหล่านั้นจากปากเขาเอง เรมจะไม่มีทางยกโทษให้สุบารุเด็ดขาด

เรมไม่แน่ใจว่าเสียงของเธอไปถึงเขาไหม แต่แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยผมดำที่อยู่ในรถขบวนท้ายกำลังโบกมือให้เธอจากหน้าต่างรถ

คาชัว: รู้สึกเหมือนตัวเองบ้าเลย ดูเธอยิ้มดีใจเข้าสิ

คาชัวที่มองดูใบหน้าของเรมจากด้านข้างถอนหายใจพลางพึมพำออกมาเช่นนั้น

. จบตอน